KOHPRATHONG Lost in Thailand Savanna

KOHPRATHONG Lost in Thailand Savanna

KOHPRATHONG Lost in Thailand Savanna
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

BLOGGER'S DIARY Story & Photo : Ploy S.

ภาพทุ่งหญ้าโบกปลิวพลิ้วไหวพร้อมสายลมอ่อน สีทองอร่ามยามต้องแสงอาทิตย์ ตรึงใจฉันตั้งแต่แรกเห็น ความงามธรรมชาติสร้าง อันน่าอัศจรรย์กลางทะเลอันดามัน สร้างความตื่นตาเป็นอย่างมาก ต้นเสม็ดขาว กล้วยไม้นานาพันธุ์ รอยเท้าสัตว์ป่าบนพื้นดินปนทรายขาวนวล อากาศร้อนแห้งแล้งแต่ชุ่มชื่นเป็นบางจุด ทุกอย่างรอบตัวช่างดูเหมือนทุ่งหญ้าสะวันนา หากแต่รถอีแต๊กที่จอดอยู่ข้างกันเตือนใจว่าตนเองยังคงอยู่ในประเทศไทย หาใช่ป่าแถบอัฟริกาเสียอย่างใด

นักเดินทางส่วนใหญ่รู้จักทุ่งแสลงหลวงกันดีในนาม “ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย” อุทยานแห่งชาติซึ่งตั้งชื่อตามพันธุ์ไม้ “ต้นแสลงใจ” ที่ขึ้นอยู่เป็นจํานวนมาก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ หากแต่มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่า “เกาะพระทอง” ก็มีภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าสะวันนาเช่นเดียวกัน เกาะพระทอง ตั้งอยู่ในอําาเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา มีพื้นที่ 102 ตารางกิโลเมตร ใหญ่ที่สุดในพังงาและใหญ่เป็นอันดับ 5 ของไทยแต่มีชุมชนเพียง 3 หมู่บ้าน คือ บ้านปากจก บ้านทุ่งดาบ และบ้านแป๊ะโย้ย ได้รับการคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้เป็น “Unseen Thailand” ในปี พ.ศ. 2546 ส่งผลให้เกาะพระทองโด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน

จนหลายคนอดหวั่นใจไม่ได้ว่าชื่อเสียงที่มาเร็วเกินไป อาจทําให้เกาะพระทองต้องเสียศูนย์ในอนาคตอันใกล้ ทว่าในความเป็นจริง ความพิสุทธิ์ของเกาะพระทองถูกรักษาไว้ด้วยภัยสึนามิ อาคารสิ่งก่อสร้างเสียหาย ชาวบ้านหลายร้อยหลังคาเรือนอพยพขึ้นฝั่ง เหลือไว้ก็เพียงแต่คนพื้นที่แค่หยิบมือ สัตว์ป่า และความงามทางธรรมชาติ ฉันเดินทางสู่เกาะพระทอง ด้วยเรือโดยสารของที่พัก จากท่าเรือคุระบุรี ใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงเศษก็ถึงที่หมาย Mogen Eco Village เป็นที่พักใหม่ล่าสุดบนเกาะพระทอง ตั้งอยู่บริเวณอ่าวตาแดง ติดกับหาดสุดขอบฟ้า จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกสวยที่สุดประจําเกาะหน้ารีสอร์ทเป็นหาดทรายกว้างเนื้อเนียนละเอียด เหมาะแก่การเล่นน้ำ จากหาดมองเห็น เกาะปลิงเล็ก ปลิงใหญ่ จุดดำน้ำตื้นสวยแห่งหนึ่งของเกาะสามารถพายเรือคายัคออกไปสัมผัสโลกใต้ทะเลได้เพียงแค่ 5 นาที การเที่ยวเกาะพระทองให้สนุก แนะนําให้ เหมารถอีแต๊ก ชมเกาะบอกเลยว่ารถขับเคลื่อนสี่ล้อก็ไม่ได้อารมณ์

แม้จะดูเท่เหมือนท่องซาฟารีกลางป่าอัฟริกา แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศพื้นบ้าน รถอีแต๊กเท่านั้น คือ คําตอบสุดท้ายคุณลุงเทพ กํามะหยี่ ผู้นําทัวร์และสารถีเฉพาะกิจพาเรามายังทุ่งหญ้ากลางเกาะตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อหมายชมความงามของผืนป่าภายใต้สภาพอากาศเย็นสบาย ช่วงเวลากลางวันบนเกาะจะร้อนและแห้งมาก อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 33-35 องศาเซลเซียส กลางคืนอากาศเย็นสบาย เฉลี่ย 20-25 องศาเซลเซียส ไม่จําเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศเลย พวกเราพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ไม่นานแสงอาทิตย์ก็เริ่มทอแสง สาดส่องไปทั่วบริเวณ จากทุ่งหญ้าสีซีดพลันเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม สวยงามน่าชม ชาวบ้านเรียกทุ่งหญ้าสะวันนาว่า หญ้าเสือหมอบ

ทุกปีน้ำทะเลจะหนุนท่วมส่วนกลางของเกาะแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหญ้าจะเจริญงอกงามครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3 หมื่นไร่เป็นอาหารชั้นดีของกวางป่า และจะเริ่มกลายเป็นทุ่งหญ้าสีทองในช่วงฤดูแล้งแต่ถึงเป็นแหล่งอาหารชั้นดีก็ใช่ว่าจะเจอกันง่ายๆ แม้ชาวบ้านมักเอ่ยบอกว่าเจอบ่อย เห็นบ่อย ทว่านักท่องเที่ยวอย่างเรา ต้องพกดวงไปด้วยเสมอ ต้องนั่งเฝ้า นั่งคอยจนตะวันแยงก้นโน้นแหละ ถึงรู้ว่าหมู่หรือจ่า หมาบ้านหรือกวางม้าป่าเสม็ดขาว อีกหนึ่งจุดที่ต้องมาบน เกาะพระทอง อยู่ห่างจากทุ่งหญ้าสะวันนาไปทางทิศตะวันตกราว 15 นาที ไม้พุ่มกึ่งยืนต้นเรือนยอดแคบเป็นพุ่มทรงสูง ลําต้นมักบิด เปลือกมีสีขาวนวลจนถึงสีน้ำตาลเทาเป็นแผ่นบางเรียงซ้อนเป็นปึกหนานุ่ม ลุงเทพบอกว่า ชาวบ้านนิยมลอกเปลือกไปเป็นเชื้อเพลิง บ้างก็ลอกเก็บไว้เป็นเส้นๆ ทําาเป็นเชือกรัดสิ่งของ เห็นบางๆ แบบนี้เหนียวดีนักแล ตามต้นยังเป็นที่อยู่ของกล้วยไม้พันธุ์หายาก เช่น เอื้องปากนกแก้ว หลายคนตั้งข้อสันนิษฐานว่า ป่าเสม็ดขาวมีขนาดเพิ่มขึ้นหลังสึนามิ แพร่พันธุ์ ขยายออกไปเติบโตโดยที่ไม่มีใครรบกวนมาหนึ่งทศวรรษ บางต้นลุงเทพบอกว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย เป็นร้อยปีตั้งแต่ลุงยังไม่เกิดหยิบกล้องแชะภาพเก็บความประทับใจเสียหลายนาที เงยหน้ามาอีกทีก็ใกล้เที่ยง เราจึงตกลงใจฝากท้องไว้กับลุงเทพด้วย

รสมือแสนอร่อยของป้ามร อาหารทะเลสดๆ ปูดําาไข่ตัวใหญ่ ถูกลําเลียงเสิร์ฟตรงหน้า ไหนจะแกงเหลียงกาหยูรสเด็ด ซึ่งหากินได้บนเกาะเท่านั้น เรียกได้ว่าทั้งอิ่มและอร่อย มื้อเดียวกินข้าวหมดไปหลายจาน ลุงเทพพาเราเดินชมบริเวณบ้าน ซึ่งบางส่วนเปิดเป็นร้านอาหารง่ายๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ลองชิมอาหารท้องถิ่น บางส่วนทําาเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ ลานหน้าบ้านมีต้นกาหยู หรือมะม่วงหิมพานต์นับสิบต้น ทั้งยังมีทรายกองโตใกล้บ่อน้ำ ซึ่งลุงเทพไขข้อข้องใจว่า นั่นคือกองทรายที่ลุงไปตักมาเพื่อร่อนแร่ เก็บสินแร่ดีบุกไปขาย ว่าแล้วก็ทดลองร่อนตามลุงสักทีสองที กว่าจะได้แต่ละขีด เหนื่อยมิหยอก เล่นเอาเหงื่อแทบหมดตัวก่อนจบทัวร์กับลุงเทพ

แวะไปชมกล้วยไม้ ณ อ๋อย ออร์คิดที่คุณชัยยุทธ ลิ่มสมบูรณ์ หรือ โกอ๋อย เจ้าของชาวพื้นถิ่นบ้านทุ่งดาบเพาะเลี้ยงไว้หลายต้นในเรือนกล้วยไม้ขนาดใหญ่ มีทั้งพันธุ์พื้นเมืองอย่าง เอื้องปากนกแก้ว เพชรหึง เอื้องเงินหลวง ลูกผสมดอนมาลี คนไทยเข้าฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย เก็บค่าเข้าชมเฉพาะชาวต่างชาติเพียง 50 บาทเท่านั้น นักท่องเที่ยวนิยมมาที่นี่เพื่อซื้อเป็นของฝาก ติดไม้ติดมือกลับบ้าน เลือกชมกันเพลินได้จุใจ บอกเลยว่าถูกมากเมื่อเทียบกับที่อื่น ฉันได้กล้วยไม้กลับบ้านมาสามต้น หวังลองเลี้ยงกับเขาบ้าง จะออกดอกสวยงามขนาดไหนนั้นก็ต้องอยู่ที่การดูแลเอาใจใส่แล้วละตะวันกลมโตใกล้ลับขอบฟ้าเมื่อรถอีแต๊กคันเดิมพาเราไต่กลับสู่หาดทรายสีดําาขลับ บริเวณอ่าวตาแดงอีกครั้ง แสงสุดท้ายของวันย้อมผิวน้ำให้กลายเป็นสีทอง เช่นกันกับหาดทรายที่เปลี่ยนแปรสีไปตามองศาของแสงอาทิตย์ บรรยากาศรอบตัวดูสงบและโรแมนติก สวยงามตรึงใจ เกาะพระทองมีเสน่ห์อันพิสุทธิ์ให้ค้นหาและสัมผัสตลอดวัน เงียบสงบ ไร้ผู้คน เหมาะแก่การปลีกวิเวก หนีฝูงชน มาเอนกาย อิ่มเอมกับธรรมชาติ และความหลากหลายทางนิเวศวิทยา ที่รับรองได้ว่ามีเพียงหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน

How to get there

+หากพักที่ Mogen Eco Village ซึ่งแนะนําอย่างยิ่ง สามารถติดต่อเหมาเรือให้ทางที่พักมารับได้ในราคา 1,800 บาท โดยประมาณ ตรวจสอบราคาอีกครั้งได้ที่เว็บ (www.mokenecovillage.com) ขึ้นเรือที่ท่าคุระบุรี ลงหน้าที่พักได้เลย ไม่ต้องต่อรถ

+เหมารถอีแต๊กทัวร์ ติดต่อ คุณเทพ กําามะหยี่ ชาวพื้นถิ่นผู้ใช้ชีวิตบนเกาะมานานถึง 60 ปี ราคา 1,500-1,800 บาท ทั้งวัน โทร. 08-7993-4331

สนับสนุนเนื้อหา โดย 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook