Slowlife @สุโขทัยธานี…รุ่งอรุณแห่งความสุข
หากมีเวลาและอยากจะหลบหนีความวุ่นวายของกรุงเทพมหานคร ไปสัมผัสบรรยากาศ วิถีชีวิตสงบเงียบ จังหวัดสุโขทัย เมืองมรดกโลก เป็นเมืองท่องเที่ยวที่จะทำให้คุณดื่มด่ำกับวันพักผ่อน และลืมความวุ่นวายของเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี ทริปนี้เราได้รับคำเชิญจากเคทีซี สายการบินบางกอก แอร์เวย์ส ไทยเร้นท์อะคาร์ และพันธมิตรให้ร่วมเดินทางไปกับทริปพิเศษที่มีชื่อว่า ‘ตามรอยอารยธรรมเมืองรุ่งอรุณแห่งความสุข’ เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมนำร่องของโครงการประกวดสุดยอด โรงแรมบูติกไทย ครั้งที่ 3 (2014-2015)
เราเดินทางออกจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยสายการบินบางกอก แอร์เวย์ส ใช้เวลาชั่วโมงเศษๆ เป็นเวลาแปดโมงเช้าก็ถึงสนามบินสุโขทัย พระอาทิตย์ดวงกลมโตก็ขึ้นพ้นขอบฟ้าลอยเด่นพอดี แถมด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาวทำให้รู้สึกสดชื่นตักตวงอากาศบริสุทธิ์ไว้จนเต็มปอด สมกับความหมายของ ‘สุโขทัยธานี’ ที่ว่า ‘เมืองรุ่งอรุณแห่งความสุข’ จากนั้นเราเดินทางเข้าสู่ที่พักในทริปนี้คือ เดอะ เลเจนด้าสุโขทัย รีสอร์ท (The Legendha Sukhothai Resort) ใกล้ๆ กับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย หลังจากเช็คอินพักผ่อนกันตามอัธยาศัยพอควร ก็ได้เวลามาร่วมกิจกรรม ‘Very Thai Thai Workshop’ ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพัก อาทิ การทำก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยต้นตำรับ สานปลาตะเพียน ร้อยมาลัย ทำขนมไทย ตะโก้ เม็ดขนุน เป็นต้น เรียกว่าเป็นเวิร์คช็อปที่ได้ทั้งความรู้ ความสนุกสนาน ที่สำคัญอิ่มท้อง เพราะทำไปกินไปอยู่ตลอดเวลา
บ่ายคล้อยแดดร่มลมตก ก็ได้เวลาไปเรียนรู้ย้อนรอยความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดสุโขทัย เมืองที่เคยเป็นราชธานีอันยิ่งใหญ่ในอดีตเป็นดั่งรากฐานที่ก่อเกิดศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ประจำชาติมากว่า 700 ปี ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดปกครองโดย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ทรงเป็นทั้งนักรบ นักปกครอง นักพัฒนานักประดิษฐ์และทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนาให้เจริญสืบมาจนทุกวันนี้
เส้นทางย้อนรอยประวัติศาสตร์ เริ่มต้นจากการไปเรียนรู้กรรมวิธีการผลิต ‘เครื่องสังคโลก’ ที่บ้านสุเทพ สังคโลก ในชุมชนบ้านใหม่พระพังทอง อ.เมืองเก่า ของ คุณสุเทพ พรหมเพ็ชร ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้และอนุรักษ์เครื่องสังคโลก หรือเครื่องปั้นดินเผางานหัตถศิลป์อันมีกรรมวิธีการปั้น ลวดลาย และการเผาที่เป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัย ที่ได้รับการสืบทอดให้คงอยู่คู่เมืองสุโขทัยและประเทศไทย หากใครที่สนใจก็มีเวิร์คช็อปสั้นๆ ให้เรียนทำ แก้ว หรือ จาน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดินการปั้น การเขียนลาย การเผา และการเคลือบ พร้อมนำกลับไปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย
จากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เมื่อซื้อบัตรเข้าชมราคาคนไทยเพียงแค่ 20 บาท รวมกับค่าจักรยานอีก 10 บาท ก็ใช้สองขาปั่นผ่านจุดตรวจ สิ่งแรกที่เรามุ่งไปก่อนคือการไปกราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสียก่อนจะเที่ยวชมบริเวณโดยรอบ เฉพาะในเขตรั้วกำแพงเมืองชั้นในมีเนื้อที่กว่า 70 ตารางกิโลเมตร และมีโบราณสถานสำคัญที่น่าชมมากมาย เราเลือกมาเฉพาะแต่ที่สำคัญ อาทิ วัดสระศรี วัดมหาธาตุ วัดศรีสวาย วัดพระพังเงิน วัดศรีชุม รวมถึงการชมพระอาทิตย์ตกดินที่ วัดช้างล้อม ซึ่งอยู่ด้านโรงแรมที่พักอีกด้วย และเมื่ออิ่มหนำสำราญกับอาหารค่ำพร้อมชมโชว์ศิลปวัฒนธรรมที่ห้องอาหารน้ำค้าง ก็ได้เวลาพักผ่อนเอาแรงสำหรับกิจกรรมสนุกๆ ในวันรุ่งขึ้น
ในวันที่สอง อันเป็นวันสั่งลาสุโขทัย เราใช้ชีวิตแบบ Slowlife กันที่ โครงการเกษตรอินทรีย์ สนามบินสุโขทัย เมื่อได้ฟังความเป็นมาเป็นไปของโครงการนี้จากวิทยากรแล้วก็ได้เวลาเปลี่ยนเป็นเสื้อและกางเกงม่อฮ่อมเพื่อไปสัมผัสประสบการณ์เป็นเกษตรกรไทยกับกิจกรรมสนุกๆ อย่างการเลี้ยงควาย ขึ้นขี่หลังควาย ชมโรงสีข้าว โรงคัดเมล็ดข้าวโดยใช้แรงงานคนในการคัดแยกเมล็ดข้าวที่ดีมีคุณภาพ เรียนรู้การปลูกผักสวนครัวแบบออร์แกนิก และไฮไลท์ ลงมือดำนาปลูกข้าวกันอย่างสนุกสนาน ก่อนกลับเรายังได้แวะไหว้ พระพุทธเมตตาทันใจสุโข พระเจ้าทันใจแห่งสนามบินสุโขทัย พร้อมๆ กับชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เป็นการอำลาสุโขทัยอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่การได้มาเยือนสุโขทัย ก็ทำให้หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จะกลับมาสู้กับงานและความวุ่นวายในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี…แล้วพบกันใหม่