ตอนที่ 3 : ทริปแบกกระเป๋า เที่ยวยุโรป 15 วัน ราคา 67,xxx บ. ตอนนี้ว่าด้วยเรื่อง การท่องเที่ยวในอิตาลี เมืองแห่งความหรูหรา และแฟชั่น
ทริปยุโรป เดอะซีรีย์ ของเรา เดินทางมาถึงตอนสุดท้าย กันแล้วนะคะ
การเดินทางเที่ยวยุโรป 15 วัน กับ 3 ประเทศ (ฝรั่งเศส สวิส อิตาลี) ของพวกเรา ใน ราคา 67,xxx บ. ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
สำหรับเพื่อนๆ ท่านใด ที่มาไม่ทันความเดิมตอนที่แล้ว สามารถติดตามรับชมกันก่อนได้นะจ๊ะ
ตอนที่ 1 : จะว่าด้วย การเดินทาง และ การท่องเที่ยวที่ ประเทศฝรั่งเศส
ตอนที่ 2 : ว่าด้วยเรื่อง การท่องเที่ยวในสวิสเซอร์แลนด์ สุดยอดดินแดนในฝัน ของใครหลายคน จะงดงามตระการต่อขนาดไหน
ตอนที่ 3 : ตอนนี้ จะว่าด้วย การ เรื่องราวการเดินทางของพวกเรา ในประเทศ อิตาลี ประเทศที่ขึ้นชื่อว่า เป็นเมืองแห่งความหรูหรา และแฟชั่น
แอบกระซิบนิดนึง ที่เที่ยวของอิตาลี นั้นเยอะจริงๆ และวันที่เราจะเหลือให้ท่องเที่ยวก็มีแค่ 4 วันเอง มีเมืองที่อยากไป ตั้ง 5 เมือง อย่าง ( Tilano / Milan / Forenze / Rome / Vanice ) พวกเรา พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อ เที่ยวให้ครบทุกไฮไลท์ !! งานนี้ พวกเราวางแพลนกันหน้างานล้วนๆ การเดินทางของเรา มีทั้งขึ้นเครื่องภายในประเทศ นั่งรถไฟ นั่งแท็กซี่ นั่งรถบัส เช่ารถขับเที่ยวเอง เพื่อเที่ยว กรุงโรม ชมสนามกีฬาโคลอสเซี่ยม แวะชมหอเอนปิซ่า ล่องเรือกอนโดล่าที่เมืองเวนิส ดื่มด่ำบรรยากาศเมืองแห่งศิลปะที่ฟลอเรนซ์
ความเดิมตอนที่แล้ว คือ เราเดินทางจาก จาก ประเทศ Switzerland มายัง ประเทศ Italy ด้วย รถไฟสาย Bernina Express ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นรถไฟที่ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นรถไฟเส้นทางสายมรดกโลกเมื่อปี 2008 โดยจะวิ่งจากเมือง Chur ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไปสิ้นสุดยังเมือง Tirano ประเทศอิตาลี ผ่านเทือกเขาแอลป์ และที่สำคัญ รถไฟขบวนนี้ ออกแบบให้มีหน้าต่างกระจก ให้ผู้โดยสารได้ชมวิวเกือบ 360 องศากันเลยทีเดียว
ตาม Plan ของเรานั้น มีอยู่ว่า วันแรก : - นั่งรถไฟ จาก ประเทศ Switzerland มายัง เมือง Tirano ประเทศ Italy - นั่งรถไฟ จาก Tirano ไป Milan - Check in เข้าที่พัก Red Line Apartments Milano - เดินเที่ยว มิลานวันที่สอง: - เดินทางจาก Milan ไปยัง Florence ด้วย รถไฟ พร้อมกระเป๋าแยก 1 ใบ - แวะช๊อปปิ้งที่ The mall outlet พร้อมรับรถเช่า Florence airport - เดินเที่ยวชมเมือง Florence - นอนพักที่ Hotel Centro ที่ Forenze
วันที่สาม: - Check out ออกจากที่พัก - ขับรถเที่ยวเอง จาก Florence แล้วไปเที่ยว Pisa กับ Rome - เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราต้องบินออกจากโรม เพื่อกลับมานอนที่ มิลานกัน(แค่ 1 ชม.) กับสายการบิน Alitalia ซึ่งที่นั่งกว้าง สบายใช้ได้เลย
วันที่สี่: - ไปเมืองเวนิช ด้วย รถไฟ - Check out ออกจากที่พัก - ลากกระเป๋าไปสนามบินมิลาน เพื่อกลับกรุงเทพ
วันแรก พวกเราเดินทางมาถึง สถานี Tirano ประมาณเกือบๆ บ่ายโมง เริ่มจะหิวนิดนึง ก็เลยพักทานข้าวเที่ยง ที่ สถานี ก่อนที่พวกเราจะต่อรถไฟจาก Tirano ไป Milan กัน ราคาค่าตั๋วรถไฟ อยู่ที่ คนละ 11.50 EUR หรือ 920 บ.
สวัสดี Milan มิลาน
“ มิลาน (Milan) ” หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่า “ มิลาโน่ (Milano) ”เป็นเมืองหลวงทางแฟชันของโลกแข่งกับปารีสในประเทศฝรั่งเศส เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของอิตาลี ถึงแม้ว่า เมืองมิลาน จะไม่ได้เป็นเมืองหลวงของอิตาลีก็แต่จริง แต่ ถ้าในโลกของแฟชั่น ละก้อ มิลานมีศักดิ์ศรีเป็นเมืองหลวงในโลกของแฟชั่น เลยน๊าา ประเทศอิตาลี เป็นอีกหนึ่งประเทศที่หลายคน อยากมาเยือน แฟชั่น ศิลปะ และฟุตบอล มิลาน ที่นี่ที่เดียวครบจริงๆ ถ้าประชันกันในเรื่องแฟชั่น ก็ต้องบอกว่าชื่อชั้นของ มิลาน (Milan) ไม่เป็นรองนิวอยอร์ก ปารีสและลอนดอน จัดว่าเป็นกระดูกเบอร์เดียวกันเสียด้วยซ้ำ ถ้าจะวัดกันในเรื่องของศิลปะ ก็ต้องบอกว่ามิลานเป็นเมืองที่อวลไว้ด้วย สุนทรีย์จากโลกแห่งศิลปะไม่ด้อยไปกว่าฟลอเร็นซ์ เวนิส และปารีส หรือ ถ้าจะเทียบเคียงกันในชั้นเชิงของวงการลูกหนัง ก็ต้องบอกว่ากระแสความคลั่งไคล้ฟุตบอลในมิลาน ล้นหลานไม่น้อยไปกว่าในลอนดอน บาร์เซโลนา มาดริด การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน หรือเมโทรในมิลานนั้น นับว่า ต้องค่อนข้างระวังตัวกันนิดนึงนะคะ ถึงแม้ที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องว่าเป็นเมืองแฟชั่นก็จริง แต่ ชื่อเสีย ในด้านของมิจฉาชีพ ที่มาในรูปแบบต่างๆ ก็ใช่ย่อยน๊าา มีทั้งกรีดกระเป๋า หรือจะแกล้งเดินมาชน แล้วก็เชิดกระเป๋าสตางค์ก็มีนะ เพราะฉะนั้น ควรจะดูแลกระเป๋าสัมภาระของเราดีๆน๊า .... สะพายไว้ข้างหน้าได้ยิ่งดีจ้า ลดความเสี่ยงไปในตัว (●`ε´●)
สถานีรถไฟ ที่อิตาลี สถาปัตกรรมสวยดีนะ มีบันไดเลื่อนขึ้นทุกสถานนี แต่ขาลง ลำบากหน่อยถ้าต้องแบกกระเป๋า จะบอกว่า ถ้าใครจะฝากกระเป๋าที่ สถานี Stazione Milano Centrale ทำใจหน่อยนะ คิวยาวมากๆๆๆ ต้องเผื่อเวลานิดนึง พวกเราก็เลยตัดสินใจ แบกกระเป๋า Check in เข้าที่พัก ดีกว่า
มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองมิลาน และ เมื่อมาเมืองมิลานแล้วสิ่งที่ไม่ควรพลาด และพลาดไม่ได้เลยคือต้องมาชมความอลังการของมหาวิหารแห่งนี้ มหาวิหารแห่งมิลาน ตั้งอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองมิลาน เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอับดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในกรุงวาติกัน สร้างแบบสถาปัตยกรรมแบบกอธิค (Gothic art) ที่อลังการยิ่ง และได้ชื่อว่าเป็นวิหารแบบกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 157 เมตร กว้าง 92 เมตร มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้น ในปี ค.ศ.1386 ในสมัย พระอัครสังฆราชอันโตนิโอ ดาซาลุซโซ ( Antonio da Saluzzo ) โดย จิอาน กาเลอั๊ชโช่ วิสคอนติ แห่งตระกูลวิสคอนติ เพราะตอนนั้นมิลานเป็นดินแดนในปกครองของตระกูลวิสคอนติ (Visconti) สำหรับชาวมิลาน ที่นี่คือจิตวิญญาณ คือสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจสำหรับนักท่องโลกดูโอโมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงามตระการตา เป็นงานสถาปัตยกรรมชิ้นงาม และโดดเด่นของโลกอีกชิ้นหนึ่งที่ครั้งนึงของชีวิตต้องไปสัมผัสสักครั้ง ที่พักของเรา สำหรับ 6 คน ใน เมืองมิลานเราจองผ่าน Booking.com ชื่อ Red Line Apartments Milano จองแบบ 5 วัน 4 คืน โดยจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่เก็บกระเป๋าเดินทาง ราคาตกกันต่อคนก็คืนละประมาณ พันกว่าบาท มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น มีครัวให้ใช้ อุปกรณ์ครบครัน ถือว่า Work นะ อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ด้วยจ้า เหตุผล ที่พวกเราจองที่พัก ยาวนั้น เพราะ จะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋า และสัมภาระไปมาทุกครั้งที่เปลี่ยนเมือง อีกอย่างประเทศนี้ก็เป็นประเทศสุดท้ายของทริปแล้ว ของช๊อปปิ้ง ของพวกเราเยอะมาก ลำบากใจในการขนจริงๆ อิอิ
วันที่สอง: จุดหมายต่อไปของพวกเราก็คือ แคว้นทัสคานี (Tuscany) ซึ่งมีเมืองหลวงอย่างฟลอเรนซ์ที่แสนจะโรแมนติก พวกเราจะออกเดินทางจาก Milan ไปยัง Florence ด้วย รถไฟ พร้อมกระเป๋แยก 1 ใบ เพราะคืนนี้เราจะไปนอนค้างกันที่เมือง Florence ราคาค่าตั๋วรถไฟ อยู่ที่ 43 EUR หรือประมาณ 1,720 บ. ราคานี้ก็ถือว่าแรงเหมือนกันนะเนี่ย ก่อนหน้านี้ เคยคิดว่า ค่าเดินทางในอิตาลี จะราคาไม่แรงมาก ก็เลยไม่ได้เตรียมการจองตั๋วรถไฟ ไปยังจุดหมายปลายทางมาก่อนล่วงหน้า และก็ไม่ได้ซื้อพวก บัตรรถไฟแบบเหมาเอาไว้ด้วย งานนี้ ก็จ่ายราคาเต็ม กันตอนหน้างาน เที่ยวต่อเที่ยวกันไปนะจ๊ะ บรรยากาศ ฝั่งตรงข้าม รถไฟมาถึงที่ Firenze S.M.N. หรือ สถานีกลางเมืองฟลอเรนซ์
สวัสดี Florence ฟลอเรนซ์
ฟลอเรนซ์ ภาษาอิตาเลี่ยน Firenze (อ่านว่า ฟิ-เรน-เซ) เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์ที่งดงามล้ำค่า ระยะทางห่างจากมิลานประมาณ 320 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Arno และล้อมรอบด้วยภูเขา มีบรรยากาศที่โรแมนติก เป็นอีกหนึ่งเมืองที่นักท่องเที่ยวผู้รักงานศิลปะจะต้องไปเยือน มีพิพิธภัณฑ์ โบสถ์ วิหาร และหอศิลป์ อีกทั้งโบราณสถานที่สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ให้ชมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เต็มไปด้วยงานศิลปะยุคเรอเนสซองส์
นอกจากงานศิลปะแล้วฟลอเรนส์ยังเป็นตลาดเครื่องหนังและเครื่องประดับสวยๆ ของอิตาลี
นอกจากจะเป็นเมืองกำเนิดของศิลปะแล้ว ฟลอเรนซ์ยังเป็นเมืองที่ฝังศพบุคคลสำคัญๆของโลกอีกด้วย เช่น ไมเคิลแองเจโล อัครมหาศิลปินผู้เป็นสัญลักษณ์ของเมือง กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง และมัคคิอาเวลลี่ รัฐบุรุษคนสำคัญของอิตาลี
. . . พร้อมกันหรือยังคะ ที่จะตามพวกเรามาชมเมือง ฟลอเรนซ์ กัน???? . . Let’s GO!!ε=(/*>∀<)/ . ณ จุดนี้ หันซ้าย หันขวา เราจะเริ่มไปทางไหนกันดีน๊า เริ่มกลางแผนที่ที่ได้จากชานชาลามา ~~ლ(╹◡╹ლ) ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองที่สามารถเดินเที่ยวชมได้ ไม่ต้องง้อรถราใดๆ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งอยู่ในระยะเดินถึงกันได้อย่างสบาย งั้นมาเริ่มจากสถานที่ใกล้กันก่อนแล้วกัน นั่นก็คือ โบสถ์ซานลอเรนโซ (Basilica di San Lorenzo) เป็นหนึ่งในสถานที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดของเมือง ได้รับการเจิมในปี 393 และถูกก่อสร้างต่อมาอีกหลายปี ตั้งแต่ปี 1419 บรูเนลเลสชีผู้เป็นสถาปนิกรับผิดชอบการออกแบบดั้งเดิม และโค้งสูง เสาโครินเธียน และใส่ใจกับความสมมาตร และเป็นตัวอย่างช่วงต้นๆ ของสิ่งที่กลายเป็นสไตล์เรอเนสซองส์คลาสสิก รูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นหินตัดหยาบๆ ที่คุณเห็นเมื่อเข้าใกล้ซ่อนความมีศิลปะและการออกแบบไว้ภายใน มิเกลันเจโล โดนาเตลโล และบรูเนลเลสชีได้ทุ่มเทกับการออกแบบและการตกแต่ง โบสถ์ซานลอเรนโซเปิดทุกวัน ยกเว้นวันนักขัตฤกษ์และวันอาทิตย์และวันจันทร์บางวัน การเดินทางไปยังโบสถ์ เราจะต้องเดินผ่าน ตลาดกลางแจ้ง Mercato di San Lorenzo เป็นตลาดที่ค่อนข้างวุ่นวายมาก ขายพวกเครื่องหนัง ทั้งกระเป๋า รองเท้า เสื้อแจ๊กเกตในราคาถูกเยอะเลย พวกเราแอบเรียกว่า "ตลาดบัง" เพราะเวลาเดินเข้าไป จะมีอาบังในตลาด มารุมขายสินค้า เต็มไปโม๊ดดดดดด เราสามารถต่อรองราคาได้นะ เค้าลดเยอะอยู่เหมือนกัน ลองดูหลายๆร้าน ก่อนตัดสินใจเนอะ
มหาวิหารฟลอเรนซ์ หรือ อาสนวิหารแม่พระแห่งดอกไม้ เป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป รองลงมาจาก มหาวิหารนักบุญเปโตร มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง และมหาวิหารมิลาน สร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ออกแบบโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกี ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพู มีความยาว 153 เมตร และฐานของโดมกว้างถึง 90 เมตร ปัจจุบันมหาวิหารอยู่ภายใต้การดูแลของสังฆมณฑลโรมันคาทอลิกแห่งฟลอเรนซ์ (Roman Catholic Archdiocese of Florence) ของจริงสวยงามมว๊าก เหมือนวิหารทำมาจากกระดาษเลย แต่จริงๆแล้วมาจากหินอ่อนนะจ๊ะ อากาศวันนี้กำลังสบายๆ เดินเพลิน พักหม่ำไอติม ดูความงามของ Duomo ของเมือง Florence ฟินได้อี๊ก มาถึงอิตาลี เค้าบอกว่า ถ้าไม่กินไอติมเจลาโต้ก็เหมือนมาไม่ถึงน๊า ปล. ไอติมที่นี่อร่อย ราคาอยู่ที่ประมาณ 100-150 บ. แท่งโตกว่าที่ฝรั่งเศสพอสมควร ใครทานไม่หมดก็แบ่งๆกับเพื่อนได้น๊า Palazzo Vecchio (ปาลาซโซ เวคคิโอ) หรือ Old Palace ปราสาทเก่าแก่ในเมืองฟลอเรนซ์ สร้างสำเร็จในปี ค.ศ.1322 มีสัญลักษณ์คือหอระฆัง Campanile ในอดีตใช้เป็นสถานที่แจ้งข่าวสารให้กับชาวเมือง ทางการจะตีระฆังส่งสัญญาณ หากมีไฟไหม้,น้ำท่วม, ข้าศึกโจมตี ฯลฯ ถือเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญของฟลอเรนซ์ Piazza della Signoria ปิอาซซา เดลลา ซินญอเรีย คือลานกว้างบริเวณหน้าปราสาท Palazzo Vecchio มีผลงานรูปปั้นอันมีชื่อเสียงหลายชิ้นแสดงไว้ ถือเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยงานศิลปะ สวยงามและมีเสน่ห์ บริเวณรอบๆ คือ ร้านอาหาร ค้อฟฟี่ช้อบ ฯลฯ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาชมมากมาย ผลงานรูปปั้นชุดนี้มีชื่อว่า Neptune Fountain สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1575 ตั้งตามชื่อเจ้าแห่งทะเลของโรมัน คือ Neptune เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของชาวทัสคันด้านการเดินเรือ รูปปั้น David โดย Michelangelo ชายหนุ่มรูปงามที่สมบูรณ์แบบที่สุด ในตำนานสัญลักษณ์ของการ ปลดปล่อยเสรีภาพ ที่แวดล้อมไปด้วย สถาปัตยกรรม ชิ้นสำคัญต่างๆ มากมายจนได้ฉายาว่าเป็น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่เห็นนี้เป็นรูปปั้นจำลอง ส่วนของจริงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Accademia เมืองฟลอเรนซ์ เพื่อความปลอดภัยในการดูแลรักษา รูปปั้น Perseus สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1554 โดยศิลปินชาวอิตาเลี่ยนชื่อ Cellini เป็นรูปปั้นของเทพเจ้า Perseus เอาชนะศัตรูด้วยการตัดหัวของนาง Medusa (ดูน่ากลัวนิดๆ นะคะ ... แต่อยากเอามาให้ชม เพราะมีชื่อเสียงมากพอสมควรค่ะ) รูปปั้นของ Grand Duke Cosimo I สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1595 ท่านนี้เป็นเป็นผู้ปกครองคนสำคัญของแคว้นทัสคานีในอดีต เดินไป เดินมาเริ่มจะหิว (*・ε・*) ヾ งานหาของกินต้องมา จร้า!! มาถึง อิตาลี่ ก็ต้องลิ้มลองอาหารอิตาเลี่ยนสิคร๊า ヾ(。`Д´。)ノ อาหารอิตาเลี่ยนเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับการยอมรับว่าอร่อยที่สุดในโลก ด้วยรสขาติที่เป็นเอกลักษณ์และการผสมผสานในแบบฉบับเมดิเตอร์เรเนี่ยน หลังจากมาลองทานแบบ Original แล้วนั้น!! บอกเลย อร่อยจริงๆ ครีมเข้มข้น ชอบอ่ะ และที่สำคัญ ราคาอาหาร พวก Pizza และ pasta ที่อิตาลีก็ไม่แพงนะ
จตุรัส Piazza della Repubblica ตั้งอยู่กลางเมือง เดิมเมื่อสองร้อยปีที่ผ่านมาพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นย่านชุมชนแออัด แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ไล่รื้อที่อยู่อาศัยและโบสถ์ชุมชนออกไป สร้างขึ้นใหม่เป็นลานกว้างที่ล้อมรอบไปด้วยซุ้มประตูโค้งและอาคารที่สวยงาม เพื่อรองรับการที่เป็นที่ว่าการของเมืองหลวงใหม่แห่งอิตาลีพอเมืองหลวงย้าย กลับไปอยู่ที่โรม ลานแห่งนี้ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น Piazza della Repubblica และใช้เป็นที่พบปะของประชาชน
ปัจจุบันอาคารรอบๆ จตุรัสแห่งนี้กลายเป็นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าแบรนด์เนม และห้างสรรพสินค้า ช่วงเย็นๆ ก็มี จิตรกรอิสระมาวาดรูป เหมือน เยอะเเยะเลยจ้า มีม้าหมุน ตั้งเด่นตระหง่าน ให้เหล่าผู้ปกครอง พาเด็กน้อยมาเล่นได้น๊า สะพานแวคคิโอ Ponte Vecchio สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1345 โดยนักออกแบบชื่อ Teddeo Gaddi คือ สะพานเก่าแก่ที่สุดของเมือง เป็นสะพานเดียวของฟลอเรนซ์ที่รอดพ้นการทำลายจากช่วงสงครามโลกมาได้ปัจจุบัน กลายเป็นจุดชมวิว แหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญของเมือง ยิ่งช่วงเวลา ยามเย็น เหมาะมาก สำหรับดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสุดแสนจะโรแมนติกช่วงเวลาระอาทิตย์ตก รูปปั้น Benvenuto Cellini ตั้งอยู่บนสะพาน ศิลปินที่เป็นทั้งนักปั้นแกะสลัก ช่างทอง นักวาดภาพ และนักดนตรี คนสำคัญของอิตาลี มีผลงานมากมาย ยิ่งช่วงใกล้ๆค่ำ จะมีนักดนตรีเปิดหมวกมาร้องเพลงขับกล่อมให้ได้ฟังกัน ไพเราะมว๊าก บอกเลย ณ จุดนี้ บรรยากาศโรแมนติกได้อี๊ก (ノ・◡・)ノ ♥ โอ้ยๆๆๆๆ เขิลแทนนนนนนนนนน อยากเป็นคนนั้นให้เทอร์กอดดดดด (ノ・◡・)ノ ♥ หลังจากเดินเที่ยว ชมเมืองมาทั้งวัน สวยเพลิดเพลินกันมาก ถึงเวลาที่เราต้องพักผ่อนกันแล้วน๊า คืนนี้เรานอนกันที่เมืองฟลอเรนซ์ ชื่อ Hotel Centro จองผ่าน Expedia คนละ 920 บ. ข้อดี คือ ถูก และอยู่ใจกลางเมือง แต่ ห้องนอนไม่มีห้องน้ำในตัว นะ โชคดี ณ วันที่พวกเราไป เจ้าของโรงแรม ให้กุญแจห้องน้ำ เพื่อไขเข้าไปใช้เป็นการส่วนตัว ได้ วันที่สาม พวกเรามี เพลน จะขับรถเที่ยวเอง จาก Florence แล้วไปเที่ยว Pisa กับ Rome แรกเริ่มเดิมที พวกเรา เช่ารถ Ford Galaxy ขนาด 7 ที่นั่งเอาไว้ กับ Web Auto Europe ในราคา 2 วัน ประมาณ 5,000 บ. หารกัน ก็เหลืออยู่ที่ คนละ 800 กว่าบาทเอ๊ง ซึ่งถือว่าถูกมาก ราคาพอๆ กับราคาการเช่ารถในบ้านเราเลย แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น คือ ตอนไปรับรถ เจ้าหน้าที่ของ Hertz แจ้งว่า ต้องขอดูใบอนุญาตขับขี่ในเมืองไทยด้วย ไม่รับฉบับแปล หรือ บัตรใบขับขี่สากล งานนี้ พวกเราเงิบสิคร๊าาาาาาา ლ(ಥ益ಥლ) รายละเอียดในข้อตกลงการจอง ก็ไม่ได้มีระบุเอาไว้ ว่าต้องใช้ใบขับขี่ในเมืองไทย แถมคนขับของเราก็ไม่ได้เอามาซะด้วย งานนี้ จากที่คิดว่า พวกเราเช่ารถ ได้ในราคาถูก ก็ต้องฝันสลายลง เพราะ ต้องติดต่อ รถเช่า คันใหม่ ณ ตอนนั้น ณ บัดเดี๋ยวนั้น ทันที เพื่อไม่ให้กระทบกับ เพลนเที่ยวที่วางไว้ สุดท้าย ท้ายที่สุด เราก็ได้ รถเช่าคันใหม่ จาก europcar ราคาก็ปาดเหงื่อเบาๆ 2 วัน 14,000 บ. หารกัน ก็ตกคนละ 2,333 บ. สาเหตุที่เลือกจ้าวนี้ เพราะ ถามมาหลายเจ้าแล้ว ส่วนใหญ่จะต้องใช้ขับขี่เมืองไทยด้วย มีจ้าวนี้แหละ ที่เค้าอนุโลมให้ เฮ้อ!!!! ฝากเป็นอุทาหรณ์ให้เพื่อนๆ ด้วยนะคะ ใครเช่ารถแบบเค้า อย่าลืม พกใบขับขี่เมืองไทยไปด้วยน๊า มีเหลือดีกว่าขาด เพราะเช่าใหม่ ราคาแพงกว่าเกือบสามเท่าแหนะเทอร์ (;¬ω¬)ジ หลังจาก ตกกะใจกับราคาเช่ารถ ที่ Unplan มาแล้ว กลับเข้าสู่ Mode ความสนุกกันต่อดีกว่า
บ๊าย บาย Florence >> See you next station Pisa
เมืองปิซ่า (PISA) เป็น เมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นทัสคานีเหมือนแต่อยู่ห่างจากฟลอเรนส์ ไปทางตะวันตกประมาณ 100 กิโลเมตร ในอดีตเป็นเมืองท่าสำคัญ เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลใกล้ปาก แม่น้ำอาร์โนที่ไหลมาจากเมืองฟลอเรนซ์ เมืองปิซ่ารุ่งเรืองสูงสุดในช่วงศตวรรษที่ 11-12 เมื่อประมาณหลายร้อยปีมาแล้ว หอเอนเมืองปิซ่า (LEANING TOWER OF PISA) เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิสดาร สูง 54เมตร มี 8ชั้น แต่ละขั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตร ได้ลงมือสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174ไปเสร็จในปี ค.ศ. 1350ใช้เวลานานถึง 176ปี ซึ่งเป็สิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลกความน่าอัศจรรย์อีกอย่างคือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกลับพังทลายลงมาเพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วงเมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอก ฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง4เมตรและหอเอนนี้ช่วย ให้กาลิเลโอนักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลกได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง ที่ขึ้นชื่อในด้านความสัมพันธ์ของการสร้างกับแรงโน้มถ่วงของตัวอาคารที่ สมดุลกันโดยบังเอิญ ได้ชื่อว่าเป็น “หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก” สมัยกลางและเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศอิตาลี Roman Colosseum โคลอสเซียม หรือ บางครั้งอาจเรียกว่า โคลิเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้ง ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลาง กรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นสิ่งก่อสร้างขนาด ใหญ่ที่สุด เป็นสุดยอดสถาปัตยกรรม เป็นสุดยอดทางวิศวกรรม แห่งยุคโรมันที่มีการก่อสร้างขึ้น จึงทำให้ โคลอสเซียม สนามกีฬาโรมัน แห่งนี้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมัหัศจรรย์ของโลก จวบจนทุกวันนี้ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของเวสปาเรียน จักรพรรดิโรม พระองค์เริ่มครองราชย์ในปี ค.ศ. 69 และด้วยความต้องการที่จะหล่อหลอมราชวงศ์ขึ้นใหม่สำหรับตระกูลของพระองค์ จึงริเริ่มโครงการก่อสร้างขนาดมหึมาขึ้น โดยโคลอสเซียมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น และนี่ทำให้โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬาของโรมที่ใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดเท่า ที่มีการสร้างขึ้น ด้วยทรัพย์สินตั้งแต่โต๊ะไปจนถึงเชิงเทียนทองคำแท้ที่โรมปล้นมาจากการยึดพระ วิหารที่เยรูซาเลม มันจุผู้คนได้ราว 55,000 คน และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 80 เพื่อใช้แทนสนามกีฬาไม้ซึ่งถูกเผาไปในรัชสมัยของ จักรพรรดิเนโรด้วย เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราต้องบินออกจากโรม เพื่อกลับมานอนที่ มิลานกัน(ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชม. เท่านั้น) กับสายการบิน Alitalia ราคา 2,110 บ. ที่นั่งกว้าง สบายใช้ได้เลย แอบกระซิบนิดนึง ของใน duty free ที่นั้น ถูก ได้อี๊กกกกกก แวะช๊อปกันได้น๊า วันที่สี่: วันสุดท้ายของทริป พวกเราตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อไปเมืองเวนิช ด้วย รถไฟ ค่ารถ ไปกลับ 1,700 . โดยพวกเรามีเพลนที่จะเที่ยวที่เวนิช ครึ่งวันเท่านั้น หลังจากนั้น จะรีบกลับมาเก็บของ Check out ออกจากที่พัก แล้วรีบลากกระเป๋าไปสนามบินมิลาน เพื่อกลับกรุงเทพ ให้ทันในไฟล์ทค่ำ แต่จริงๆ ที่รีบขนาดนั้น ไม่ใช่อะไรหรอกท่านผู้โชมมมมม คือ ตั้งใจจะไป ทำ Tax refund ที่สนามบิน แล้วก็ช๊อปปิ้งกันต่อ อิอิ
สวัสดี VENICE เวนิช
เมืองเวนิช (VENICE) เป็น เมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกเมืองหนึ่งของประเทศ อิตาลี เป็นเมืองที่แสนโรแมนติกที่ไม่เหมือนเมืองใดในโลก ไม่อนุญาตให้รื้อสิ่งก่อสร้างเก่าไม่มีรถยนต์ มีแต่เรือที่จำกัดไม่ให้เสียงดัง ดังนั้นทั่วโลกจึงหลงใหลมนต์เสน่ห์อันสุนทรีย์ของเวนิชตลอดมา ค่านั่งเรือ Gondora คนละ 15 EUR หรือประมาณ 600 บ.
ขอแชร์ประสบการณ์ ทำ Tax Refund ที่ Milan ณ สนามบินมัลเปนซา ( malpensa airport )
อย่างที่เกริ่นกันมาก่อนหน้านี้ นะคะ พวกเรา ค่อนข้างซื้อของ Shopping กันมาเยอะมาก หลากหลายแบรนด์ ถึงเวลา มาทำ Tax Refund ที่สนามบิน ค่อนข้างวุ่นวาย และฉุกละหุกนิดนึง
คำแนะนำ ถ้าเราตั้งใจ มาทำ Tax Refund ควรมาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนเวลา Check in สัก 2-3 ชั่วโมง ถ้าใครมีของชิ้นใหญ่ อย่าเพิ่งโหลดกระเป๋าก่อน ให้ไปแจ้ง ที่เคาน์เตอร์ สายการบิน เพื่อ ปริ๊น Boarding Pass มาก่อน พร้อมทั้งแจ้งเจ้าหน้าที่ ว่าเราจะไปทำ Tax Refund แล้วจะมาทำการโหลดกระเป๋าอีกครั้งในภายหลัง เผื่อเจ้าหน้าที่ ศุลากร สุ่มตรวจ ต้องการให้เราสำแดงสิ่งของต่อหน้าเจ้าหน้าที่ (✿ ♥‿♥)
