นั่งรถไฟ...ไปไหน...ไปกาญจน์

นั่งรถไฟ...ไปไหน...ไปกาญจน์

นั่งรถไฟ...ไปไหน...ไปกาญจน์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มีโอกาสได้ไป “จังหวัดกาญจนบุรี” ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่น่าสนใจ รวมถึงร่องรอยประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นหลังนั้นควรรำลึกถึง นอกจากจะได้ท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติศาตร์ไปด้วยในตัว เรียกว่าเป็นการท่องเที่ยวที่สอดแทรกไปด้วยคุณค่ามากมายค่ะเริ่มจากการนั่งรถไฟ

สำหรับจังหวัดกาญจนบุรีนั้น สามารถไปได้ทั้งทางรถไฟและทางรถยนต์ ซึ่งคนส่วนใหญ่หากต้องการรับบรรยากาศที่เน้นธรรมชาติ ไม่เร่งร้อนมากนัก ก็สามารถไปด้วยรถไฟได้เลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นอย่ารอช้า...เราไปนั่งไปรถไฟ เที่ยวกาญจน์ กันดีกว่า. ..

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

สะพานแม่น้ำแควเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คน สมทบด้วยกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า และอินเดีย อีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองสะพานข้ามแม่น้ำแควเดิมได้รับความเสียหาย และรัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมใหม่ ภายหลังสงคราม สิ้นสุดลง เมื่อปี พ.ศ. 2489จนสามารถใช้งานได้ดังเดิม ปัจจุบัน มีการยกย่องให้สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ

สะพานข้ามแม่น้ำแคว ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวและชาวไทยต้องมาสัมผัส ได้ภาพ และรับบรรยากาศของประวัติศาสตร์ที่สำคัญกับสถานที่แห่งนี้ สำหรับทางรถไฟนั้น บวนรถไฟประจำธนบุรี-น้ำตกหรือขบวนรถนำเที่ยวพิเศษกรุงเทพ-น้ำตก(เฉพาะเสาร์ - อาทิตย์) ลงที่สะพานแควใหญ่ซึ่ง อยู่ที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำแควพอดี

ถ้ำกระแซ

ถ้ำกระแซ ตั้งอยู่ในอำเภอไทรโยค เป็นถ้ำเล็กๆ ตั้งอยู่ริมหน้าผาใกล้กับทางรถไฟ เคยเป็นที่พักของเชลยศึก ในช่วงที่มีการสร้างทางรถไฟสายมรณะ ไทย-พม่า เส้นทางรถไฟบริเวณนี้ที่ถือว่า เป็นจุดอันตรายที่สุดในการก่อสร้างทางรถไฟ เพราะเป็นการสร้างทางตัดผ่านหน้าผาหินสูงชัน อีกฝั่งเป็นเหวลึกสู่ลำน้ำแควน้อย ในช่วงเส้นทางประมาณ 400 เมตรนี้ มีความลำบากในการก่อสร้างเป็นอย่างมาก เพราะการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ได้ใช้อุปกรณ์เครื่องจักรที่ทันสมัย มีเพียงเครื่องไม้เครื่องมือแบบชาวบ้าน จอบ สิ่ว ค้อน ขวานธรรมดา ทำโครงสร้างด้วยไม้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในการก่อสร้าง การเผชิญกับโรคภัยต่างๆ และการขาดแคลนอาหาร ทำให้กายเป็นโศกนาฏกรรมทางสงคราม ที่มีแรงงานและเชลยศึกต้องจบชีวิตลง นับหมื่นนับพันคนในช่วงการสร้างทางรถไฟผ่านช่วงถ้ำกระแซนี้


ถ้ำกระแซ ถือเป็นจุดชมวิวที่โด่งดัง และเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เพราะถือว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดและอันตรายที่สุดของเส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ - น้ำตก หรือที่เรียกกันว่า "เส้นทางรถไฟสายมรณะ” (The Death Railway) การที่จะสัมผัสถึงเส้นทางรถไฟสายมรณะจริงๆ เป็นการเดินทางด้วยรถไฟ เพราะเมื่อรถไฟผ่านเส้นทางก่อนถึงสถานีถ้ำกระแซ รถไฟจะชะลอความเร็วลง เพื่อความปลอดภัย เพราะโครงสร้างสะพานยังคงเป็นโครงไม้ดั้งเดิม และทำให้ได้ชมวิวที่สวยงาม จากทางฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ที่ไหลอยู่ด้านล่าง

อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ

อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งครั้งหนึ่งสถานที่นี้เคยเป็นสมรภูมิการรบระหว่างกองทัพของไทยในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และกองทัพพระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าในพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2328 โดยกองทัพไทยซึ่งมีเพียง 4 กองทัพได้ต้านทานการบุกและตัดการลำเลียงเสบียงอาหารและกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายทัพพม่า โดยใช้เวลาทั้งสื้น 10 เดือน กว่าสงครามจะยุติลง โดยทัพไทยเป็นฝ่ายชนะและรักษาเอกราชของชาติไว้ได้ สงครามครั้งนี้มีชื่อเรียกว่า “สงคราม 9 ทัพ”

อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ มีอาคารจัดนิทรรศการบอกเล่าประวัติของสงครามเก้าทัพ ตัวอาคารเมื่อดูจากภายนอกจะมีลักษณะเหมือนหมวกนักรบโบราณ ซึ่งเมื่อใครได้ไป จะสังเกตถึงที่นั่งในการนั่งฟังบรรยายโดยมีเพียง 84 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งเปรียบได้กับจำนวนเสนาบดี อำมาตย์ ที่เข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงเพื่อแบ่งทัพรับพม่าในประวัติศาสตร์ครั้งนั้นนั่นเอง สำหรับผู้บรรยายนั่นคือ พันตรี จวน อินทร์ศรเป็นผู้บรรยายและบอกเล่าภูมิประเทศโดยรอบอย่างละเอียด เป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้อย่างดียิ่ง และเป็นการปลูกจิตสำนึกให้เกิดความรักชาติ และทำประโยชน์ให้แก่ผืนดินบ้านเกิด ซึ่งครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของไทยได้สละเลือดเนื้อและชีวิตชะโลมผืนแผ่นดินแห่งนี้ เพื่อปกป้องเอกราชของชาติไทย เมื่อบรรยายจบแล้ว ผู้นั่งฟังบรรยายบางท่านก็ยังมีซับน้ำตาของตน นั่นหมายถึงความซาบซึ้งในบรรพบุรุษที่เสียสละชีวิตเพื่อชาติไทยให้เราได้อยู่สบายกันจนถภึงทุกวันนี้นั่นเองค่ะ

สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก

"สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก" หรือ "สุสานทหารสหประชาชาติ" หรือที่ชาวจังหวัดกาญจนบุรีทั่วไปเรียกว่า "ป่าช้าอังกฤษ" เป็นสุสานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 17 ไร่ บรรจุศพเชลยศึกที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะถึง 6,982 หลุม โดยเชลยศึก 300 คนเสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรคและฝังไว้ที่ค่ายนิเกะ ส่วนที่เหลือได้จากหลุมฝังศพเชลยศึกตามค่ายต่างๆ และยังมีสุสานช่องไก่ ซึ่งรัฐบาลไทยและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตกลงกันเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2497 เพื่อสร้างสุสานสองแห่งนี้ขึ้น

บรรยากาศในสุสานเงียบสงบและร่มรื่น พื้นที่ภายในได้รับการตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม เหนือหลุมฝังศพทุกหลุมมีแผ่นทองเหลืองจารึก ชื่อ อายุ และประเทศของผู้เสียชีวิต บรรทัดสุดท้ายเป็นคำไว้อาลัยที่โศกเศร้า ทุกปีจะมีวันที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตเฉพาะของคนชาติต่างๆ สำหรับผู้เข้าชมนั้นก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมใดๆ สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ในช่วงเวลา 8.00 - 17.00 น. ซึ่งข้อแนะนำในการเข้าชมนั่นคือ ควรเข้าเยี่ยมชมด้วยอาการสงบ เคารพต่อสถานที่ และผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ถ่ายภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ส่งเสียงดังวิ่งเล่นในบริเวณสุสานค่ะ

สำหรับ 3 สถานที่แห่งประวัติที่ศาสตร์ที่นำมาให้ทุกท่านได้เห็บภาพบรรยากาศ และทราบถึงประวัติในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะได้ความรู้เรื่องประวิตศาสตร์และภาพบรรยากาศที่สวยงามกันบ้างนะคะ แล้วหากใครสนใจอย่าลืมพาเพื่อนหรือครอบครัวไปเที่ยวกาญจนบุรีกัน รับรองได้เลยค่ะ ว่านอกจากจะได้ท่องเที่ยวกันสนุกสนานแล้ว ยังได้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์กลับมาอย่างแน่นอน แล้วเราจะรักแผ่นดินไทยผืนนี้ขึ้นอีกมากเลยล่ะค่ะ


ขอบคุณการสนับสนุนการท่องเที่ยวจาก...การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook