ปั่น ชม ชิม ชิลล์ นครพนม
หากต้องการพักผ่อนในที่สงบ ๆ ในวันหยุดที่แสนสั้น และอยากให้เป็นวันหยุดที่ควบคู่ไปกับการเดินทางที่ใหม่ ๆ
พบสิ่งใหม่ เปิดโลกให้กว้างกว่าเดิม เจอสังคมใหม่ ๆ วัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากชีวิตประจำวัน และการเดินทางไปที่แห่งนี้นั้นไม่ซับซ้อน แถมบรรยากาศดี
เราหวังจะเจอความสงบ และแล้วเราก็ได้เจอที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้เราเจอกับทุกอย่างที่ราต้องการ “จังหวัดนครพนม”
สวัสดีนครพนม เมืองนครพนมขึ้นชื่อเรื่องพระธาตุ ไหว้พระขอพรต่างๆ ยังเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ตัวจังหวัดติดริมโขงมีเส้นทางข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (ประเทศลาว)
ได้ด้วย นอกจากมานครพนมแล้วต้องมาไหว้พระธาตุและอีกสิ่งที่เป็นแลนด์มาร์ค คิดว่าต้องทำคือการปั่นจักรยานชมเมืองกิจกรรมที่คลาสสิคสุดๆ ของเมืองนี้
ที่นี่มีเส้นทางการปั่นจักรยานโดยเฉพาะ เส้นทางยาวถึง 15 กิโลเมตร
เรามาถึงนครพนมในเวลาเที่ยงคืนพอดี ได้เข้าพักที่ โรงแรมสยามแกรนด์ นครพนม ก่อนจะแยกย้ายเข้าห้องพัก
ตื่นมากินอาหารเช้าที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ไม่ว่าจะเป็น ไข่กระทะ ขนมปัง กาแฟ ข้าวต้ม สามารถสั่งเพิ่มได้ตามสบาย
ก่อนจะกลับมาห้องพัก-ผ่อนรอเวลาออกไปปั่นจักยานชมเมืองในตอนบ่าย ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่ห้องพักที่นอนหลับสบายเท่านั้นนะ
โรงแรมยังมีคาเฟ่บรรยากาศชิลล์ๆ สไตล์ลอฟท์อยู่ติดกัน ชื่อร้าน “ข้างสยาม” มีทั้งกาแฟ เค้ก อาหาร และเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลาย อิ่มอร่อยครบในที่เดียว
ไม่ต้องออกไปหาร้านบรรยากาศดีที่อื่นเลยก็ว่าได้ และสำหรับคนที่มาพักที่นี่สามารถปั่นจักรยานของทางโรงแรมได้ฟรีโดยไม่ต้องเช่าเพียงแค่แลกบัตประชาชนไว้ก็เอาจักยานออกไปปั่นชมริมโขงได้สบายๆ
ซึ่งผั่งตรงข้ามโรงแรมยังมีถนนเชื่อมไปถึงริมโขงอีกด้วย ...ครบมากที่นี่ สยามแกรนด์ นครพนม
บ่ายแก่ๆ ของวันจันทร์หลังจากกินข้าวเสร็จเราได้ออกไปปั่นจักยาน เป้าหมายของเราคือการได้ไปเจอกับสถานที่สำคัญต่างๆ ในตัวจังหวัดนครพนม
เริ่มจาก”วัดมหาธาตุ” ที่อยู่ติดริมฝั่งโขง ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งสร้างเมืองนครพนม ภายในวัดมี “พระธาตุนคร” ลักษณะขององค์พระธาตุมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
เป็นพระธาตุประจำวันเสาร์ ในพระธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ถือเป็นปูชนียสถานที่เคารพสักการะของชาวนครพนม ใกล้กันมีพระอุโบสถเก่าแก่สถาปัตยกรรมพื้นบ้านที่งดงามมากๆ
และมุ่งหน้าไปจุดต่อไป คือหอนาฬิกาที่มีความสูงเท่ากับตึกสองชั้นหน้าปัดเป็นเลขโรมันที่สร้างขึ้นโดยชาวเวียดนามสมัยที่เข้ามาอาศัยในจังหวัดนครพนม
เมื่อคราวจะย้ายกลับ เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงมิตรไมตรีของชาวไทยที่ได้พึ่งพาอาศัยกันในยุคนั้น (ช่วงลี้ภัยสงคราม)
ชาวเวียดนามจำนวนหนึ่ง ที่มาลี้ภัยอาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนมและบางคนก็อยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้
จังหวัดนครพนมถือว่าเป็นดินแดนที่มีชาวไทยเชื้อสายเวียดนามอาศัยอยู่จำนวนมาก เราจึงจะเห็นอนุสรณ์และเรื่องราวของชาวเวียดนามในนครพนมหลายแห่ง
และบริเวณหอนาฬิกาทุกวันศุกร์-เสาร์จะมีถนนคนเดินอีกด้วย เราปั่นไปแวะถ่ายรูปไปก็เริ่มหิวแล้ว เลยแวะกินปากหม้อศรีเทพ
ที่นี่มีให้เลือกหลากหลายหน้า ทั้งขนมเหนียว, ปากหม้อไข่ดาว+หมูยอ, ปากหม้อข้าวเกรียบ, ปากหม้อหมูสับ, ปากห้อมห่อไข่ฯ ทั้งราคาไม่แพง ชุดละ 20 ก็อิ่มกันเลยทีเดียว
หลังจากเติมพลังเสร็จเราได้ปั่นไปที่หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ เดิมเป็นศาลากลางจังหวัดนครพนม ใช้แรงงานนักโทษในการก่อสร้างโดยใช้แปลนของศาลากลางจังหวัดเชียงรายเป็นต้นแบบ
มีลักษณะอาคารแบบเรอเนสซองซ์สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2458 ตรงกับ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
เป็นแหล่งรวบรวมมรดกที่อยู่ในรูปแบบของหนังสือ สิ่งพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ หนังสือภาษาโบราณ หนังสือตัวเขียน จารึก คัมภีร์ใบลาน หนังสือหายากที่ผลิตขึ้นในภูมิภาค
เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า และวิจัยของ นักวิจัย ครูผู้สอน อาจารย์ ข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ นักเรียน นักศึกษา บุคคลทั่วไปในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นศูนย์รวบรวม
อนุรักษ์สงวนรักษาและเผยแพร่ทรัพย์สินทางปัญญาของท้องถิ่น และเป็นแหล่งในการศึกษา อบรมวิชาการด้านบรรณารักษศาสตร์ทำหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาในการจัดห้องสมุดในท้องถิ่น
สถานศึกษาเป็นตึกไม้สามชั้นมีห้องใต้หลังคาจัดเก็บหนังสือทั้งเก่าและใหม่ ใครชอบอ่านหนังสือและต้องการความเงียบต้องมาสัมผัสที่นี่
อยากรู้อะไรเพิ่มเติมหาอะไรไม่เจอก็สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการในทุกส่วน
เรากลับเข้าสู่เส้นทางจักรยานริมแม่น้ำโขง ผ่านสถานที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม สถาปัตยกรรมดีเด่นในจังหวัดนครพนม
ที่มีความสวยงามโดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นแบบตะวันตก เพราะได้รับอิทธิพลในรูปแบบการก่อสร้างจากฝรั่งเศส ช่วงสมัยสงครามอินโดจีน
ซึ่งตอนนี้ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาวนครพนม มีนิทรรศการ “ภาพเล่าเรื่อง” ในอดีตของเมืองนครพนม
เราปั่นไปจนถึงอุโมงค์นาคราชระยะทางประมาณ 307 เมตร เป็นอุโมงค์เหล็ก มีผนังกั้นปลอดภัย สามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามของลำน้ำโขงได้กว้างไกลและสามารถขี่จักรยานสวนกันได้
พอปั่นพ้นอุโมงค์ไปเราก็เจอสวนดอกไม้ที่ปลูกตามริมแม่น้ำโขง ผ่านบ้านเรือน ผ่านที่เลี้ยงปลาร้านอาหารที่น่าสนใจคิดว่าพรุ่งนี้ต้องมาแวะกินก่อนกลับ
ได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านตามริมโขง เขาใช้ชีวิตแบบสงบสุขริมบรรยากาศดีๆ แบบนี้ทุกวัน ตัวเราก็แอบอิจฉาเบาๆ นะ เมืองเขาเงียบสงบดีจริงๆ
จนปั่นไปถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 (นครพนม-คำม่วน) เป็นเส้นทางการคมนาคมขนส่งด้านการค้า
และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงจากประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีความยาวรวม 1,423 เมตร มีความกว้าง 13 เมตร และมีช่องทางจราจร 2 ช่อง
บรรยากาศที่นี่ไม่ใช่แค่สะพานที่สามารถข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านได้นะ เรานั่งอยู่ใต้สะพานสักพักมองออกไปด้านหน้าของเรา
ลอดผ่านใต้สะพานไปเจอภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนกันไปมาภูเขาสีเขียวเข้มกับท้องฟ้าสีคราม และสายลมที่แรงขึ้น อากาศเริ่มเย็นยะเยือกบ่งบอกว่าฝนกำลังจะมา
ก้อนเมฆโดนลมพัดไปอย่างรวดเร็วแสงอาทิตย์ก็สาดลอดผ่านช่องว่างของกลุ่มเมฆลงมาทำให้เห็นน้ำโขงสีทอง ทุกอย่างกำลังถูกลบด้วยละอองฝนจนภาพด้านหน้ากลายเป็นสีเทา ต้องมาลองนั่งชมวิวที่นี่สักครั้งนะ
เราปั่นกลับมาที่แลนด์มาร์ค องค์พญาศรีสัตตนาคราช ประติมากรรมพญานาคที่หล่อขึ้นด้วยโลหะทองเหลืองน้ำหนักประมาณ 9 ตัน ความสูงรวมฐานประมาณ 16 เมตร
ขึ้นประดิษฐานบนแท่น ริมฝั่งแม่น้ำโขง สามแยกด่านป่าไม้ ที่นี่มีคนมากราบไหว้ขอพรทั้งวันเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่แวะไหว้ขอความเป็นศิริมงคลให้กับตัวเอง
และดูพระอาทิตย์ดับแสงลงจากชั้นสองของอาคารขายสินค้าของฝากของนครพนมที่อยู่ติดริมแม่น้ำโขงข้างองค์พญาศรีสัตตนาคราช
ที่นี่ถือเป็นอีกเมืองที่เห็นว่าทางปั่นจักยานได้ใช้จริงเพราะตลอดการปั่นผ่านสถานที่ต่างๆ จะมีคนปั่นสวนทางกับเราตลอด เงียบสงบแต่มีเพื่อนร่วมทาง ต้องยอมรับว่าเมืองนี้คูลจริงๆ เราไม่เคยรู้ว่าความลงตัว
จะอยู่ที่ไหนจนกว่าเราจะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง ทั้งการแก้ปัญหาในเวลาฉุกเฉินการช่วยเหลือและน้ำใจจากเพื่อนที่เดินทางร่วมกัน
และผู้คนในท้องถิ่นทำให้เราเปิดโลกให้กว้างกว่าเดิม เพราะแบบนี้เองการเดินทางของเราจึงไม่เคยสิ้นสุด