เที่ยวญี่ปุ่น สไตล์ WWOOF มีงบน้อย..ก็เรียนรู้โลก ได้ทั้งใบ

เที่ยวญี่ปุ่น สไตล์ WWOOF มีงบน้อย..ก็เรียนรู้โลก ได้ทั้งใบ

เที่ยวญี่ปุ่น สไตล์ WWOOF มีงบน้อย..ก็เรียนรู้โลก ได้ทั้งใบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่อง / ภาพ : อิสรีย์  เจียมอนุกูลกิจ

วันนี้พิเศษมากเพราะได้เพื่อนคนเก่ง... "ผึ้ง"  อิสรีย์  เจียมอนุกูลกิจ จะพาไปทำความรู้จัก โครงการ WWOOF Japan ซึ่งจริงๆ แล้วโครงการนี้ก็มีตั้งอยู่ทั่วโลก..และก็น่าจะเหมาะกับเด็กๆ วัยรุ่น หรือกลุ่มคนที่อยากออกไปท่องโลกกว้างแบบที่ได้อะไรมากกว่าการไปเที่ยวธรรมดาทั่วไป

ปัจจุบันนี้ผึ้งเป็นนักวิจัยความสนุกอยู่ที่ www.mamuangdiy.com ที่เราไปตามจีบอยู่ไม่นานก็ยอมใจอ่อนมาเล่าเรื่องราว แชร์ประสบการณ์สนุกๆ กับการใช้ชีวิตในฟาร์มออร์แกนิคในต่างแดน ที่แม้ว่าจะไปแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้ความสุขกลับมาเต็มไม้ เต็มมือ เลยทีเดียว แล้วเห็นว่าจะไปซ้ำอีกหลายๆ รอบ อีกด้วย

เริ่มกันเลย

จากวันแรกที่ผึ้งได้เข้าร่วมโครงการนี้ ก็ประมาณ 1ปีครึ่งได้แล้วกับทริปสุดประทับใจ ที่ได้เห็นญี่ปุ่นในมุมมองที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวเดิมๆ ได้อยู่กับธรรมชาติ ได้ใช้ชีวิต ได้เข้าใจความคิดของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ผ่านการทำกิจกรรมอาสาสมัคร หรือที่เรียกว่าโครงการ WWOOF นั่นเอง และเชื่อว่าคงมีหลายคนที่สนใจอยากเข้าร่วม หรือยังไม่รู้จักโครงการนี้ วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังค่ะ 

WWOOF คืออะไร?

WWOOF ย่อมาจาก Worldwide Opportunities in Organic Farms เป็นโครงการอาสาสมัคร โดยการช่วยทำฟาร์มออร์แกนิค แลกกับที่พักและอาหาร โดยมีองค์กร WWOOF ของแต่ละประเทศเป็นเหมือนคนกลางระหว่างโฮสต์หรือเจ้าของฟาร์มออร์แกนิค (WWOOF Host) และบุคคลทั่วไปที่ต้องการสมัครไปเป็นอาสาสมัคร (WWOOFers) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wwoof.net/ 

ประเทศที่มีโครงการ WWOOF 

ทำไมถึงอยากเข้าร่วมโครงการ WWOOF Japan? 

บอกก่อนว่าส่วนตัวเป็นคนที่ชอบในความเป็นประเทศญี่ปุ่นมาก ทั้งอาหาร การ์ตูน วิธีการคิด วัฒนธรรม ฯลฯ   ส่วนทำไมถึงอยากไป WWOOF นั้น บอกตามตรงเลยก็คือ ‘อยากเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นนานๆ ในงบประหยัด’ ค่ะ  อยากอยู่ได้หลายๆ วัน อยากมีประสบการณ์นอกเหนือจากการท่องเที่ยวธรรมดาตามสถานที่ท่องเที่ยว พอมีเพื่อนแนะนำโครงการนี้มา ก็รู้สึกเหมือนเจอหีบสมบัติ มีหลายที่มากๆ ที่อยากไป ทั้งทำสวนผัก สวนผลไม้ ร้านเบเกอรี่ ร้านอาหาร ที่ล้วนแต่มีวิถี มีสไตล์เป็นของตัวเอง เรียกได้ว่ามีออร์แกนิค ทั้งด้านวิธีคิด การใช้ชีวิต และผลผลิตที่ได้เลยทีเดียว ไม่รอช้ารีบกดสมัครเข้าร่วมโครงการทันที

ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ WWOOF Japan (แบบคร่าวๆ)

1. สมัครเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.wwoofjapan.com/ (แต่ละประเทศค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน ส่วน WWOOF Japan ค่าสมาชิกปีละ 5,500 เยน หรือประมาณ 1,600 บาท  มีค่าธรรมเนียมการโอนนิดหน่อย เพราะใช้ Paypal จ่าย)

2. เลือกโฮสต์หรือที่เราอยากจะไปอยู่ด้วย

3. ส่งข้อความขอไปทำงาน (แนะนำให้ขอทีละที่)

4. รอการตอบรับ

5. ถ้าได้รับการตอบรับก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋าได้เลย ถ้าโฮสต์ปฏิเสธ ก็กลับไป ข้อ 2.

หลังจากที่สมัครสมาชิกแล้วก็มาวางแผนทริปกันค่ะ แน่นอนว่าตั๋วเครื่องบินต้องถูกที่สุด ลางานน้อยที่สุด และได้วันลางานเยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราได้ตั๋วถูกจากสายการบิน Low Cost ค่ะ ตอนนั้นมีโปรกรุงเทพ-โตเกียว(นาริตะ) 2,990 บาท แต่ก็แค่ขาไปอ่ะนะ ขากลับรู้สึกว่าจะได้ประมาณ 4,000 บาท สิริรวมค่าตั๋ว ภาษี กระเป๋า แล้วประมาณ 10,100 บาทค่ะ ราคาดี เลขสวยแถมลางานแค่ 6 วัน ได้ไปเที่ยว 11 วัน เลยรีบกดซื้อเลยค่ะ ตอนนั้นมีแค่ความหวัง และเงินอันน้อยนิด โฮสต์ก็ยังไม่มี เค้าจะรับเราเข้าทำงานรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่จะไปแล้วล่ะ

ความตั้งใจในตอนแรกคืออยากออกหาประสบการณ์คนเดียวค่ะ ดูคูลดี แต่พอบอกพี่สาวเท่านั้นแหละว่าได้ตั๋วถูก และอยากจะร่วมโครงการอาสาสมัคร ทั้งทริปไม่น่าจะเกิน 25,000 บาท พี่สาวก็เลยอยากมาด้วย ทริปนี้เลยกลายเป็นทริปครอบครัวไปโดยปริยาย

กระดี๊กระด๊ากับตั๋วราคาดี (ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้) ก็รีบสมัครโครงการให้พี่สาว และเลือกฟาร์มที่เราอยากจะไปอยู่ด้วย

หลักการเลือกโฮสต์ของเราค่ะ

1. อยู่ใกล้โตเกียว หรือสนามบินที่เราไปลง เพราะมาครั้งแรก ยังไม่อยากออกตัวแรง แถมประหยัดค่ารถ

2. กรอกข้อมูลครบถ้วน มีรูปภาพใน Gallery ทำให้เราพอนึกภาพได้ว่า ฟาร์มนั้นใหญ่มั้ย มีงานอะไรที่ต้องทำบ้าง เราจะช่วยเหลือเค้าได้มั้ย หน้าตาฟาร์มเป็นอย่างไร ฯลฯ

3. ทำงานไม่หนักเกินไป เพราะทุกฟาร์มจะบอกเลยว่าอยากให้เราทำงานวันละกี่ชม. ในช่วงเวลาที่เราไปนั้นมีกิจกรรมอะไรที่ต้องทำบ้าง บางฟาร์มต้องการแรงงานช่วยสร้างบ้านไม้ อันนี้ไม่ถนัด เราก็ขอเลือกไปอย่างที่อื่นแทนค่ะ

4. โฮสต์ต้อนรับ WWOOFer ที่เป็นชาวต่างชาติ หรือโฮสต์สามารถพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง เราจะได้ไม่เป็นภาระของโฮสต์ที่ต้องใช้ภาษามือ หรือพูดกันไม่รู้เรื่อง

