4 วัน 3 คืน ไปเที่ยวกาญจน์ไหม (ตอนที่ 1)
เหตุเกิดจากโดนเท เลยโยเยไปเที่ยวกาญจน์...ตะแง่วๆ น้องๆ เพื่อนๆ ให้พาไปพักกาย พักใจ โดยตั้งใจว่าจะใช้เวลา 4 วัน 3 คืน ที่มีเที่ยวให้ครบทุกอรรถรส
ปุ๊บปั๊บทัวร์ทริปนี้ เราระดมแก๊งได้ 3 คน มุ่งเป้าไปที่ จังหวัดกาญจนบุรี เพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย โดยวางแผนจะไปสำรวจในตัวเมืองกาญจน์ ก่อนเขยิบไปที่ อ.ไทรโยคและปิดท้ายที่ อ.สังขละบุรี
ทริปแรกของพวกเราที่ขับรถไปเที่ยว ยาวกันไป แบบถึงไหนถึงกันลุยกันไปแบบไม่เกรงใจฝนฟ้า เลยอยากนำความประทับใจที่ได้ไปสัมผัสมาฝากเพื่อนๆ ผ่าน "บันทึก
กาญจน์ เดินทาง ใน 3 แบบ 3 สไตล์ (ครั้งแรกของการเขียนรีวิวเช่นกัน แฮร่ๆขาดตกบกพร่องอย่างไรขออภัยล่วงหน้านะจ๊ะ)
DAY 1 ปั่นจักรยานเที่ยวในเมือง สัมผัสร่องรอยประวัติศาสตร์เมืองกาญจน์
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ของเช้าวันจันทร์ ประมาณ 6 โมง แม้ช่วงนี้จะมีฝนตกลงมาแทบทุกวัน แต่ก็ยังมุ่งมั่นที่จะออกเดินทาง โดยเลือกใช้เส้นทางกรุงเทพ - บางบัวทอง - บางเลน - กำแพงแสน – กาญจนบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงจุดแรกที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว
ก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว แอบกระซิบเพื่อนร่วมแก๊งว่าอยากชิลล์ ขอเสพธรรมชาติของเมืองกาญจน์ให้ชุ่มปอด เดอะแก๊งไม่รีรอจอดรถเลยจ้า ยกจักรยานพับได้ที่ติดรถมาด้วย ลงมาให้ปั่นสมใจ
ส่วนใครอยากปั่นจักรยานเที่ยวในเมือง แต่ไม่มีจักรยาน หรือไม่อยากขนไปด้วย ก็ไปหาเช่าได้มีทั้งรถจักรยาน และรถมอเตอร์ไซค์ มีให้เช่าหลายร้านอยู่เหมือนกัน
สะพานข้ามแม่น้ำแคว
ถ่ายรูปเช็คอินจุดแลนด์มาร์คของกาญจนบุรีกันหนำใจแล้ว ก็ไปยังจุดหมายต่อไป คือ สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ระยะทางจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว มาสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก อาจทำให้จังหวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะไปบ้าง แต่ถ้าคิดว่าเป็นการออกกำลังกายก็ดีต่อใจไม่น้อย
วันที่เราไปแม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมถึงกรุ๊ปทัวร์มาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย ภายในสุสานจะมีคนให้ข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจอยากรู้รายละเอียด อีกทั้งยังมีพี่ๆ คอยดูแลต้นหญ้าในสุสานให้อยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก
ปั่นจักรยานในเมืองยังชิลล์ไม่พอ เดอะแก๊งลงมติตรงกันว่าอยากนั่งชิลล์ไปกับรถไฟไทยปู้นๆ เพราะปกติใช้ชีวิตในเมืองหลวงไม่มีโอกาสได้นั่งรถไฟเลย แถมสถานีรถไฟกาญจนบุรีก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้าม เยื้องไปนิดเดียวจากสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก เราวางแผนกันว่าจะนั่งรถไฟจากต้นทางที่สถานีกาญจนบุรี ไปสถานีสุดท้ายสิ้นสุดที่สถานีน้ำตก โดยจุดหมายปลายทางของพวกเราอยู่ที่น้ำตกไทรโยคน้อย
พวกเราใชสิทธิ์คนไทยขึ้นรถไฟฟรี ครั้งแรกเหมือนกัน ไม่มีอะไรยุ่งยากแค่เอาบัตรประชาชนไปให้เจ้าหน้าที่เพื่อรับตั๋วโดยสารแค่นั้นก็ได้ตั๋วเตรียมขึ้นรถไฟปู้นๆ ได้เลย
สถานีรถไฟกาญจนบุรี
นั่งปล่อยความรู้สึกไปสบายๆ วิถีที่หายไป พอได้มาสัมผัสก็อิ่มเอมดีต่อใจไปอีกแบบ และอีกหนึ่งความประทับใจระหว่างทาง ก่อนถึงสถานีถ้ำกระแซ จะผ่านโค้งมรณะจุดที่น่าหวาดเสียวที่สุด แต่ก็เป็นจุดที่สวยงามที่สุดด้วยเช่นกัน
โค้งมรณะ (สะพานถ้ำกระแซ)
นั่งรถไฟเกือบ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงปลายทางที่สถานีน้ำตก เราต้องขึ้นรถสองแถวต่อไปอีกเพื่อไปยังน้ำตกไทรโยคน้อย ค่ารถคนละ 20 บาท นั่งไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงน้ำตกไทรโยคน้อย ขณะเดินขึ้นไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงน้ำตก หรือเสียงคนเล่นน้ำเลย พอเดินถึงบริเวณน้ำตก ก็ได้คำตอบเพราะภาพที่เห็นตรงหน้า คือโขดหินปูนที่แห้งสนิท ไม่มีน้ำเลย สอบถามคนแถวนั้นได้ความว่า ปีนี้น้ำมาช้ากว่าปกติประกอบกับฝนตกน้อยเลยทำให้ไม่มีน้ำ
น้ำตกไทรโยคน้อย
พวกเราแค่รู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลย กลับรู้สึกว่าตอนที่ไม่มีน้ำ ก็ดูสวยไปอีกแบบ เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นหินปูนที่เป็นชั้นน้ำตกงดงามเหมือนสายน้ำที่ไหลลงมา บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม บรรยากาศร่มรื่น พวกเรายังเก็บภาพความประทับใจไว้ได้เยอะอยู่เหมือนกัน
เดินลงมาจากน้ำตก ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จะมีร้านขายของกิน ของฝากเรียงรายอยู่ติดกัน ที่สะดุดตาก็คงเป็นกล้วยทอด มันทอด เผือกทอด หลากรส ที่ทอดกันสดๆ ใหม่ๆ มีให้ได้ลองลิ้มชิมรสก่อนจะเลือกซื้อ ราคาไม่แพง ถุงละ 35 บาท 3 ถุง 100 บาท ฝากเตือนกันไว้ถ้าใครได้ลองกิน อาจจะเพลินจนหยุดไม่อยู่จนกว่าจะหมดถุง เพราะพวกเราก็เป็นเช่นนั้น 555
กล้วยทอด มันทอด เผือกทอด หลากรส
ทอดกันสดๆ เลยจ้า
เดินมาอีกนิดก็ต้องสะดุดอีกรอบเพราะได้กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก เจ้าของกลิ่นนั้นก็คือ “โรตีมะพร้าวอ่อน” โรตีปักษ์ใต้ สูตรของพี่รักษ์ พ่อค้าชาว จ.นราธิวาส แต่มาได้แฟนที่เมืองกาญจน์ จึงย้ายถิ่นฐานมาอยู่กับแฟน และขายโรตีที่คิดค้นเอง ดัดแปลงมาจากไอศกรีมมะพร้าว และมั่นใจว่าเป็นเจ้าแรกที่คิดค้นสูตรนี้ ใครอยากกินไปได้ทุกวัน ขายอยู่หน้า 7-11 ฝั่งตรงข้ามน้ำตกไทรโยคน้อย ตั้งแต่ 10.00 - 18.00 น. รับประกันความอร่อย และนุ่มลิ้น แถมมีความหอมหวานจากมะพร้าวเรียกว่าฟินแบบสุดๆ และถ้าใครอยากกินน้ำมะพร้าวก็เอาแก้ว หรือเอาขวดน้ำไปใส่ได้นะจ๊ะ เพราะพี่รักษ์ให้ฟรีๆ ไม่มีหวง บางวันแม่ค้า พ่อค้าละแวกนั้นก็มาแบ่งไปกิน
โรตีมะพร้าวอ่อน
เพลิดเพลินกันไปดูเวลาอีกทีต้องรีบนั่งรถสองแถวหน้าน้ำตกไทรน้อย กลับไปที่สถานีน้ำตก เพราะเดี๋ยวจะตกรถไฟเที่ยวสุดท้าย 15.30 น. พวกเรากลับมาถึงสถานีรถไฟกาญจนบุรี เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เลยหาร้านกาแฟน่ารักๆ หาอะไรรองท้อง ขับรถออกจากสถานีรถไฟกาญจนบุรี มาไม่ไกลมากนัก มาลงเอยที่ร้าน 10 O’Clock Café (เท็น โอคล็อค คาเฟ่) อยู่ริมถนน ปากีสถาน เลยโค้งประปามาประมาณ 1 กิโลเมตร ด้านนอกตกแต่งเต็มไปด้วยต้นไม้ เป็นสวนร่มรื่น มีมุมหลายมุมให้ถ่ายรูป ส่วนด้านในน่ารักเก๋ไก๋ ทิ้งกายลงบนโซฟานุ่มๆ ทำให้รู้สึกชิลล์ไปอีก เมนูของพวกเราจัดไปเบาๆ กับ สตรอว์เบอร์รีปั่น, ลาเต้เย็น, อเมริกาโน่, เค้กไวท์ช็อกโกแลต และสตรอว์เบอร์รี ชีสพาย อร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะเค้กโฮมเมดที่ร้านทำเอง รสชาติกำลังดีไม่หวานจัด งานนี้ทั้งอิ่มท้อง และอิ่มบรรยากาศ
10 O’Clock Café
คืนแรกราเช็คอินเข้าพักที่ Good Times Resort Kanchanaburi (กู๊ดไทม์ รีสอร์ท กาญจนบุรี) ห้องพักแบบ 3 เตียง ราคาอยู่ที่คืนละ 1,800 บาท ก่อนนอนไม่ลืมเขียนบันทึกความทรงจำที่ได้ไปสัมผัสร่องรอยของประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลือให้เห็น นี่เพียงแค่วันแรกเท่านั้น ก็ทำให้อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อนึกถึงเช้าวันใหม่กับการเดินทางไปเยือน อ.ไทรโยค และสายน้ำที่ชุ่มฉ่ำ จบบันทึกกาญจน์เดินทาง . . . #ดีต่อใจ
Good Times Resort Kanchanaburi (กู๊ดไทม์ รีสอร์ท กาญจนบุรี)
DAY2 ชิลล์ ชุ่มฉ่ำ บนสายน้ำแคว ล่องแพเมืองกาญจน์
สวัสดีเช้านี้ ที่กาญจน์นะจ๊ะ วันที่ 2 ของพวกเรา วันนี้มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ อ.ไทรโยค ไปสัมผัสกับธรรมชาติ นอนแพริมน้ำ ลอยคอไปตามสายน้ำแควน้อย แค่คิดก็ฟินแล้ว แต่ระหว่างทางก็สำคัญนาจา จุดหมายแรกระหว่างเดินทาง พวกเราตั้งใจจะไปชมอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ไปชมความงามของโบราณสถานเพียงแห่งเดียวของกาญจนบุรี
ค่าเข้าสำหรับคนไทยคนละ 20 บาท ต่างชาติ 100 บาท ส่วนรถยนต์ 50 บาท
ปราสาทเมืองสิงห์สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน มีสถาปัตยกรรม และปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720 - 1780) ภายในอุทยานมีโบราณสถาน4 แห่ง
โบราณสถานหมายเลข 1 ตั้งอยู่ใจกลางกลุ่มโบราณสถาน องค์โบราณสถานหันหน้าไปทางทิศตะวันออกประกอบด้วยสิงห์สำคัญ คือ ปรางค์ประธาน ระเบียงคด โคปุระ บรรณศาลา และกำแพงแก้ว
โบราณสถานหมายเลข 2 มีปรางค์ประธาน โคปุระ 4 ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย และเป็นสถานที่ขุดพบเทวรูป
โบราณสถานหมายเลข 3 ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้ว เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ก่อด้วยศิลาแลง
โบราณสถานหมายเลข 4 เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า การก่อสร้างอาคารใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุสำคัญ
ระบบนำชมแบบแบบพึ่งพาตนเอง QR CODE รองรับนักท่องเที่ยวถึง 5 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น
ภายในอาคารจัดแสดงศิลปวัตถุ
หลุมฝังศพสมัยก่อนประวัติศาสตร์
เดินชมครบทุกพิกัดที่สำคัญภายในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์เรียบร้อยแล้ว พวกเราทำเวลาเดินทางกันต่อ เพราะแอบเห็นป้ายบอกทางไปถ้ำกระแซระหว่างทางมาอุทยานฯ ไหนๆ มาแล้วก็ขอโฉบไปหน่อย เพราะวันแรกได้เพียงแค่นั่งรถไฟผ่าน พวกเราขับมาถึงสถานีรถไฟถ้ำกระแซ ดูเวลาแล้วยิ้มเลยจ๊ะ โชคดีสุดๆ เพราะมาทันเก็บภาพรถไฟที่กำลังจะวิ่งผ่านโค้งมรณะพอดี
ถ้ำกระแซ
โค้งมรณะ (สะพานถ้ำกระแซ)
แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝน แต่แดดยามเกือบบ่าย ก็ทำให้พวกเหงื่อแตกพลั่กไปตามๆ กัน ออกจากสถานีรถไฟถ้ำกระแซมาไม่ไกล เลยขอแวะหาอะไรดื่มที่ Rim Nam Cafe (ริมน้ำคาเฟ่) ร้านกาแฟ ริมแม่น้ำแควน้อย สไตล์วินเทจ ต้นไม้เขียวร่มรื่น ให้ดีต่อใจกันสักนิดสักหน่อยก่อนเดินทางต่อ
Rim Nam Cafe (ริมน้ำคาเฟ่)
ได้เวลาเดินทางต่อ ขับยาวๆ มุ่งหน้าไป อ.ไทรโยค แต่ระหว่างทางท้องเริ่มส่งเสียงจ๊อกๆ เตือนให้รู้ว่าถึงเวลาเติมพลังกันแล้วนาจา พวกเราฮึบไว้อีกอึดใจนึง เพื่อไปแวะกินข้าวที่ร้านครัวณาขวัญ ตามคำแนะนำของเด็กปั้มละแวกนั้น มีบอกว่าราคามาตรฐาน แต่รสชาติดี คอนเฟิร์ม!!!
จัดหนักจัดเต็ม ปลากะพงทอดน้ำปลา ส้มตำไทย หมูผัดพริกไทยดำ แกงเลียงกุ้งสด 3 คน กับข้าว 4 อย่างหมดภายในพริบตา หิวไหม? ถามใจดู
อิ่มท้องแล้วก็ถึงเวลาไปต่อคะ!! โดยมีจุดหมายที่พักคือ “ไทรโยค วิว ราฟท์”
“ไทรโยค วิว ราฟท์” แพที่พักขนาดใหญ่ริมน้ำแม่น้ำแควน้อย โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ภายในห้องพักไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น ไม่มีแอร์ มีปลั๊กไฟให้จุดเดียว ยังไงเตรียมปลั๊กไฟสายพ่วงไปไว้กันเหนียวก็ดีนะคับผ๊มม
ไทรโยค วิว ราฟท์
พอถึงเวลา 5 โมงเย็น นักท่องเที่ยวจะไปรวมตัวกันที่แพลาก กิจกรรมของ “ไทรโยค วิว ราฟท์” ที่ไม่ควรพลาด เรือจะลากแพวิ่งทวนกระแสน้ำไปถึงจุดปล่อยนักท่องเที่ยวที่อยากจะลอยคอชิลล์ไปตามกระแสน้ำกระโดดลงไป ก่อนจะหันหัวเรือลากแพกลับ พานักท่องเที่ยวอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้กระโดดลงไปเล่นน้ำ ชมธรรมชาติ 2 ฝั่งแม่น้ำ ล่องไปตามสายน้ำยังจุดหมายที่จะจอดรอ เพื่อรับนักท่องเที่ยวขึ้นมาจากน้ำ และล่องกลับที่พัก
ล่องแพ
ลอยคอกันมาเป็นกลุ่ม
กลับจากล่องแพ ก็อาบน้ำอาบท่า แต่งตัวไปกินมื้อค่ำแบบบุฟเฟ่ต์กันต่อ เปิดถึงประมาณ 4 ทุ่ม ถ้าใครไปเป็นก๊วนอยากกินปิ้ง ย่าง สังสรรค์ต่อ ทางรีสอร์ทมีเตาปิ้งย่างไว้ให้บริการ แต่ต้องมาปิ้ง ย่าง บริเวณแพกลางที่เตรียมไว้ให้ ไม่อนุญาตให้ทำหน้าห้องพักเด็ดขาด
หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อนตามระเบียบ (อีกแล้ว) ผจญภัยมาทั้งวัน แต่ก่อนเข้านอนขอมานั่งห้อยขา ฟังเสียงแมลง มองแสงไฟสะท้อนบนผืนแม่น้ำแควน้อย ท่ามกลางความสงบของธรรมชาติ ที่เงียบสงบ ตัดขาดความวุ่นวายจากโลกภายนอก ได้พักกาย พักใจ จากความวุ่นวายในชีวิต แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้โปร่ง โล่ง สบาย เพิ่มพลังให้เดินหน้าต่อในวันพรุ่งนี้อีกครั้งกับกาญจนบุรี และจุดหมายต่อไป เมือง 3 หมอก สังขละบุรี จบบันทึกกาญจน์เดินทาง . . . #ดีต่อใจ
ไทรโยค วิว ราฟท์ ยามค่ำ
DAY 3 “สังขละบุรี” มนต์เสน่ห์ แห่งนทีสามประสบ
แสงแดด และสายหมอก สัญญาณบอกว่าเข้าสู่เช้าวันใหม่ วันที่ 3 ของการเดินทาง เช้าวันนี้พวกเรายังอยู่ที่ “ไทรโยค วิว ราฟท์” เช้าที่ฟ้าโปร่ง มองเห็นความสวยงามของแพพักที่ทอดยาวออกไปตามสายน้ำท่ามกลางธรรมชาติ จนอยากจะหยุดเวลาไว้นานๆ
ไทรโยค วิว ราฟท์ ยามเช้า
จุดหมายปลายทางวันที่ 3 ของเราอยู่ที่ อ.สังขละบุรี ดินแดนหลากวัฒนธรรมที่ใฝ่ฝันมานาน ออกจาก “ไทรโยค วิว ราฟท์” มุ่งหน้า อ.สังขละบุรี หนทางที่ยาวไกลก็ต้องมีพักระหว่างทางกันบ้าง พวกเราแวะชาร์ตแบตที่ร้าน “Toh Coffee (โต๊ะกาแฟ)” ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323 เขต อ.ทองผาภูมิ
Toh Coffee (โต๊ะกาแฟ)
Go กันต่อสิจ๊ะ มนต์เสน่ห์ แห่งนทีสามประสบรออยู่ ขับยาวๆ กันไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323 ทางค่อนข้างจะเคี้ยวคด เลี้ยวลด ขึ้นเขา ลงเขา ขรุขระบ้างนิดหน่อย ต้องใช้สมาธิในการขับสำหรับมือใหม่อย่างเรา แม้ว่าทางจะไม่ราบเรียบ แต่ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางมันดีต่อใจนะจะบอกให้
สวัสดีสังขละบุรี เดินทางมาถึงแล้ว คืนนี้พวกเราพักพิงอิงแอบที่สวนแมกไม้รีสอร์ท
สวนแมกไม้รีสอร์ท
เหนื่อยเราก็เหนื่อย เมื่อยเราก็เมื่อย แต่เรายังลุยกันต่อ แดดยังดี ไม่มีฝน พวกเราไปนั่งเรือชมวัดใต้บาดาล ซึ่งทางรีสอร์ทมีบริการเรียกเรือให้ หากไปชมวัดเก่าจมน้ำ หรือ วัดวังก์วิเวการามเดิม เพียงวัดเดียว คิดราคาเหมา 300 บาทต่อเที่ยว นั่งได้ไม่เกิน 6 คน (ไม่รวมคนขับเรือ) แต่ถ้าจะไปชมวัดสมเด็จ (เก่า) และวัดศรีสุวรรณาราม รวม 3 วัด คิดราคาเหมาเที่ยวละ 500 บาท
พวกเราต้องไปขึ้นเรือที่จอดอยู่ริมน้ำใต้สะพานมอญ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก บริเวณนั้นมีเรือให้เช่าอยู่หลายราย ค่าบริการเป็นมาตรฐานเดียวกัน เราเลือกโปรแกรมเที่ยวชม 3 วัด ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 1 ชั่วโมง
ท่าจอดเรือใต้สะพานมอญ
จุดที่ 1 โบสถ์เก่า ของวัดใต้น้ำ หรือวัดจมน้ำ คือวัดวังก์วิเวการามเดิม เป็นวัดของชาวมอญ
ถ้ามาช่วงเดือนตุลาคม - มกราคม จะเป็นช่วงน้ำขึ้น ลงไปเดินแบบนี้ไม่ได้นะจ๊ะ จะเห็นแค่บางส่วนของตัวโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำ (คำบอกเล่าของคนขับเรือ)
จุดที่ 2 วัดสมเด็จ(เก่า) เป็นวัดของชาวไทย เป็นวัดที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 ทรงรับสั่งให้สร้างขึ้นเป็นวัดที่ถูกทิ้งร้าง เมื่อตอนย้ายเมืองสังขละบุรี เพื่อสร้างเขื่อนเขาแหลม องค์พระในพระอุโบสถเก่า เป็นแบบพระพุทธชินราช วัดตั้งอยู่บนเนินเขา ลงจากเรือต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก65 ขั้น
วัดสมเด็จ(เก่า)
องค์พระในพระอุโบสถเก่า
จุดที่ 3 วัดศรีสุวรรณาราม เป็นวัดของชาวกะเหรี่ยง โผล่พ้นมาเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ระหว่างทางกลับเก็บภาพเจดีย์พุทธคยาในมุมสวยๆ
เรือลอดใต้สะพานมอญ เพื่อกลับหัวเรือเข้าจอดท่า
จบภารกิจพิชิต 3 วัด ขึ้นจากเรือมาประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆ นั่งพักกินน้ำได้อึกหนึ่ง ฝนก็เทลงมาเลยจ้า นั่งสูดกลิ่นอายฝนเล่นไปพักใหญ่จนฝนซา ก็อาศัยพี่วินให้มาส่งที่รีสอร์ท อาบน้ำแต่งตัว นอนเล่น นอนรอให้ตะวันตกดิน เพราะจะไปหาคำตอบว่า “หมูจิ้มจุ่มพม่า” ที่คนพื้นถิ่นบอกว่าให้ไปลองลิ้มชิมรสนั้นเป็นอย่างไร
เด็กๆ ชาวมอญสนุกกับการเล่นน้ำฝน
ฝนยังตกปรอยๆ แต่งานนี้รอไม่ไหวแล้ว เพราะความหิวไม่ปราณี ขับรถมุ่งไปยังตลาดสด 5 เชื้อชาติ (กะเหรี่ยง มอญ พม่า ลาว มุสลิม) ของเทศบาลตำบลวังกะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก พวกเราเล็งหาหมูจิ้มจุ่มพม่า ท่ามกลางสายฝนพรำ เห็นอยู่ 2 ร้านที่ยังเปิดขายอยู่ เดินงงๆ ไปนั่งจุ้มปุ๊กที่ร้านยาใจ ด้านหน้าเป็นกะละมังใหญ่ มีเลือดหมูหั่นเป็นก้อนๆ วางอยู่ และมีหมูชิ้น หัวหมู เครื่องในหมู (ตับ ปอด ไส้ใหญ่ ไส้อ่อน) หั่นชิ้นพอดีคำเสียบไม้ จุ่มในน้ำสีน้ำตาลอมแดงอ่อนๆ สี และกลิ่นคล้ายน้ำพะโล้ แต่รสชาติอ่อนกว่ามาก อยากกินส่วนไหน เลือกหยิบกินได้ตามชอบใจ ขายไม้ละ 1 บาท ถ้าเลือดหมูขายก้อนละ 5 บาท มีแรงกินเท่าไหร่กินไป กินเสร็จค่อยมานับจำนวนไม้คิดค่าเสียหาย
หมูจิ้มจุ่มพม่า
ทีเด็ดของหมูจิ้มจุ่มพม่า คือ น้ำจิ้ม มีทั้งน้ำจิ้มซีฟู๊ด (สีออกชมพู) รสชาติจัดจ้านใช้ได้ และ น้ำจิ้มพม่า (สีแดง) รสเข้มข้นออกหวาน
อีกเมนูที่ลองสั่งมาชิม คือ “ยำหมูพม่ารวมมิตร” จานละ 50 บาท วัตถุดิบเดียวกับหมูจิ้มจุ่มพม่า คลุกรวมกับแตงกวา กะหล่ำปลี หอมเจียว และน้ำยำแบบพม่า ชิมไปคิดไปก็แปลกไปอีกแบบนะตัวเธอ
ยำหมูพม่ารวมมิตร
กลับจากตลาดสด 5 เชื้อชาติ พวกเราแต่ละคน รีบจัดการตัวเอง และเข้านอน เพราะภารกิจวันรุ่งขึ้น ตั้งใจจะเดินข้ามสะพานมอญไปตักบาตร และเก็บภาพบรรยากาศยามเช้า (มืด) ก่อนนอนแอบภาวนาเช้าตื่นมาขอให้ฟ้าเปิด เค้าอยากได้ภาพสวยๆ เก็บไว้ในความทรงจำ จบบันทึกกาญจน์เดินทาง . . . #ดีต่อใจ
ติดตามการเดินทาง...ในวันที 4 ได้ในตอนที่ 2 “สังขละบุรี” มนต์เสน่ห์ แห่งนทีสามประสบ (วันสุดท้ายของการเดินทาง)