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่า Tax Refund คืออะไร ?? Tax Refund คือ ภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวเวลาซื้อสินค้าจากประเทศนั้น ทางรัฐบาลจะคืนให้นักท่องเที่ยว แต่ถ้าเป็นประชาชนของประเทศนั้นท่านก็จะต้องซื้อสินค้าราคาเต็ม การทำ TAX Refund ในยุโรป ภาษี TAX Refund ของแต่ละประเทศในยุโรป มีการกำหนดอัตราขั้นต่ำในการซื้อสินค้าภายในร้านเดียวกันและวันเดียวกัน และอัตราคืนภาษีสูงสุดกี่เปอร์เซ็นต์ได้แตกต่างกันอออกไป
ขั้นตอนการขอคืนภาษี Tax Refund มีดังนี้
1. กรอกข้อมูลใน Tax Refund Form (ใบเคลมภาษี)ให้ครบถ้วน เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลข Passport และจะมีช่องให้ท่านเลือกว่าจะคืนเงินเป็นเงินสด หรือบัตรเครดิต แต่บางร้านอาจจะมีให้คืนเข้าบัตรเครดิตอย่างเดียว - แบบรับเงินสด สำหรับการคืนภาษีแบบเงินสด จะมีค่าธรรมเนียม ชาร์ทนิดหน่อย (ประมาณ 4%) คือ จะไม่ได้เต็มๆเท่าคืนกับบัตร - แบบรับผ่านบัตรเครดิต จะคืนมาเป็นยอดกับบัตรเครดิต ซึ่งเราจะต้องเอายอดที่คืนมากับบัตร ไปใช้ในเดือนถัดๆไป **อันนี้ สำคัญนะ อย่าลืมเซ็นชื่อด้วยลายเซ็นเดียวกับบนพาสปอร์ต 2.ก่อน Check-in ให้นำเอกสารไปให้ Customs Stamp หรือ เจ้าหน้าศุลกากร ทำการประทับตราสแตมป์ ลงในเอกสาร Tax Refund Form (ใบเคลมภาษี) ที่ CUSTOM OFFICE ขั้นตอนนี้ => พวกเรา จะต้องนำ กระเป๋าเดินทาง ของเรา ไปแสดงต่อเจ้าหน้าศุลกากร ด้วยนะ เพื่อเป็นการยืนยัน ว่าเรากำลังจะบินออกนอกประเทศจริงๆ เท่าที่ สังเกตุดู ตอนที่พวกเราเข้าคิวอยู่นั้น เจ้าหน้าศุลกากร จะมีการสุ่มตรวจ ให้สำแดงของที่ซื้อมา เป็นบางคนเท่านั้น น่าจะเป็นของที่ค่อนข้างมีมูลค่าสูงนิดนึง แต่หลักๆ คือ ต้องแสดงกระเป๋าเดินทางให้เจ้าหน้าที่ดูทุกคน ส่วนจะโดยสุ่มตรวจหรือเปล่า อันนี้ก็เสี่ยงดวงกันไปนะจ๊ะ 3.หลังจาก ได้รับการ ประทับตราสแตมป์ ลงในเอกสาร Tax Refund Form (ใบเคลมภาษี) เรียบร้อยแล้ว ให้นำเอกสารไปรับเงินคืนได้ตาม Tax Operator (ผู้ดำเนินงานด้านภาษี) สำหรับ Tax Operator (ผู้ดำเนินงานด้านภาษี) ที่ดังๆ ประกอบไปด้วย 3 ค่าย ✔Global Blue ส่วนใหญ่ในยุโรปจะเป็นค่ายนี้ ✔Tax Refund for Tourists ✔ Premier Tax Free ถ้าเพื่อนๆกลับทาง Milan Malpensa Airport เหมือนพวกเราละก้อ เคาน์เตอร์ทำเรื่อง Tax Refund อยู่ Terminal 1 ชั้น 1 Gate B ทั้ง 3 ค่าย จะอยู่ใกล้ๆ กันเลยจ้า สำหรับใครที่ไม่แน่ใจ ว่าของที่เราซื้อมาจะเป็นของ Tax Operator (ผู้ดำเนินงานด้านภาษี) ไหน ก็สามารถดูได้จากเอกสาร Tax Refund Form (ใบเคลมภาษี) จะมี Logo ของ Tax Operator (ผู้ดำเนินงานด้านภาษี) นั้นๆ อยู่ ขั้นตอนนี้สำคัญมากนะคะ ถ้า เอกสารไม่สมบูรณ์ Tax Operator จะไม่สามารถทำการขอรับเงินภาษีคืนได้นะ
Remember: Incomplete Tax Free Form = No refund
สุดท้ายนี้!! ต้องขอบพระคุณทุกท่านด้วยน๊า เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจกัน
ชอบ กด Like ถูกใจ กด Share ได้เลยนะคร๊า!! เลิฟ เลิฟ
ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ FB Fan page : ญิ๋งเปรี้ยว พาเพลิน IG : YingPreawPaPlearn