5. มีรีวิวที่ดีจาก WWOOFer คนอื่นๆ ทำให้เราสบายใจได้ว่า โฮสต์จะดูแลเราเป็นอย่างดี เพราะมีบางฟาร์มที่โฮสต์ให้ทำงานค่อนข้างหนัก แต่ส่วนนี้จะมีน้อยมากค่ะ

6. สถานที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว เพราะมีแผนจะไปเที่ยวต่ออีก 2 วัน จึงอยากประหยัดค่ารถ (อีกแล้ว) ในอนาคตถ้ามีงบเยอะกว่านี้ อยากไปไหนต้องได้ไปค่ะ แฮ่ ตอนนี้ขอแบบนี้ไปก่อน

เมื่อแน่ใจแล้วว่าเราผ่านเกณฑ์ที่โฮสต์กำหนดเอาไว้ (ยังไงก็เป็นประโยชน์กับโฮสต์แน่ๆ ย้ำ!!..ต้องเป็นประโยชน์) ก็ส่งข้อความแนะนำตัว  แสดงความตั้งใจจริง ว่าอยากเข้าไปทำงาน เป็นระยะเวลากี่วัน พร้อมมากับพี่สาวอีก 1 คน ขอให้โฮสต์พิจารณาด้วย  และพี่สาวก็ส่งจดหมายตามไปอีกที (นอบน้อมสุดๆ)

แนะนำให้ส่งข้อความทีละโฮสต์นะคะ เพื่อป้องกันรถไฟชนกัน หากเราส่งไปหลายๆโฮสต์ แล้วเขารับพร้อมกัน แล้วเราปฏิเสธเนี่ย จะดูเสียมารยาทมาก และทางโฮสต์สามารถ report ให้ทางทีมงานแบน Account เราได้ด้วย

หลังจากที่โดนปฏิเสธมาหลายรายเนื่องจาก เต็มบ้าง ยังไม่รับคนบ้าง สุดท้ายได้ลงเอยกับไร่วาซาบิและชาในจังหวัด Shizuoka จังหวัดใหญ่ ไม่ไกลจากโตเกียวค่ะ ในที่สุดเราก็ทำได้ค่ะ น้ำตาไหลพราก รีบตอบขอบคุณรัวๆ พอได้ข้อมูลต่างๆของโฮสต์แล้วก็รีบวางแผนลางาน และจัดตารางเที่ยวเลยค่ะ

เราเลือกเดินทางไปชิสึโอกะด้วยรถไฟธรรมดา ใช้เวลามากกว่าชินคันเซ็นเท่าตัว แต่ก็ได้เดินทางชิวๆ ในราคาเบาๆ สามารถตรวจสอบเส้นทาง เที่ยวรถไฟ และราคาได้ที่เว็บไซต์ http://www.hyperdia.com/ ค่ะ

เมื่อเราวางแผนเส้นทาง และเวลาแล้วก็แจ้งกลับไปที่โฮสต์ ถึงวันเวลาที่เราจะไปถึง เสร็จแล้วก็นับวันรอเลยค่ะ ระหว่างรอเราก็คิดถึงสิ่งที่ต้องเตรียมไป เช่น

- ของใช้ที่ต้องเตรียมไป เช่น รองเท้าบูท เสื้อผ้าที่เอาไว้ใช้ทำสวน ไฟฉาย เป็นต้น

- โอมิยาเงะ หรือของฝาก เป็นธรรมเนียมการฝากเนื้อฝากตัว พี่สาวเราเลือกข้าวไทย และของใช้ไทยๆ น่ารักๆ ส่วนเราเลือกทองม้วน เมล็ดผักบุ้ง(ที่ญี่ปุ่นผักบุ้งแพ๊งแพง) และผ้าไทย 1 ผืน

- ออฟชั่นเสริม เราและพี่สาวอยากจะไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย เลยคิดว่าจะทำอาหารไทยด้วย 1 มื้อ

- ศึกษาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดชิสึโอกะ และเติมแพลนเที่ยวให้เต็มอิ่ม

ก่อนบิน ส่งข้อความนัดโฮสต์ให้เรียบร้อย ว่าจะเจอกันที่ไหน กี่โมงใส่เสื้อสีอะไร จะได้หากันถูกค่ะ 

วันแรกที่เจอ ตื่นเต้นค่ะ โฮสต์ของเราเป็นคุณป้าวัย 60 กลางๆค่ะ ความรู้ภาษาญี่ปุ่นอันน้อยนิดได้คืนครูที่ไทยไปหมดแล้ว เมื่อเจอภาษาญี่ปุ่นของป้า เราก็ได้แต่ เออ..ออไป เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง พอไปถึงก็เก็บข้าวของ แนะนำบ้านและ ได้เจอเพื่อน WWOOFer อีกคนที่มาถึงก่อนแล้ว และป้าก็ได้ให้หลานๆ ที่มาเยี่ยมพาชมสถานที่รอบๆ บ้าน วิ่งเล่นกัน ทานข้าวเย็น เป็นอันจบวันแรกสบายๆค่ะ 

งานส่วนใหญ่ที่ทำในฟาร์มจะขึ้นอยู่กับฤดูที่ไป เนื่องจากผึ้งไปหน้าร้อน งานหลักคือถอนหญ้าในไร่ชา กับเก็บและแปรรูปวาซาบิค่ะ 

แปลงวาซาบิรอบๆบ้าน 

หน้าตาของต้นวาซาบิชัดๆ 

งานถอนหญ้าคืองานของเรา

ไร่ชาที่เพิ่งแต่งทรงใหม่ๆ สีเขียวสวย

เดินไปไร่วาซาบิ

เข้าโหมดโรงงานแปรรูปวาซาบิ ทุกส่วนขายได้ ต้นอ่อนสามารถนำไปปลูกต่อได้อีก

วาซาบิไซส์จัมโบ้ พร้อมแพคส่งขายในเมืองแล้ว

วาซาบิหัวไหนที่ไม่สวย ขายไม่ได้ราคา นำมาทำเป็นข้าวหน้าวาซาบิ อร่อยรู้เรื่อง 

วาซาบิหัวเล็กๆ นำมาซอยละเอียด แปรรูปเป็นเต้าเจี้ยววาซาบิต่อได้

ซอยวาซาบิเสร็จแล้ว เริ่มทำได้

หน้าตาเต้าเจี้ยววาซาบิ จริงๆ คือการนำมิโสะ หรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น มาปรุงรสเพิ่มเติมและใส่วาซาบิซอยลงไป ใช้ทานเป็นของเคียงกับข้าวได้ แซ่บหลายๆ

รูปทั้งหมดนี้เป็นรูปการทำงานที่เราทำตลอด 8 วันในฟาร์มค่ะ วันนึงทำงานประมาณ 6 ชั่วโมงเท่านั้น ทุกอย่างเป็นของใหม่สำหรับเราไปหมดค่ะ  ยกเว้นการถอนหญ้า รสชาติวาซาบิสดแตกต่างกับที่เคยทานตามร้านอาหารมากเลยค่ะ ไม่เผ็ดฉุนขึ้นจมูก ปวดหัวแบบที่เคยเป็น แต่มีกลิ่นหอม และมีรสหวานนิดๆ ตามที่เคยเคยอ่านการ์ตูนเรื่องไอ้หนูซูชิเลยค่ะ 

เวลาอื่นนอกจากทำงานป้าให้เราใช้ได้อิสระค่ะ จะนอนพักก็ได้ จะเดินรอบๆ หมู่บ้านก็ได้ บางวันป้าก็พาเราไปคาเฟ่ที่อยู่หมู่บ้านข้างๆค่ะ 

หน้าตาคาเฟ่สวนกุหลาบ เรามาหน้าร้อน แถมมีฝนตก เลยไม่ค่อยมีดอกไม้เลย

บ้านและเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้ น่ารักมากๆ 

วิวหลังฝนตก สวยกว่าในรูปมากๆ

วันสุดท้ายก่อนกลับป้าให้เราหยุด 1 วัน ไปเที่ยวรอบๆ เมือง เราเลือกไปออนเซ็นพร้อมเพื่อน WWOOFer ชาวไต้หวันค่ะ  

นั่งรถบัสไปในอากาศชุ่มฉ่ำเพราะฝนตก 

ทางเข้าออนเซ็น จะเรียกว่าโรงอาบน้ำก็ได้ เพราะไม่หรูหราสไตล์นักท่องเที่ยว ต้องเอาผ้าเช็ดตัว ข้าวกล่องมาเอง

ต้องหยอดเหรียญซื้อตั๋วก่อนนะ 

'งานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกรา'คงใช้กับวันนี้ได้ เป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่กับป้าแล้ว ความตั้งใจแรกคือออกจากบ้านป้าแต่เช้า เพื่อไปเที่ยวในเมือง และชมภูเขาไฟฟูจิต่อ แต่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ บวกกับสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน แถมเมฆเยอะทำให้มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิเลย สองพี่น้องเลยข้ามโปรแกรมเที่ยวในเมืองไปแล้วทำตัวชิลๆ พร้อมเมื่อไหร่ก็กลับแทน

ตั้งแต่เช้าก็สาละวนอยู่กับการแพ็คของฝาก ทั้งหัววาซาบิและชาเขียวหน้าหนาวเบอร์หนึ่งจากสวนป้า ป้าแพ็คใส่น้ำแข็งใส่ลังโฟมให้เป็นอย่างดี กลัววาซาบิจะไม่สดเมื่อถึงกรุงเทพฯ ซึ้งงง

ชั่วโมงสุดท้ายก่อนกลับ เราแพ็คกระเป๋าและของฝากเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้ารื้อคลังยูคาตะในบ้านมาให้พวกเราใส่ ตอนแรกก็เข้าใจว่าให้ใส่ถ่ายรูปให้เข้ากับเทศกาลหน้าร้อน ถ่ายรูปอำลากันจนหนำใจแล้ว ป้าก็บอกว่าป้ายกชุดให้นะ กลับไปซักแห้ง รีดให้เรียบร้อยแล้วใส่นะ ตอนนั้นน้ำตาแทบไหลค่ะ ป้าใจดีมาก สายตาของป้าเหมือนเห็นเราพี่น้องเป็นลูกเป็นหลานจริงๆ ซึ้งใจมากเลยค่ะ 

กำลังใส่ยูคาตะ

ชุดดูมุ้งมิ้งมาก เป็นชุดที่ลูกสาวป้าเคยใส่

ชุดที่ป้าให้

ขนวาซาบิกลับบ้าน เราจะไม่ยอมอร่อยคนเดียว

หลังจากนั้นป้าก็มาส่งเราสองพี่น้องในเมืองชิสึโอกะ ที่เดิมที่เราได้เจอกัน ร่ำลากับแปปเดียวแล้วก็ออกเดินทางต่อ ก่อนหน้านี้อยู่บนเขาเจออากาศเย็นจนเคยชิน พอลงมาเจอกับอากาศหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นอย่างแท้จริงแล้วแทบสลบ ทำให้เราสองคนเป็นไข้นอนซมอยู่ 1 วัน แผนที่ตั้งใจจะเที่ยวก็ยกเลิกหมด มุ่งหน้ากลับโตเกียว เตรียมตัวกลับกรุงเทพในวันต่อมา แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเรารู้วิธีการเที่ยวแบบใหม่แล้ว คราวหน้าเราจะกลับมาใหม่

สุดท้ายหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน สำหรับการเตรียมตัวไปเที่ยวรูปแบบใหม่ๆ กันนะคะ และอย่าลืมทำหน้าที่อาสาสมัครให้ดีด้วยค่ะ เจอกันค่า 

และสำหรับใครที่ยังรู้สึกไม่จุใจ อยากติดตามน้องผึ้งต่อ ก็สามารถตาม Follow น้องผึ้งได้ทางนี้เลยค่ะ IG : @bloombalaka

อัลบั้มภาพ 73 ภาพ

อัลบั้มภาพ 73 ภาพ ของ เที่ยวญี่ปุ่น สไตล์ WWOOF มีงบน้อย..ก็เรียนรู้โลก ได้ทั้งใบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook