เปิดแล้ว! CORO Harvest ร้านอาหารจากฟาร์ม CORO Field ที่เสิร์ฟผักผลไม้ที่สดที่สุดในกรุงเทพฯ
CORO Field หรือที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันในฐานะฟาร์มเมล่อนลุคญี่ปุ่นสุดฮิปสเตอร์ ประจำจังหวัดราชบุรี ล่าสุดก็ได้ฤกษ์มาเปิดร้านอาหารร้านแรกภายใต้ชื่อ “CORO Harvest” ที่พร้อมส่งตรงความสดกรอบของผลผลิตแบบออร์แกนิกให้ชาวเมืองแบบสดใหม่เหมือนทานในฟาร์ม ซึ่งวันนี้.. iPick แอปพลิเคชั่นแนะนำร้านอาหาร จึงถือโอกาสพาชาวสนุก! มาทำความรู้จักทั้งฟาร์มและร้านอาหารใหม่นี้กันอีกครั้ง จากปากสองพี่น้องผู้ก่อตั้ง คุณพ็อต มิตรดนัย และคุณพีท พันดนัย สถาวรมณี แล้วจะรู้ว่า CORO Field นี้ มีดีมากกว่าที่พักผ่อนให้เราแวะไปถ่ายรูปหรือนั่งชิลล์กัน
ใครที่ยังไม่รู้จักฟาร์ม CORO Field มาก่อน เราขอเล่าที่มาที่ไปสั้น ๆ ว่า CORO เป็นชื่อโปรเจ็คของสองพี่น้องที่มีปณิธานที่อยากจะพัฒนาคุณภาพเกษตรกรรมในไทย ด้วยจุดเริ่มต้นจากธุรกิจโรงงานปุ๋ยออร์แกนิกของครอบครัวเมื่อราวสิบปีก่อน จากการคลุกคลีอยู่ในวงการการเกษตรกับกลุ่มเกษตรกรมาสักพักใหญ่ จึงได้แรงบันดาลใจและนำต่อยอดจากโรงงานปุ๋ย เป็นฟาร์มผักผลไม้และเมลอนบนพื้นที่แห้งแล้งขนาด 104 ไร่ในจังหวัดราชบุรี
ทั้งสองพี่น้องเลือกปลูกเมลอนเพราะเป็นพืชพันธุ์ที่ปลูกยาก หากปลูกเมลอนได้ พืชผักชนิดอื่นก็ไม่ต้องเป็นห่วง ด้วยการลองผิดลองถูกและปลุกปั้นพื้นที่ 104 ไร่นี้มานานกว่า 3 ปี จนสำเร็จเป็น CORO Field ก่อนจะขยายกิ่งก้านสาขาจนเกิดเป็น CORO Harvest ร้านอาหารที่รับผลผลิตออร์แกนิกจากการเก็บเกี่ยวในฟาร์ม และกลุ่มเกษตรกรที่รู้จักกัน มาให้คนเมืองมาเติมพลังสุขภาพและลิ้มรสของผักผลไม้ที่สดใหม่ที่สุดแบบไม่ต้องไปไกลถึงฟาร์มก็หาทานได้
“ปณิธานของเราจริง ๆ คืออยากทำพื้นที่สีเขียวเพื่อตอบโจทย์เกษตรกรรุ่นใหม่ที่กำลังจะหายไป เราพบว่าไม่มีคนรุ่นใหม่หรือลูกหลานเกษตรกรคนไหนอยากมาทำงานเกษตรกรจริงจัง เพราะคิดว่าเป็นเกษตรกรแล้วมันไม่คูล” คุณพ๊อตและคุณพีทกล่าว “มันเลยเกิดคำถามว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า เกษตรกรรมในประเทศเรามันจะไปในทิศทางไหน มันเลยเกิดเป็นโปรเจ็ค CORO ขึ้นมา เราอยากมีส่วนจะเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นด้วยการเกษตร ซึ่งนอกจาก CORO field และ CORO Harvest แล้ว เรามีแพลนจะเปิดตัว CORO Care ที่เป็นเหมือนช่องทางบริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาเหล่าเกษตรกรเร็ว ๆ นี้”
ด้วยที่ตั้งซึ่งไม่มีแหล่งน้ำใกล้เคียง น้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกทั้งหมดจึงได้จากการสูบขึ้นมาจากชั้นใต้บาดาล ซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ส่งผลให้ผลิตผลของที่นี่มีเนื้อที่สดกรอบกว่าของที่ไหน
สำหรับร้าน CORO Harvest ที่เอสพลานาดรัชดานี้ ผนังร้านส่วนใหญ่ล้อมด้วยกระจกใสที่ปล่อยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาตลอดวัน ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและมีชีวิตชีวาไปพร้อม ๆ กันกับสีเขียวของต้นเฟิร์นบนเพดาน พื้นหินหยาบ ๆ ครัวเปิดและโครงเหล็กที่มีลักษณะเดียวกันกับที่อยู่่ในแปลงปลูกมาผสมกับอินทีเรียได้อย่างลงตัวและไม่อึดอัด
ส่วนด้านหน้ามีโซน Market ที่วางขายผักผลไม้สดและผลิตภัณฑ์จากทางฟาร์มให้ซื้อติดมือกลับบ้าน จะแวะมากันได้ตลอดวัน ทั้งสำหรับกินมื้อใหญ่ ตบท้ายของหวานมื้อเบา ๆ หรือมานั่งทำงานยาว ๆ ก็ได้เพราะมีปลั๊กบริการพร้อมแทบทุกโต๊ะ
เมนูอาหารของที่นี่ไม่ได้มีแค่ผักผลไม้สดส่งตรงวันต่อวัน มาทำเป็นของหวานเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารคาวจานหนักให้มาฝากท้องกันในมื้อหลักกัน เริ่มต้นกันด้วยจานทานเล่น อย่าง เมลอนคัตสึโอะ (145 บาท) และมันม่วงญี่ปุ่นทอด ซอส 3 ฤดู (145 บาท)
หรือคนกลัวอ้วน จะสั่ง สลัดผักออร์แกนิก (135 บาท) ที่มาพร้อมกับน้ำสลัดมะเขือเทศเชอร์รี่ฮอลแลนด์มาเพิ่มความสดชื่น และสลัดอกไก่ย่างซอสส้ม (165 บาท) หรือลองยำมะเขือเทศเชอร์รี่ฮอลแลนด์ (145 บาท) ที่ยำมารสจัดจ้านแบบไทย ๆ ด้วยรสเปรี้ยวและเผ็ดนำ จานนี้มาพร้อมกับขนมปังมันม่วงให้ทานคู่กัน
“พืชทุกชนิดบนโลกใบนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้นหน้าที่ของเกษตรกรจริง ๆ การสังเกตพืชแต่ละประเภทที่เราคิดจะปลูก ว่าเค้าชอบอยู่ในภาวะเช่นไรตั้งแต่งอกจนถึงเก็บเกี่ยว แล้วเราคอยจัดสถาพแวดล้อมให้เค้าได้อยู่ในสภาวะนั้น ๆ เราก็จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีที่สุด” คุณพ็อตกล่าว
แน่นอนว่ามีปลูกเมลอนเองแบบนี้ ต้องมีอาหารคาวหลายจานมาเซอร์ไพรส์คนทานด้วยเมลอนเป็นส่วนผสม อาทิ สลัดเมลอนทรีโอเซซามี่ (145 บาท) ส้มตำโทมิเมลอน (165 บาท) หรือแม้แต่โรตีแกงเขียวหวานเต้าหู้เมล่อน (185 บาท) ก็มีท้าให้ลองเหมือนกัน สำหรับจานที่ใช้เมลอนที่เราติดใจ เป็นคาโบนาร่าไข่ออนเซ็น (245 บาท) ที่ผสมเนื้อเมลอนลงในเส้น จึงมีสีเขียวอ่อน กลิ่นหอมนิด ๆ ผัดมาแบบเส้นสุกกำลังดี พร้อมกับรสชาติครีมมี่เข้มข้นและทานง่าย
ใครที่มองหาจานคลาสสิกหน่อย แนะนำสั่งเป็นผัดไทยเส้นจันทน์กุ้งสดห่อไข่ (165 บาท) ข้าวหมูชาชูกระเทียม (175 บาท) และสเต็กแซลมอนย่างกระทะร้อน (265 บาท) ที่มากับมันม่วงบดเนื้อเนียน
มาถึงของหวานกันบ้าง อย่าลืมเผื่อที่ให้กับ มันม่วงญี่ปุ่นลาวา (145 บาท) ขนมปังไส้มันม่วงที่ให้รสหวานน้อย ได้รสชาติของมันม่วงแบบเต็ม ๆ ทานคู่กับไอศกรีมรสนมฮอกไกโด และเต้าฮวยโฮมเมดมันม่วง (155 บาท) ที่มาพร้อมน้ำแข็งไสเย็น ๆ ซ่อนอยู่ด้านล่างให้ทานชื่นใจ
ใครที่แวะมาเติมความหวานกันแบบเร่งรีบ จะสั่งซอฟต์เสิร์ฟโทมิเมลอนโยเกิร์ต (115 บาท) หรือน้ำสกัดเย็นและสมูธตี้กลับไปดื่มดับร้อนกัน ไม่ว่าจะเป็น สมูธตี้เมลอนน้ำนมข้าว (125 บาท) สมูธตี้มะเขือเทศ (115 บาท) ที่คนไม่ทานมะเขือเทศก็ถูกปากกับแก้วได้ไม่ยาก เพราะหอมน้ำผึ้ง และได้รสชาติละมุนละไมด้วยการผสมน้ำนมถั่วเหลือง แถมยังไม่ผสมน้ำตาลเพิ่ม ได้ความหวานจากธรรมชาติไปเต็ม ๆ
สำหรับโปรเจ็กใหม่ ๆ อย่าง CORO Care นั้นก็เป็นอีกสิ่งที่น่าติดตาม คุณพ็อตเล่าให้เราฟังว่า “สิ่งนี้จะเป็นอีกโปรเจ็คเพื่อช่วยแก้ปัญหาและให้ความรู้กับเกษตรกร ซึ่งจะเปิดตัวในปีนี้ เวลาผมไปบรรยายให้เกษตรกรฟัง ผมจะบอกว่าเราไม่ต้องรอภาครัฐ ทุกคนมีต้นทุนไม่เหมือนกัน เราต้องสำรวจสิ่งที่ตัวเราเองมีเสียก่อน เช่น ถ้าพ่อแม่คุณทำนา 30 ไร่มา 50 ปี ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำนาไปอีก 50 ปี คุณอาจจะทำแค่ 2 ไร่ แล้วไม่ต้องปลูกข้าวก็ได้มั้ย? ดังนั้นสิ่งที่คุณทำได้คือ นำความชอบส่วนตัวไปประยุกต์ใช้กับต้นทุนที่คุณมี แล้วลองมองดูว่ามันเป็นอะไรได้บ้าง”
รายละเอียดร้าน: http://www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30014262