5 แหล่งชม "ใบไม้เปลี่ยนสี" ในฟุกุโอกะ!
คิวชู เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น คิตะคิวชู เป็นที่ตั้งของ ฟุกุโอกะ ซึ่งเป็นแหล่งรวมความเจริญรุ่งเรืองที่โด่งดังเรื่องธรรมชาติอันงดงาม, ผู้คนใจดีอบอุ่น และอาหารรสเลิศมากมาย และนอกจากนี้ก็ยังเต็มไปด้วยแหล่งชม ใบไม้เปลี่ยนสี ขึ้นชื่อด้วยนะเออ… เดี๋ยวในครั้งนี้เราจะมาแนะนำ 5 สถานที่ที่เหมาะสำหรับดื่มด่ำฤดูใบไม้ร่วงของหมู่เกาะญี่ปุ่นซึ่งสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้แห่งนี้กันค่ะ
Mount Hiko (ภูเขาฮิโกะ)
ที่นี่มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นภูเขาแห่งการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธมาตั้งแต่สมัยก่อน และในปัจจุบันก็ยังเป็นภูเขายอดนิยมในฐานะที่เป็นพาวเวอร์สปอตและขุมทรัพย์แห่งนกป่าอีกด้วย เนื่องจากใบไม้จะค่อยๆเปลี่ยนสีไล่จากยอดเขาลงไปยังตีนเขา เราจึงสามารถเดินเล่นบนถนนที่มุ่งไปยังศาลเจ้าฮิโกะซันจิงงู (Hikosan Jingū) ซึ่งตั้งอยู่แถวยอดเขาพลางเพลิดเพลินกับใบไม้เปลี่ยนสีได้อย่างเต็มอิ่ม
เนื่องจากเราสามารถขึ้นสโลปคาร์ไปยัง “ศาลเจ้าฮิโกะซันจิงงู” ได้ เราจึงสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศและทัศนียภาพอันงดงามสไตล์ญี่ปุ่นได้อย่างสบายๆไม่เหน็ดเหนื่อย สำหรับใครที่แข็งแรงปึ๋งปั๋งก็สามารถเดินขึ้นไปอีก 3 กิโลเมตรจนถึงโจงูบนยอดเขาได้ ตรงนี้มีจุดชมวิวสุดยอดตั้งอยู่ด้วยล่ะค่ะ
Kamado Shrine (ศาลเจ้าคามาโดะ)
ที่นี่เป็นศาลเจ้าแห่งเอ็นมุซุบิ (※1) ที่ตั้งอยู่บนตีนเขาโฮมันซังซึ่งได้รับการเคารพบูชาในฐานะที่เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพเจ้า ถนนที่ทอดยาวไปถึงศาลเจ้าเป็นอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีที่เราสามารถเพลิดเพลินกับสีแดงสดใสกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาได้ ความงดงามที่ได้สัมผัสได้ตอนเดินไปบนทางเดินที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีโปรยปรายและลอดผ่านอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีช่างเป็นประสบการณ์ที่ดีเกินคำบรรยายจริงๆค่ะ
ปลายเดือนพฤศจิกายนจะมีการจัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสี (Autumn leaves Festival) (ในปี2015 จัดวันที่21 – 23 พฤศจิกายน ) นอกจากนี้ ตอนกลางคืนก็ยังมีการจัดแสดงไลท์อัพภายในสถานที่อีกต่างหาก (ต้นเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม 18:00~21:00 น.) จึงขอแนะนำให้มาเที่ยวตามช่วงเวลานี้จะดีที่สุด
※1…… เอ็นมุซุบิ : อิทฤทธิ์อย่างหนึ่งที่ช่วยผูก「縁 (ความสัมพันธ์)」หรือโชคชะตาของคนและเรื่องราวเข้าด้วยกัน เพื่อเรียกความสุขและโชคลาภ
Kōmyōzen-ji (วัดโคเมียวเซ็น)
ที่นี่เป็นวัดที่ตั้งอยู่ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังงู (Dazaifu Tenman-gū) จาก Dazaifu Line「Dazaifu Station」ผู้คนรู้จักคุ้นเคยกันในชื่อเรียกอีกอย่างว่า「วัดโคเคะเดระ (วัดมอส) 」โดยโด่งดังเรื่องสวนมอสอันแสนงดงามที่ปลูกมาเป็นระยะเวลานานหลายปี
สวนด้านในสุดเป็นสวนญี่ปุ่นที่มีความหมายว่าทะเลก็เกิดจากน้ำหยดเดียวจนกลายเป็นทะเลขนาดใหญ่ซึ่งเรียกว่า「อิทเทกิไคเต」โดยใช้สาหร่ายสีเขียวแสดงถึงพื้นดิน และทรายสีขาวแสดงถึงทะเล จึงนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเพลิดเพลินกับความเข้ากันได้อย่างลงตัวของสีเขียวของสาหร่ายและใบไม้เปลี่ยนสี
Shiranoe Botanical Garden (สวนพฤกษศาสตร์ชิราโนเอะ)
เราสามารถเพลิดเพลินกับใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดงและสีเหลืองจากต้นเมเปิ้ลกว่า 800 ต้นทั่วทั้งสวนพฤกษศาสตร์ในระหว่างช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม ลานกว้างตรงทางเข้า, ทางเดินที่มีแสงอาทิตย์ส่องผ่านต้นไม้ และป่าไม้ผลัดใบนับเป็นแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีแสนสุดยอดที่พลาดไม่ได้
เนื่องจากจะมีการจัดแสดงดอกเบญมาศซึ่งเป็นดอกไม้สไตล์ญี่ปุ่นกว่า 100 กระถางตั้งแต่ปลาย ตุลาคมจนถึง กลาง พฤศจิกายน จึงขอแนะนำให้แวะมาชมไฮไลท์นี้ระหว่างชมใบไม้เปลี่ยนสีด้วยเลยค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดงานเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสี ในช่วงกลาง-ปลายเดือน พฤศจิกายนด้วย เราจึงสามารถสนุกสนานกับมินิคอนเสิร์ตกลางแจ้งและพิธีชงชาญี่ปุ่น (300 เยน รวมขนม) ได้อย่างจุใจ
Sennyo-ji Temple (วัดเซ็นเนียวจิ)
ที่นี่เป็นแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นชื่อที่มีทัศนียภาพงดงามมากทั้งต้นเมเปิ้ลยักษ์อายุกว่า 400 ปีซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและต้นไม้ผลัดใบอีกกว่า 200 ต้น ภายใน「สวนชินจิ」ที่ตั้งอยู่ตรงสวนด้านหลังมีต้นจันทน์ขาวซึ่งเป็นไม้หอมอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติอยู่ด้วย เราจึงสามารถเพลิดเพลินกับความงดงามจากการผสมผสานกับวิวใบไม้เปลี่ยนสีได้อย่างจุใจ
ในเดือน พฤศจิกายน เราสามารถเข้ามาชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในราคาเพียง 100 เยนเท่านั้น แต่สำหรับใครที่ต้องการเข้าโบสถ์ก็จะต้องเสียค่าเข้าอีก 400 เยน ภายในโบสถ์มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม 12 หน้า 1 พันมือและ 1 พันเนตร (พระโพธิสัตว์ตามความเชื่อของศาสนาพุทธ) ที่ทำมาจากไม้ขนาดใหญ่ โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ เนื่องจากเราสามารถชมพลางฟังคำบรรยายของเจ้าอาวาสได้ด้วย จึงขอแนะนำสำหรับคนที่สนใจเลยค่ะ