ภูหินจอมธาตุ อาณาจักรหินประหลาดแห่งใหม่
กลางความมืดในผืนป่า พวกเราสาวเท้าอย่างเร่งรีบ เหมือนแข่งกับพระอาทิตย์ว่าใครจะถึงจุดหมายก่อนกัน ตึกตัก ! ตึกตัก ! หัวใจเต้นระรัว ลมหายใจเริ่มหอบถี่ เหงื่อชื้นชุ่มแผ่นหลัง “เร็วๆ หน่อยครับ ใกล้ขึ้นแล้ว” เจ้าหน้าที่เร่งเร้าเมื่อมองเห็นแสงสีส้มเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้า ทำท่าว่าฝ่ายเราจะพ่ายแพ้แก่ดวงตะวัน ทุกคนฮึดรีดพลังเฮือกสุดท้าย พาตัวเองจ้ำอ้าวมาถึงลานหินกว้างอันเป็นจุดหมายทันเวลาพอดี ผมทิ้งตัวลงนั่งผ่อนลมหายใจ มองไปรอบๆ สายตาก็สะดุดกับหินรูปทรงประหลาดขนาดใหญ่ทะมึนในเงาสลัว
ความคิดวูบแรกคือ ใครเอาถ้วยฟุตบอลโลกยักษ์ไปตั้งอยู่ตรงนั้น !ยังไม่ทันคิดต่อ แสงแรกที่ไล่เรามาก็โผล่จับขอบฟ้า ดวงตะวันกลมโตลอยขึ้นเด่นสง่า ฉายแสงสีทองอาบไล้ผืนป่าอันแสนสงบ เรือนยอดไม้ที่เบียดแน่นเผยตัวออกจากความมืด เห็นสายหมอกขาวคลอเคลียยอดภูฝอยลมที่อยู่ไกลลิบเบื้องหน้า ฉากอันงดงามนี้นับเป็นรางวัลสำหรับคนที่ดั้นด้นมาถึง
เริ่มอยากออกมาสัมผัสธรรมชาติอีกครั้ง ว่าแล้วก็หาข้อมูลจนพบชื่อของวนอุทยานแห่งหนึ่งที่น่าสนใจเพราะอยู่ไม่ไกลตัวเมือง แถมเป็นที่เที่ยวใหม่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ในใจนึก“จะเข้าข่าย unseen ! มั้ยนะ”
เมื่อต่อสายถึงหัวหน้าวนอุทยานภูหินจอมธาตุ-ชัยวัตต์ หัศกรรจ์ ท่านก็อาสาขับรถนำทางให้ด้วยความยินดี เรานัดหมายกันราวตี 5 ถึงวนอุทยานฯ แล้วเดินต่อมา ถึงลานหินประมาณ 6 โมงครึ่งกำลังดี หัวหน้าชัยวัตต์ให้ข้อมูลว่า วนอุทยานภูหินจอมธาตุ ตั้งอยู่เขตบ้านห้วยยางคำ ตำบลกุดจับ อำเภอกุดจับ จัดตั้งขึ้นในปี 2549 หรือเกือบ 10 ปีที่แล้ว มีพื้นที่กว่า 25,000 ไร่ ครอบคลุมผืนป่าอนุรักษ์ซึ่งเป็นต้นน้ำของเขื่อนห้วยหลวง ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินทรายลูกเดี่ยว ที่หากมองไกลๆ จะเหมือนเทือกเขาทับซ้อนกันไปมา ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ภูพับ”
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกราว 270 ล้านปีที่แล้ว ทำให้เกิดก้อนหินรูปร่างแปลกตา บางพื้นที่เป็นลานหินตะปุ่มตะป่ำเหมือนหลังจระเข้ บ้างก็เป็นแท่งหินสูง พวกเราเลยตั้งฉายาให้เป็นอาณาจักรหินประหลาด !
ภูหินจอมธาตุ หินก้อนที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นก้อนตรงหน้าซึ่งรูปร่างคล้ายถ้วยฟุตบอลโลกในความคิดเรา แต่ชาวบ้านบอกว่าเหมือนกับ “ธาตุ” หรือ เจดีย์บรรจุอัฐิผู้ล่วงลับ และขนาดซึ่งใหญ่สูงเด่นจึงเรียกว่า “จอมธาตุ” โดยนำไปตั้งเป็นชื่อวนอุทยานฯ ด้วยดวงตะวันสีส้มลอยเด่นเหนือหินจอมธาตุ สะท้อนเงาบนผิวน้ำของห้วยหลวง...เป็นฉากรุ่งอรุณที่น่าชม
ภูหินจอมธาตุ อยู่สูงจากระดับทะเล 450 เมตร อากาศด้านบนจึงเย็นสบาย มีลมพัดตลอด ฤดูหนาวไม้ในป่าเต็งรังจะพากันผลัดใบ มีหมอกจางๆ ราวม่านสีขาว บางปีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง 5 องศาเซลเซียส ในฤดูฝนความสวยงามมีไม่น้อยไปกว่ากัน ผืนป่านั้นเขียวขจี มีน้ำไหลผ่านโขดหิน และหลังฝนตกก็มีทะเลหมอก สัมผัสได้ถึงความชุ่มฉ่ำ ส่วนช่วงปลายฝนต้นหนาวดอกดุสิตาและสร้อยสุวรรณาจะบานแต่งแต้มสีสันบนลานหิน พอล่วงเข้าฤดูร้อนถึงคราวดอกช้างน้าวและดอกกวาวเครือแดงบานสะพรั่งบ้าง ต่างฤดูกาลธรรมชาติก็งดงามต่างกันไป
หลังนั่งชมฉากพระอาทิตย์ขึ้นจนอิ่มเอมใจ ร่างกายคลายความเมื่อยล้าแล้ว หัวหน้าก็ชวนทั้งทีมเดินกลับไปอีกทางหนึ่งซึ่งมีสิ่งน่าสนใจหลายจุดให้แวะชม แดดเช้าช่วยให้เรามองเห็นผืนป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณโดยรอบถนัดตาขึ้น มีต้นมะค่าโมง ตะแบก ประดู่ กระบก ขึ้นหนาแน่นไปทั่ว
หัวหน้าพาชมรอยพระบาท ลักษณะเป็นหลุมลึกยาวราว 2 เมตรบนลานหิน รูปร่างเหมือนรอยเท้ามนุษย์ เชื่อว่าเป็นรอยเท้าของผู้ทรงศีล จากนั้นไปชมเพิงหินที่ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำตาปาแดง เล่ากันว่าเป็นที่อยู่ของปู่แดง ชายพเนจรผู้อาศัยในป่า คอยไล่พวกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า แต่ท้ายที่สุดก็ถูกลอบยิงเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า
เราแวะสูดอากาศบริสุทธิ์ที่จุดชมทิวทัศน์มะค่าแต้ มองเห็นทุ่งนาผืนใหญ่อยู่เบื้องล่าง ในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ลำเลียงเสบียงไปยังภูหินลาดช่อฟ้า ฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ระหว่างทางมีพรรณไม้น่าชมหลายชนิด อย่างสลัดได บุกที่นำหัวมาบริโภค โมกราชินีซึ่งออกดอกเล็กๆ สีขาวสวย หลังจากนั้นพวกเราพากันขึ้นรถกระบะกลับลงมาที่ที่ทำการวนอุทยานภูหินจอมธาตุ ด้านล่าง
แม้เราจะเหนื่อยและง่วงเพราะตื่นเช้ามาก แต่ฉากที่ผ่านตานั้นช่างงดงาม ประทับลงในใจมิรู้ลืม...