ตอนที่ 2 : ทริปแบกกระเป๋า เที่ยวยุโรป 15 วัน ราคา 67,xxx บ. ตอนนี้ว่าด้วยเรื่อง การท่องเที่ยวในสวิส สุดยอดดินแดนในฝัน
ตอนที่ 1 : จะว่าด้วย การเดินทาง และ การท่องเที่ยวที่ ประเทศฝรั่งเศส
ตอนที่ 2 : ว่าด้วยเรื่อง การท่องเที่ยวในสวิสเซอร์แลนด์ สุดยอดดินแดนในฝัน ของใครหลายคน จะงดงามตระการต่อขนาดไหน
สวิสเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนที่ได้รับสมญานามว่า “หลังคาแห่งทวีปยุโรป” (The roof of Europe) เพราะนอกจากจะมีเทือกเขาสูงเสียดฟ้าอย่างเทือกเขาแอลป์แล้ว ก็ยังมีภูเขาใหญ่น้อยสลับกับป่าไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขาและไหล่เขา สลับแซมด้วยดงดอกไม้ป่าและทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม สำหรับเลี้ยงสัตว์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 41,287 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 12 เท่าตัว จัดว่ามีภูเขามากที่สุดในยุโรป และเป็นประเทศที่มีทะเลสาบอยู่มากมาย ซึ่งเกิดจากแอ่งที่ลุ่มระหว่างหุบเขานั่นเอง ลักษณะของภูมิประเทศจึงไม่ค่อยมีพื้นที่ราบ คนสวิสฯส่วนใหญ่มีนิสัยรักสงบ รักความเป็นธรรม เคารพสิทธิของผู้อื่น อ่อนน้อม ถ่อมตัว ขยันขันแข็ง มัธยัสถ์ และมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ การเดินทางข้ามประเทศในครั้งนี้ พวกเราวางแผน กันว่า จะนั่งรถไฟ TGV ณ สถานี Gare de lyon ออกเดินทางปารีส ไปยังเมืองเจนีวา (Geneva) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รอบ 07:11 - 10:27 ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนอื่นเลย เรามาทำความรู้จัก กับ รถไฟ TGV กันก่อนนะคะ
TGV คือ รถไฟความเร็วสูงชื่อดังของยุโรป ที่จริงแล้ว คำว่า TGV เป็นภาษาฝรั่งเศส ย่อมาจาก train à grande vitesse แปลว่า รถไฟความเร็วสูงให้บริการโดย การรถไฟแห่งชาติฝรั่งเศส หรือ SNCF (Société Nationale des Chemins de fer Français
เหตุผลที่เลือกลงเมืองนี้เพราะค่าตั๋วถูก และที่สำคัญ สมาชิกทุกคนไม่มีใครเคยเที่ยวเมืองนี้มาก่อน ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้แวะเที่ยวเมืองนี้ไปในตัว อิอิ (^0^)ノ ราคา first class ที่พวกเราจองกันได้ อยู่ที่ คนละ 1,360 ฿ (ไทย)
ปล. แนะนำว่าเพื่อนๆ ควรซื้อล่วงหน้า กันก่อนนะจ๊ะ จะได้ราคาที่ถูกกว่าเยอะพอสมควร แต่ถ้ายังไม่สามารถรู้วันและเวลาได้แน่นอน ก็สามารถไปซื้อที่รถไฟ TGV ได้เลย แต่อาจต้องไปลุ้นราคาตั๋ว ที่หน้างานกันอีกที ว่าเท่าไร?? และในเที่ยวที่เราต้องการไปจะเต็มเปล่า?? นั่งๆ นอนๆ กันมาเพลินๆ ประมาณ สามชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็มาถึง Geneva กันแล้ว ทันที ที่เรามาลงจากรถไฟ เราก็หันซ้าย หันขวา ไปไหนกันต่อดีน๊า?? เดินไปฝากกระเป๋า ก่อนละกัน อยู่ตรงชานชาลาเลยจ้า คนละ 5 ฟรังก์ (สวิส) ประมาณ 180 ฿ (ไทย)
กำหนดการ เราจะใช้ชีวิต อยู่ที่ สวิสเซอร์แลนด์ ทั้งหมด 5 วัน กับการท่องเที่ยวเมืองสำคัญๆ ที่เราเลือกสรร กันมาแล้ว ทั้งหมด 4 เมือง ได้แก่ เจนีวา (Geneva) , เบิร์น (Bern) , ลูเซิร์น (Luzern) และ อินเทอร์ลาเค่น (Interlaken) วันที่ 1 : เที่ยวเมือง Geneva / นอนเมือง Bern วันที่ 2 : เที่ยวเมือง Bern / ขึ้นเขา Schilthorn / นอนเมือง Bern วันที่ 3 : เที่ยวเมือง Interlaken / นอนเมือง Luzern วันที่ 4 : เที่ยวเมือง Luzern/ ขึ้นเขา RIGI KULM วันที่ 5 : เก็บตก Luzern/ เดินทางต่อ ไปยัง อิตาลี ด้วย รถไฟสาย Bernina Express พวกเราได้ซื้อ Swiss Travel Pass ชนิดใช้งานต่อเนื่องทุกวัน โดยสามารถเดินทางเที่ยวสวิสได้ต่อเนื่องทั้งแบบใช้ได้สำหรับ4 วัน มาแล้ว จากเมืองไทย เพราะฉะนั้น เท่ากับว่า ในวันแรก ที่เรามาถึงนั้น พวกเราจะยังไม่ เปิดใช้งาน Swiss Pass วันนี้ จะไปไหน ก็จ่ายค่ารถไฟ เป็นเที่ยวๆ ไปก่อน ตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้ว่า ที่ Geneva มีอะไรให้น่าเที่ยวบ้าง แต่มีคนบอกว่า ให้แวะมาดู Jet d'Eau ตั้งอยู่ในทะเลสาปเจนีวา เป็นหนึ่งในน้ำพุที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 140 เมตร แต่เอ๊ะ วันนี้วันอาทิตย์ บ้านเมืองเค้าเงียบจุง น้ำพุก็ไม่เปิด หรือว่าเค้าหยุดกันน๊า?? จังหวะนี้ ก็เลยคิดว่า ไหนๆก็มาแล้ว ลองเดินเที่ยวริมทะเลสาบเจนีวากันสักหน่อยดีกว่า
จากหน้าทะเลสาบเจนีวา เดินเลาะเลียบท่าเรือไปเรื่อยๆ จะเป็นสวนสาธารณะ ริมทะเลสาบขนาดใหญ่ สถานที่ัพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว หลังจากเราเดินอยู่รอบๆ ทะเลสาบเจนีวา สมาชิกของเราได้เดินไปเห็น ป้าย city tour พาชมเมืองเก่า รอบๆเมือง คนละ 15 ฟรัง หรือ 540฿ น่าสนใจสุดๆ
ทะเลสาบเจนีวาเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก ครอบคลุมพื้นที่ราว 343 ตารางกิโลเมตร ด้วยความยาว 72 กิโลเมตร กว้าง 13 กิโลเมตร และลึก 310 เมตร จึงมีปริมาณน้ำมหาศาล... ฉะนั้นใกล้จุดกึ่งกลางของทะเลสาบจึงมีปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเช่นเดียวกับ ทะเล แต่เราจะไม่สามารถสังเกตุเห็นได้ด้วยตาเปล่าเนื่องจากระดับน้ำจะแตกต่างกัน เพียงแค่ 5 มิลลิเมตรเท่านั้น ชาวเจนีวาและชาวฝรั่งเศส นิยมเรียกทะเลสาบแห่งนี้ว่า "ลักเลม็อง" (Lac leman) ซึ่งเรียกตามรูปร่างลักษณะของทะเลสาบที่คล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวหรือรูปเคียว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ City tour ที่ เจนีวา เรียบร้อย เราก็นั่งรถไฟ จาก Geneva ไปยัง Bern ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที บอกเลย บรรยากาศสองข้างทาง สวยงาม ตระการตามากจิงๆ สวิซเป็นประเทศที่สวยจิงๆ ชอบอะ อันนี้แค่เพิ่งเริ่มต้นนะ ที่พักของเรา ใน Bern ค่าห้อง คืนละ 3,394 ฿/ห้อง (ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้า) พวกเราจะนอนที่นี่ กันทั้งหมด 2 คืน
ห้องนอนค่อนข้างสะดวกสะบายดี การเดินทางมายังโรงแรมก็ไม่ยาก นั่งรถ Tram เบอร์ 9 จาก Bern Bahnhof ลงสถานี Bern Guisanplatz Expo ก็ถึงเลยค่ะ รถจะจอดฝั่งตรงข้ามโรงแรม สะดวกมากค่ะ
และในเช้าวันนี้้ เป็นต้นไป เราจะเริ่มใช้งาน Swiss Pass เป็นครั้งแรก สิ่งที่ต้องเตรียม คือ เตรียมบัตรสวิสพาสและหนังสือเดินทาง ในกรณีมีการขอตรวจบัตรโดยสาร ข้อดีของ สวิสพาส Swiss Travel Pass คือ พวกเราสามารถเดินทางเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์เองโดยไม่จำกัดทั้งทางรถไฟ รถประจำทาง และเรือภายใต้เครือข่าย Swiss Travel System network ได้หมดเลยจ้า และยังใช้แสดงเพื่อรับส่วนลดสูงสุดร้อยละ 50 สำหรับรถไฟฟันเฟือง และเคเบิ้ลคาร์ขึ้นภูเขา เช่น ภูเขาทิตลิส ภูเขาแมตเทอร์ฮอร์น ภูเขาจุงเฟรา ได้ด้วยนะ บอกเลย ซื้อบัตรนี้ บัตรเดียวคุ้มมากๆ การเดินทางที่สวิตฯ คือดีมาก รถเมล์ของที่นี่ เวลาจอดที่นี่รถจะเอียงลงไปให้ผู้สูงอายุลงได้สะดวก ไม่ต้องลากกระเป๋ากะเตงไปมา รถเทรม รถราง รถบัส ถนนหนทางคือดีมาก ราบเรียบ มาเมืองนี้ แล้วชีวิตดี๊ดีในการเดินทางมากๆ กรุงเบิร์น (Bern) เป็นเมืองหลวงของสวิสเซอร์แลนด์ มี "หมี"เป็นสัญลักษณ์ ตั้งอยู่กึ่งกลางของประเทศด้วยเหตุผลที่ว่า "เพื่อต้องการลดความขัดแย้งของประชาชนในประเทศที่มีอยู่หลากเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส" กรุงเบิร์นเป็นเมืองเก่าจากยุคกลางที่สวย งามมาก สาเหตุที่ถูกเลือกเป็นเมืองหลวงเพียงเพราะไม่ต้องการให้มีข้อครหาของประชาชน ในแต่ละภูมิภาคที่มีความแตกต่างในเรืองวัฒนธรรม เช่น หากเลือกซูริคซึ่งเป็นเมืองที่ทันสมัยแต่เกรงว่าจะเข้าข้างพลเมืองเชื้อสาย เยอรมัน ครั้นจะเลือกเมืองเจนีวาเป็นเมืองหลวงก็กลัวว่าเอนเอียงไปทางพลเมืองของ ฝรั่งเศส ดังนั้นกรุงเบิร์น จึงเป็นจุดศูนย์กลางที่ลงตัวที่สุดที่ถูกเลือกเป็น “เมืองหลวง” ไปในที่สุด เบิร์น (Bern) ตั้งอยู่ริมคุ้งโค้งของแม่น้ำอาเรอ (Aare River) ทำ ให้ใจกลางเมืองเบิร์นถูกล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำทั้ง 3 ด้าน นับว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการป้องกันการรุกรานของข้าศึกศัตรู ในอดีต พื้นที่ริมคุ้งแม่น้ำซึ่งเรียกว่าแหลมรอสส์เฟล (Rossfeld Peninsula) มีระดับพื้นดินยกสูงกว่าตลิ่งค่อนข้างมาก บางแห่งเกือบเป็นหน้าผาเลยทีเดียว และแถบนี้ในอดีตนั้นเคยเป็นแหล่งอาศัยของชนเผ่าเคลต์จนกระทั่งถึงช่วงถูก อาณาจักรโรมันเข้ายึดครองเมือง คำว่า เบิร์น (Bern) มาจาก "Baren" ในภาษาเยอรมัน ที่แปลว่า "หมี" หรือ "Bear" ในภาษาอังกฤษ เพราะในอดีตผู้ครองเมืองชื่อ ดุ๊กแบร์ซโทลด์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ซาห์ริงเงิน (Duke Berchtold V of Zahringen) ได้ออกล่าสัตว์และตั้งปณิธานไว้ว่าสัตว์ตัวแรกที่ล่าได้จะต้องชื่อเมืองซึ่ง สัตว์นั้นก็คือ หมี จึงได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า "เบิร์น" เมื่อปี ค.ศ.1191 และธงประจำเมืองนี้ใช้ "รูปหมี" เป็นสัญลักษณ์ เช่นเดียวกัน และยังมี "บ่อหมี" (Bear Pit) เป็นเอกลักษณ์สำคัญของเมืองเบิร์นด้วย เมือง เบิร์นยังได้รับการยกย่องให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมและขึ้นทำเนียบเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) มาตั้งแต่ปี 1983 โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวอัน เป็นเสน่ห์ของเมืองซึ่งอยู่ในเขตภายในเมืองเก่า ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ได้อย่างดี นับว่าเป็นเมืองโบราณเก่าแก่และโรแมนติก การเดินเที่ยวชม ความงดงามของ สถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่า เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวอย่างเราไม่ควรพลาด...!!! ยอดเขา Schilthorn เป็นที่รู้จักขึ้นมาเนื่องจากใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง เจมส์บอนด์ 007 ซึ่งเป็นยอดเขาที่มีความสูง 2,970 เมตร จากระดับน้ำทะเล ที่ยอดเขาจะมีภัตตาคารหมุนได้ ซึ่งสามารถสัมผัสวิวได้โดยรอบ 360 องศากันเลยทีเดียว อย่างที่เราเกริ่นในตอนต้น การที่เรามีบัตร Swiss pass เราสามารถใช้แสดงเพื่อรับส่วนลด 50% ในการนั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นภูเขาภูเขาแมตเทอร์ฮอร์น คนละ 40 ฟรัง หรือ 1,462 ฿ เส้นทางที่จะต้องเดินทางไป Schilthorn ต้องต่อรถไฟ , ขึ้น Cable สรุปคร่าว ๆ ตามนี้เลยคะ 1. นั่งรถไฟจาก Bern Banhof ไป Interlaken Ost(ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) 2. จากนั้นไปต่อรถไฟจาก Interlaken Ost ไป Lauterbrunnen 3. จากนั้นนั่ง Cable จาก Lauterbrunnen มาต่อรถไฟไต่เขาไป Murren 4. จากนั้นนั่ง Cable จาก Murren จะไปยังสถานี Birg แล้วไปเปลี่ยนกระเช้าอีกตัวจากสถานี Birg ไปยังสถานี Schilthorn จุดหมายปลายทางของเรา ขากลับจาก Murren เราเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อยไม่นั่งรถไฟลงเขากัน เราใข้วิธีการเดินชมวิวกัน ผ่านหมู่บ้าน Gimmelwald ทางนี้เราจะได้เห็นเทือกเขาแอลป์แบบเต็ม ๆ สองตาอีกด้วย ซึ่งอาจต้องใช้กำลังขากันนิดหน่อย อินเทอร์ลาเก็น (Interlaken ) เป็นเมืองตากอากาศเล็กๆ ที่อยู่ตอนกลางของสวิตเซอร์แลนด์ “สวยเหมือนในฝัน” มีทิวทัศน์บริสุทธิ์และสวยงาม ย่านโฮอีเว็ก (Hoheweg) อยู่ใจกลางเมืองรายล้อมไปด้วยบ้านสไตล์สวิสอันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ Thun และ Bienz ล้อมรอบด้วยภูเขา ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อเมืองที่มีความหมายว่าเมืองที่อยู่ระหว่างทะเลสาบ (Inter + Lake) นั่นเอง การเที่ยวชมเมืองก็สามารถทำได้ทั้ง เดิน ขี่จักรยาน นั่งรถม้า อินเทอร์ลาเก็นมีกิจกรรมสนุกๆ มากมาย เป็นที่หยุดพักสำหรับการไปเที่ยมชมเขาสูงหลายแห่ง
หลังจากเที่ยวชมเมือง Interlaken จนอิ่มหนำแล้ว ถึงเวลา ที่เราต้องเดินทางจาก Interlaken Ost ไปยัง Lucerne (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง)
Luzern หรือ Lucerne ในภาษาฝรั่งเศสกัน LUZERN : เมืองแห่งสะพานไม้อันโด่งดัง เป็นเมืองที่คนนิยมมาซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ รองลงมาคือมีดพก (Swiss Army Knives) + ชมสถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่าที่มีอายุกว่า 500 ปี + ชมหอคอยแปดเหลี่ยม (Water Tower) + สะพานไม้ลูเซิร์น ชาเปล บริดจ์ (Chapel Bridge) เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลกและเป็นสัญลักษณ์ของเมือง + อนุสาวรีย์ภูเขาสิงโต (Mountain Lion) เป็น อนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ไม่ไกลจากสะพานไม้มากนัก อนุสาวรีย์รูปสิงโตหิน แกะสลักอยู่บนหน้าผา โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารสวิสฯ ในด้านความกล้าหาญ ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ที่เสียชีวิตไปในประเทศฝรั่งเศส ระหว่างการต่อสู้ป้องกันพระราชวัง เอ๊ะ เอ๊ะ ระหว่างที่กำลังเดินเที่ยวชมเมือง Luzern อยู่นั้น พวกเราได้เจอคนพิเศษ ครอบครัวน้องวันโหม่ยย งานนี้ติ่งมโน ฟินหนักมาก หน้าตาดีทั้งบ้าน ขออนุญาตเซลฟี่ แพล๊บ สถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ กับเมือง Luzern มีหลายที่ เช่น การนั่งรถไฟไต่เขาขึ้นเขาริกิ (Rigi-Kulm) ถือได้ว่าเป็นรถไฟไต่เขาที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปเลยจ้า ยอดเขา RIGI KULM ซึ่งเป็นเทือกเขาในภาคกลางของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่รู้จักกันในฐานะ "ราชินีแห่งเทือกเขา" โดยยอดที่สูงที่สุด มีความสูงถึง 1,797.5 เมตร แค่ชมบรรยากาศสองข้างทางก็สวยสะดุดตาแล้ว บอกเลย ว่าสวยคะ
บ๊าย บาย Switzerland >> See you next station Italy
วันนี้เราออกเดินทางด้วย รถไฟสาย Bernina Express เป็นรถไฟที่วิ่งจากเมือง Chur ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไปสิ้นสุดยังเมือง Tirano ประเทศอิตาลี ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. โดยจะวิ่งข้ามผ่านเทือกเขาแอลป์ และที่สำคัญ คือ รถไฟสายนี้ มีอายุมากกว่า 100 ปี ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นรถไฟเส้นทางสายมรดกโลกเมื่อปี 2008 ความพิเศษ ของรถไฟสายนี้ ก็คือ เส้นทางรถไฟจะไต่ระดับเรื่อยๆ ที่ 400 กว่าเมตร แล้วผ่านความสูงที่แตกต่างกันหลากหลายจนกระทั่ง ผ่านจุดสูงสุดที่ Bernina Pass ของเทือกเขาแอลป์ที่ความสูง 2,253 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ก่อนค่อยๆดิ่งลงที่ระดับ 400 เมตรที่เมือง Tirano ในอิตาลี เส้นทางนี้จะผ่าน หลากหลายโค้ง โตรกผา สะพานหินโบราณ อุโมงค์ ธารน้ำแข็ง ซึ่งเหล่านี้ต้องใช้วิศวะกรรมชั้นสูงในการก่อสร้าง และ นี่คือความพยายามของมนุษย์ โดยก่อสร้างกันมาตั้งแต่ปี 1908-1910 และเปิดใช้ราว 1940s.ช่วงที่เราไปรถไฟสาย Bernina Express พวกเราจองตั๋วรถไฟ 1st class ล่วงหน้า ได้ในราคา คนละ 370 ฿ เพราะพวกเรา มีบัตร Swiss Pass จึงได้ราคาส่วนลดค่อนข้างเยอะกว่าราคาปกติ ดูรายละเอียด ได้ที่ website นี้นะคะ https://www.rhb.ch/en/panoramic-trains/bernina-express ฝาก ติดตามผลงาน ต่อ ใน ตอนที่ 3 : ว่าด้วยเรื่อง การท่องเที่ยวในอิตาลี ดินแดนแห่งศิลปะ จะลุ้น ระทึกขนาดไหน อดใจรอสักครู่นะคร๊า
สุดท้ายนี้!! ต้องขอบพระคุณทุกท่านด้วยน๊า เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจกัน
ชอบ กด Like ถูกใจ กด Share ได้เลยนะคร๊า!! เลิฟ เลิฟ
ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ FB Fan page : ญิ๋งเปรี้ยว พาเพลิน IG : YingPreawPaPlearn