อิตาลี อาณาจักรแห่งโรมัน
ประเทศอิตาลี ถือเป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกอยู่มากมาย ซึ่งประกอบไปด้วยมรดกโลกทางธรรมชาติ และมรดกโลกทางวัฒนธรรมอันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ประเทศอิตาลีจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝันอยากจะเดินทางไปสัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต
เกี่ยวกับภูมิประเทศของประเทศอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี โดยถูกล้อมรอบด้วยทะเลเกือบทุกด้าน ยกเว้นทางด้านทิศเหนือ ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย โดยมีเทือกเขาแอลป์กั้นแบ่งไว้ ในเทือกเขานี้มีภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปชื่อภูเขามอนเตบีอังโก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตประเทศอิตาลี และเทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งคือ เทือกเขาแอเพนไนน์ พาดผ่านตอนกลางไปถึงตอนใต้ของประเทศ แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือแม่น้ำโป และแม่น้ำไทเบอร์ที่ไหลผ่านกรุงโรมนับเป็นแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งของประเทศ
ประเทศอิตาลีมีที่ราบลุ่มริมแม่น้ำโปอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบกว้างใหญ่ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ และมีพื้นที่ส่วนที่เป็นเกาะอยู่อีกมากมาย แต่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเกาะซิซิลี และเกาะซาร์ดิเนีย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวชมได้โดยทางเรือและเครื่องบิน
ส่วนทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล จึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาสัมผัสกับความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบแบบปล่องภูเขาไฟมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก นับเป็นประเทศที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอันเอื้อประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างสูง
เมืองหลวงของประเทศอิตาลีคือกรุงโรม และมีเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นเมืองมิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และเวนิส ในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของอิตาลีจัดอยู่ในเกณฑ์ดี แต่มาเริ่มประสบปัญหาในทศวรรษต่อมา ทำให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมปัญหาการขาดดุลได้ แต่เดิมประเทศอิตาลีเป็นประเทศเกษตรกรรม หลังจากปี ค.ศ. 1945 ได้เริ่มพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจนกระทั่งปัจจุบันมีประชากรเพียงร้อยละ 7 ที่ยังคงมีอาชีพอยู่ในภาคการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคใต้และมีฐานะยากจนกว่าทางภาคเหนือและภาคกลาง พืชหลักที่เพาะปลูก ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวโพด มันเทศ และองุ่น ซึ่งนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไวน์ที่มีคุณภาพ จนได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ของโลกอย่างที่เราได้ยินชื่อเสียงกันมานาน
อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศคือ การผลิตรถยนต์ เครื่องจักรกล การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ เครื่องเรือน อุตสาหกรรมทอผ้า เสื้อผ้า แฟชั่น และการท่องเที่ยว จำนวนประชากรของประเทศอิตาลีมีประมาณ 60 ล้านคน โดยประมาณ 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโรม และอีก 1.5 ล้านคนอยู่ในมิลาน ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก มีภาษาทางการคือภาษาอิตาลี และในบางพื้นที่ของประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสก็พูดภาษาอิตาลีด้วย แต่จะเป็นภาษาซิซิลี และภาษาซาร์ดีเนีย ซึ่งคล้ายกับภาษาอิตาลีแต่ต่างกันที่สำเนียงเท่านั้น
แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศนั้นมีอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเที่ยวชมกันจนเป็นที่รู้จักและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอิตาลี นั้นได้แก่
หอเอนเมืองปีซา หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก โครงสร้างเป็นรูปทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างจากหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร มีบันไดอยู่ภายใน 293 ขั้น เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1173 แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินเกิดการยุบตัว จากนั้นต่อมามีการพยายามปรับปรุงแก้ไขให้หอระฆังแห่งนี้ตั้งตรงดังเดิม แต่ก็ติดขัดด้วยประการต่างๆ จนถึงปี ค.ศ.1319 จึงสามารถสร้างต่อได้ถึง 7 ชั้น แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี และหลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา
โรมันฟอรัม เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าเดินทางไปเที่ยวชม ในอดีตที่สมัยโรมันเรืองอำนาจนั้น โรมันฟอรัมเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างทั้งธุรกิจ การเมือง ศาสนา อาคารฟอรัมทั้งหมดใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 900 ปี เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมอำนาจลง โรมันฟอรัมก็ถูกทิ้งร้างจนถึงยุคกลางก็กลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง
ชิ้นส่วนอิฐและหินอ่อนถูกรื้อนำไปสร้างบ้านเรือน จนกระทั่งเข้ายุคเรอเนสซองส์ ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับศิลปะวิทยาการของโรมัน สถานที่แห่งนี้จึงได้กลายเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินหลายคน และเริ่มมีการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษาถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาต่างๆ จนถึงทุกวันนี้
ประเทศอิตาลียังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายหลายแห่งที่น่าเดินทางไปเที่ยวชม โดยในปัจจุบันมีบริษัทนำเที่ยวได้จัดทำโปรแกรมการเดินทางออกขายให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วไป ได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสในราคาที่ถือว่าไม่แพงนักเมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าครองชีพ และความประทับใจที่จะได้นำกลับมา
โดยสนนราคาทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 60,000 กว่าบาท ระยะเวลาประมาณ 8 วัน กับการเดินทางท่องเที่ยว ประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ หรือหากคุณจะประหยัดลงมาอีกหน่อยคุณอาจจะเลือกเดินทางเอง
โดยออกแนวแบ็คแพ็คเกอร์มีการวางแผนเป็นระยะ เลือกที่พักแบบถูกๆ ก็สามารถเดินทางไปได้เพราะการคมนาคมค่อนข้างสะดวกโดยการใช้รถไฟ ซึ่งโอกาสหน้าจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปครับ