รีวิวร้าน HARU Bangkok Izakaya and Sushi Bar เจ้าของสโลแกน “กินดื่มครบ จบในที่เดียว” กับเมนูอาหารญี่ปุ่นกว่า 240 รายการ!!!
วันนี้ชุ้งชิ้งขอพาเพื่อนๆมาลองอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ค่ะ รับรองเลยว่าไม่มีทางจำเจและซ้ำซากแน่นอน เพราะชิ้งจะพาเพื่อนๆมารู้จักอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ในสไตล์ “โมเดิร์น อิซากายะ” (Modern Izakaya) ซึ่งก็คือร้านอาหารในสไตล์เน้นกินดื่ม โดยจะเสิร์ฟเป็นกับแกล้มจานเล็กๆ ทานพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ เหมาะมากสำหรับ นัดสังสรรค์หลังเลิกงาน นัดปาร์ตี้กับกลุ่มเพื่อนฝูง หรือ จะพาครอบครัวมาหม่ำๆ ก็โอเคเลยน้า ^___^ ว่ากันว่าเทรนนี้กำลังมาแรวงมั่กๆในญี่ปุ่น แถว ชินจูกุ, กินซ่า, รอปปงงิ ซึ่งนั่นก็แปลว่าร้าน Haru Bangkok Izakaya&Sushi Bar ถือเป็นร้านแรกๆ ที่เริ่มต้นคอนเซปนี้ในประเทศเราเลยค่ะ ถ้างั้นจะช้าอยู่ไย เรามาเริ่มรีวิวอาหารกันเลยดีก่าเน้อ อิอิ
ทันทีที่เข้ามาในร้านก็เซอร์ไพรส์เลยค่ะ ร้านอาหารญี่ปุ่นอะไรกันมีเมนูมากมายก่ายกองขนาดนี้!!! อาจจะด้วยสโลแกน “กินดื่มครบ จบในที่เดียว” มั้งคะ เลยทำให้มีเมนูอาหารกว่า 240 เมนูให้บริการ คือตั้งแต่ซูชิ ซาชิมิ ยันราเมง ยันปิ้ง ทอด ย่าง ยันค็อกเทล สวดยอดไปเล้ย! ^___^/ คือทางร้านแบ่งอาหารออกเป็น 3ส่วนหลักๆ คือ อาหารจานร้อนในแบบอิซากายะ (ปิ้ง, ผัด, ทอด, ย่าง, นึ่ง, อบ, ราเมง), ซูชิ-ซาชิมิ, และคอกเทลบาร์ในสไตล์ญี่ปุ่น
ล่ายมาซะยาวเลย เสิร์ฟจานแรกเลยดีก่า ^___^ กับเมนู สลัดยำปลาแซลมอน (YUM Salmon Salad) 229 บาท
ปลาสด กินแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่ปลา frozen แต่เป็นปลาที่ Chill มา แถมหั่นชิ้นมาพอดีคำ ทำให้ทานง่าย น้ำยำก็จี๊ดจ๊าดแบบไทยๆเรา เมนูนี้น่าจะถูกปากทุกเจนเนอเรชั่นค่ะ
ถ้าเพื่อนๆทายว่าเป็นปลาหมึกเทมปุระ ก็ต้องบอกว่าทายผิดค่ะ อิอิ เพราะเมนูนี้คือ ปลาหมึกแห้งทอดเทมปุระ (Atarime Tempura) ต่างหาก เก๋ดีนะคะที่ทางร้านใช้ปลาหมึกแห้ง นำมาชุบแป้งเทมปุระแล้วทอดจนกรอบ เลยทำให้ได้รสชาติและกลิ่นเฉพาะของปลาหมึกแห้ง เสิร์ฟมาพร้อม ซอสโชยุมาโย ที่ออกหอม มัน เค็ม เมนูนี้ ขอเตือนว่ากินแล้วหยุดไม่ได้ แหะ แหะ ^___^’ ยิ่งถ้ากินกับเบียร์น้า ต้องสุโค่ยแน่ๆอ๊ะ! จานนี้ 169 บาท
ที่เห็นนี่ก็เป็นอีก 1 เมนูขายดีของทางร้านค่ะ สลัดปลาเงินทอด (Shirauo Salad) ปรกติร้านอื่นๆจะใช้ปลาเงินตัวเล็กๆชิป่ะ แต่ที่ร้านนี้เค้าเลือกไซส์ใหญ่เลยค่ะ จะได้เต็มปากเต็มคำ เดรสซิ่งด้านล่างจะเป็นเดรสซิ่งซอสญี่ปุ่นออกรสเปรี้ยวๆหน่อย เป็นสลัดน้ำใส ส่วนด้านบนจะเป็นมายองเนส เพิ่มความมัน เวลาทานต้องคลุกเคล้านะคะ เพราะถ้าตักแต่ด้านบน ก็ได้มายองเนสไปเต็มๆ พอเลี่ยนแล้วจิมาโทษทางร้านไม่ได้น้า อิอิ จานนี้ 279 บาทค่ะ
ปลาดิบรวมชุดกลาง (Sashimi Moriawase/ Take) ปลาสดค่ะ หั่นชิ้นโตทำให้น่าทานมั่กๆ ด้วยคุณภาพ... ถือได้ว่าทางร้านตั้งราคาน่าโดนเลยทีเดียว หมดนี้ 1,399บาท คือย่อมเยากว่าไปกินฝั่งทองหล่อเยอะ!
แต่ที่ทำให้เพิ่มความน่าสนใจ หรือลูกเล่นเข้าไปอีก น่าจะเป็น วาซาบิแบบสด (รูปทางซ้ายมือ) ที่เค้าสับก้านปนมาด้วย เวลากินนอกจากจะเผ็ดขึ้นจมูกมั่กๆแล้ว ยังได้ความกรึบๆด้วย เค้าขอแนะนำว่าอย่ากินเยอะ เพราะเผ็ดจีจีน้า 555 และก็ ยูซุดองบดละเอียด (รูปทางขวา) เปลือกส้มญี่ปุ่นนั่นเอง ทำให้ได้กลิ่นสดชื่นๆอย่างมีเอกลักษณ์ แต่เค็มนะคะ แนะนำว่าไม่ต้องจิ้มโชยุแร้น ป้ายไปที่ปลาแล้วกินเลยครัช
มาถึงร้านสไตล์ Izakaya ยังไงก็ต้องสั่งเมนูนี้ค่ะ ชุดเสียบไม้ย่างใหญ่ (Kushi Yaki Moriawase) 329บาท
ปิ้งย่างแบบเสียบไม้ 5ไม้ มี หมูคุโรบูตะสามชั้นนุ่มๆย่าง, ลิ้นวัวย่าง, เบคอนพันไข่นกกระทาย่าง, เห็ดหอมย่าง, ไก่บดย่างจิ้มไข่อองเซ็น เคี้ยวแล้วจะกรึบๆนิดนุงเพราะเค้าสับกระดูกอ่อนเข้าไปด้วย เพิ่มความน่าสนใจดีค่ะ ไม่งั้นคงเป็นแค่ไก่บดธรรมดา
ไก่บดย่างจิ้มไข่อองเซ็นไม้นี้มีกิมมิคน่ารักๆ ประมาณแม่ไก่พบลูกไก่ ^___^ ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โอยาโกะ” ใช้คำนี้ได้สำหรับเมนูที่มีไก่กับไข่ หรือปลาแซลม่อนเจอไข่ปลาแซลม่อน น่ารักเน้อ
ตัวซอสที่ใช้ราดก่อนนำไปย่างเป็นสูตรจากเกาะฮอกไกโด รสชาติออกหวาน หอม กลมกล่อม ซึ่งทางร้านบอกว่าต้องเคี่ยวกันนานข้ามคืนเลยทีเดียว จากนั้นค่อยนำไปย่างบนเตาถ่านเพื่อให้ได้ความหอมของถ่านไม้ไผ่จิงๆ
เพื่อนๆอย่าเพิ่งอิ่มกันน้า เพราะชิ้งแคนคุ๊กภูมิหัวใจนำเสนออีก 2 เมนูที่เค้าชอบมากที่สุด เริ่มจากเมนูนี้ หม้อไฟญี่ปุ่นหมูคุโรบูตะ (Kurobuta Nabe) กินหม้อไฟหม้อนี้แล้วสวยน้า เพราะมีคอลลาเจนให้ใส่ลงไปต้มกินด้วยค่า ดีจิ จะได้หน้าตึง เด้งดึ๋งกลับบ้าน ^___^ ค่าเสียหายอยู่ที่ 329 บาท
ก้อนวุ้นคอลลาเจน ใส่ลงไปโลด แล้วใช้ทัพพียีๆๆ ลุยๆ
จิงๆเค้าเสิร์ฟหม้อไฟนี้มาพร้อมน้ำจิ้ม 2 แบบ ทั้ง พอนสึ และ น้ำจิ้มงา หอมๆ แต่ชิ้งว่าไม่ต้องจิ้มเลยค่ะ น้ำซุปหวานกลมกล่อมฝุดๆ น้ำซุปของทางร้านใช้ปลาแห้งและหมูเป็นเบส น่าจะต้องเคี่ยวมาอย่างพิถีพิถันตามแบบฉบับคนญี่ปุ่นแท้ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นเมนูขายดีอันดับ 1 ที่ลูกค้ามักกลับมาทานซ้ำ ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ชอบเมนูหม้อไฟซดน้ำซักเท่าไหร่ แต่หม้อนี้ ตักไป 3 รอบเห็นจะได้ เมนูนี้แนะนำจิงๆค่ะ เลิฟๆ
มาถึงเมนูในดวงใจอีก 1 เมนูค่ะ เก๋มั่กๆ เพราะสั่งเมนูเดียว มีวิธีให้กินได้ 3 แบบ อิอิ เมนูนั้นก็คือ ข้าวอบหม้อญี่ปุ่นหมูสามชั้น (Buta Kakuni Kamameshi) เซ็ตนี้ 349 บาท
แค่ยกออกมาเสิร์ฟก็หอมมั่กๆแล้วค่ะ แต่ยังกินไม่ได้น้า ต้องตั้งไฟต่ออีกสักครู่ รอจนไฟที่หม้อดับเพื่อให้กลิ่นและน้ำซุปผสมผสานกลมกล่อมในหม้อ โดยพนักงานจะยืนคอยให้บริการอยู่ใกล้ๆ พอพร้อมแล้ว น้องเค้าถึงจะเปิดฝา ตักเสิร์ฟให้จ้า ซึ่งระยะเวลาก็น่าจะอยู่ที่ความชอบของลูกค้าด้วยค่ะ คือถ้าชอบให้ขอบเกรียมๆ ก็อาจจะตั้งไฟนานหน่อย หรือใครชอบข้าวแฉะๆหน่อยก็ใช้เวลาน้อยลง
เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียง ซึ่งก็จะมี ขิงดอง ต้นหอมซอย สาหร่าย ส่วนกระบอกที่เห็น ตอนแรกชิ้งทายว่าเป็นน้ำชาค่ะ ซึ่งเวอร์ชั่นญี่ปุ่นแท้ๆต้องเป็นน้ำชานะคะ แต่เพื่อให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น ทางร้านเปลี่ยนเป็น น้ำซุปปลาแห้ง แทนค่ะ ซึ่งชิ้งว่าเวิร์คกว่าน้ำชาแยะจิงๆด้วย อิอิ
ใช้ไม้พายที่ให้มาคลุกเคล้าให้เข้ากันแบบนี้
วิธีการทานแบบแรก ง่ายๆค่ะ กินเป็นข้าวอบ คือตักแล้วกินเลยจ้า หูย... อร่อยมั่กๆ ข้าวนุ่ม หอม หมูสามชั้นก็นุ่มฝุดๆ ทางร้านบอกว่าเคล็ดลับคือต้องนำวัตถุดิบทั้งหมดลงหุงในหม้อหุงข้าวญี่ปุ่นแบบโบราณ ไม่ได้ใช้ข้าวสวยที่สุกแล้วไปอบ
กินแบบที่ 2 ก็นี่เลย คลุกเครื่องเคียง (สาหร่าย, ขิงดอง, ต้นหอม) เพื่อเป็นข้าวยำ ก็ให้อารมณ์อีกแบบดีค่ะ ชอบอ่ะ! สนุกจุง ^___^
และปิดท้ายด้วยการใส่น้ำซุปเพื่อทำเป็นข้าวต้ม อื้อหือ! ให้อารมณ์อีกแบบไปเลยค่า น้ำซุปรสชาติเจ้มจ้นเลยทีเดียว ช้อบ ชอบง่ะ ยิ่งถ้าได้ซดหลังเมาๆน้า ต้องแจ่มโบ๊ะฝุดๆไปเลย หม้อนี้กินได้ 2-3 คนสบายๆ ค่าเสียหาย 349บาท
ขนมก็มีนะจ๊ะ ราสเบอรี่ช็อคโกแลตกรีนที (Raspberry Chocolate Green Tea) 219 บาท
เพื่อให้ถูกต้องตามสโลแกนร้านที่บอกว่า “กินดื่มครบ จบในที่เดียว” ก็ต้องตบท้ายด้วย ซึคิ อูซางิ สปาร์คกิ้ง สาเก (Tsuki Usagi Sparkling Sake) ขวดนี้ค่ะ 459บาท รับรอง 2 ขวดไป 555 รสชาตินุ่ม ได้กลิ่นอโรม่าอ่อนๆ ดื่มง่าย สาวๆชอบแน่ๆ ^___<
เอาหล่ะ มาดูบรรยากาศร้านกันบ้างค่ะ ^___^ ทันทีที่มาถึง น่าจะสะดุดตากับการออกแบบของร้าน คือมองจากด้านนอกเห็นเป็นนก “โอริกามิ” (Origami) เพราะเจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจจากการพับกระดาษแบบนกกระเรียนญี่ปุ่น
บรรยากาศร้านดูโปร่งๆค่ะบนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ มีทั้งส่วนของ เอ้าดอร์ และ อินดอร์ หรือจะไปนั่งที่ เคาว์เตอร์ซูชิบาร์ ก็ได้ แต่ถ้าใครอยากจะ private ก็เปิดห้องรับรองส่วนตัว (VIP Room) ได้เลยค่ะ จอดรถได้ 40 คัน สบายๆ
ส่วนความหมายของชื่อร้าน ฮารุ (Haru) แปลว่า ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นฤดูแห่งความสดใสหลังจากฤดูหนาวได้หมดไป โดยที่มี “ดอกซากุระ (Sakura)” เป็นตัวแทนของฤดูกาล เลยมีดอกซากุระปรากฎอยู่ทั้งในตัวโลโก้ของร้าน บรรยากาศภายในร้านก็จะมีดอกซากุระอยู่ตามกระจก เคาว์เตอร์ ผนังร้าน ฯลฯ และอาหารที่พรีเซนต์ออกมา น่ารักและลึกซึ้งฝุดๆไปเลย ^___^
• สถานที่ตั้งอยู่ ณ เลียบทางด่วนรามอินทราอาจณรงค์ (ถนนประดิษฐ์มนูธรรม) ในซอยโยธินพัฒนา (หลังอาคารชิครีพับบลิค)
• เปิดให้บริการทุกวัน
วันจันทร์-ศุกร์ ในช่วงเวลา 11.30น.-14.00น. (ช่วงกลางวัน) และ17.00น.-23.00น. (ช่วงเย็น)
วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 11.30น. -23.00น. (ทั้งวัน)