รีวิวร้านหรู “Fillets” ร้านอาหารญี่ปุ่นที่โดดเด่นด้วยสไตล์ Omakase “เชฟจัดให้” ที่นักชิมต่างยกให้เป็น1ในร้านที่ดีที่สุด! โดยเชฟ Randy และชิมเครื่องดื่มอร่อยๆจาก beverage director ระดับ award winning!
วันนี้ชิ้งพามากินหรูบ้างค่ะ ที่ร้าน Fillets ซึ่งอยู่ชั้น 3 ของโครงการ The Portico หลังสวน ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่หาตัวจับยากจริงๆ เพราะนอกจากความสุดยอดของอาหารจากเชฟ Randy ซึ่งเป็นเชฟซูชิที่มีดีกรีระดับประเทศ ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดลับวิชากว่าทศวรรษจาก Master เชฟชื่อดังอย่าง Mr. Hidesama Yamamoto และ “Iron chef” Mr. Masaharu Morimoto แล้ว ร้านนี้ยังสามารถเอาชนะร้านคู่แข่งได้สบายๆด้วยลิสเมนูเครื่องดื่มอร่อยๆจากคุณปิง beverage director ระดับ award winning จาก Washington D.C.
แอบรู้มาว่าเชฟ Randy กับ คุณปิง beverage director เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กสมัยอยู่ที่ Washington D.C. หลังจากที่สำเร็จในสายงานตัวเองกันทั้งคู่ ก็นึกอยากผนึกความสามารถแล้วนำพรสวรรค์ของเพื่อนรัก2คนกลับมาเมืองไทย นั่นคือจุดเริ่มต้นของร้าน Fillets ร้านนี้! ซึ่งต้องยอมรับเลยค่ะว่าลงตัวสุดๆที่อาหารชั้นยอดจะเสิร์ฟมาคู่กับเครื่องดื่มดีๆที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!
ภายในร้านกว้างขวางดีค่ะ ในบรรยากาศอบอุ่น นั่งสบายๆ เหมือนไปเที่ยวบ้านเพื่อน มีที่นั่งหลายโซนเลย ทั้ง Sushi bar อย่างที่ชิ้งเลือกมานั่งในวันนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีห้องส่วนตัวสำหรับลูกค้าที่อยากมาลิ้มรสอาหารสไตล์ Omakase ซึ่งหมายถึง “เชฟจัดให้เอง” คือลูกค้าไม่ต้องเลือกเมนูให้ปวดหัวเลยค่ะ เชฟจะเป็นคนเลือกให้เองตามวัตถุดิบที่มีในวันนั้นๆเพื่อเสิร์ฟเมนูที่ดีที่สุดของวัน! ซึ่งร้านลักษณะนี้ยังหาได้ยากมากในประเทศไทย หรือลูกค้าจะเลือกนั่งที่ Balcony ชมวิวหลังสวนก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าเป็นคอแอลกอฮอล์เชิญไปนั่งที่ บาร์ เลยจ้า
ร้านนี้เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นหลากหลายมาก ใช้ทั้งวัตถุดิบในประเทศ และนำเข้าจากแหล่งที่ดีที่สุดตามฤดูกาล โดดเด่นและชูโรงด้วยซูชิแบบโตเกียว (Edomae Sushi) ระดับ พรีเมียม เนื้อสเต็กที่แทบจะละลายในปาก ตั้งแต่ Japanese Saga A5 ไปจนถึง Australian bone in tomahawk ซึ่งก็คือเนื้อส่วนริบอายแบบติดกระดูกนั่นเอง ซึ่งจะเสิร์ฟมาในภาชนะดินเผาเก๋ๆ จากศิลปินระดับต้นๆของประเทศเราเลย Mr. Rawutr Chaiyaruks จะหรูเลิศอลังการดาวล้านดวงไปไหนเนี่ย ฟินค่ะ! #ร้องไห้หนักมาก
พอนั่งที่ Sushi bar ปุ๊บ คุณปิงก็เดินมาแนะนำตัวทันที และมาพร้อมชาเขียวที่ชื่อว่า “Gyukuro” ซึ่งเป็นชาเขียวญี่ปุ่นระดับสูงที่สุด ต้องปลูกภายใต้การดูแลเป็นพิเศษ ถึงขั้นประคบประหงมเลยทีเดียว โดยที่ใบชาห้ามถูกแดดแรง เค้าจะใช้ฟางคลุมต้นชาถึง 20 วันก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อชะลอการเติบโต ทำให้ใบชาสร้าง คลอโรฟิลล์ จนเป็นสีเขียวเข้ม และออกรส อูมามิ นิยมกินชานี้ก่อนมื้ออาหารหรือหลังกินเสร็จก็ได้ค่ะ
คุณปิงเสิร์ฟมาทั้งหมด 3 คอร์ส โดยใช้ชาเดียวกันนี่แหล่ะ เก๋เน๊าะ!
1 Cold brew แช่ชาทั้งหมด 13 นาที คุณปิงเค้าจับเวลาจีจีนะ 555 จากนั้นก็เทชาจากเหยือกไปที่จอก (เรียกงี้มั้ง หรือถ้วยก็ได้ เอาที่สบายใจเลย ^ ^’) วนเป็นวงกลมจนหยดสุดท้าย ซึ่งมีความเชื่อค่ะว่าจอกที่ได้หยดสุดท้ายไปจะทำให้คนดื่มได้ไปสวรรค์ (ไว้ค่อยไปตามวาระนะ เก๊าไม่รีบ หึหึ) ฟังแบบนี้แล้ว ชิ้งนี่จ้องตาไม่กระพริบ และแล้วก็ได้จอกนั้นไปครองอย่างนิ่มๆ อิอิ คอร์สแรกเย็นสมชื่อไม่ร้อนค่ะ ชากลิ่นหอม และ strong มาก ตรงตามลักษณะที่ดีของชาทั้ง 4 ประการ คือ สี กลิ่น เนื้อชา และชุ่มคอ ปล. ค่อยๆจิบนะจ๊ะ ไม่ใช่อึกเดียวจบ! ต้องค่อยๆเพลิดเพลินยาวๆไป
2 Hot brew ชาปรกติใช้น้ำร้อนที่ 100 องศา แต่ชานี้ใช้น้ำร้อนแค่ 80 องศาค่ะ ไม่งั้นใบชาจะ burn สงสัยไม่ทากันแดดมาตอนเช้า ^ ^’ คอร์สนี้แอบรู้สึกว่ารสจางขึ้น และอุ่นๆตามชื่อ คงเป็นเพราะผ่านการชงมา 1 รอบแร้นไง ซึ่งชอบนะคะ คงเพราะคุ้นกับชาร้อนมากกว่า ชุ่มคอดี
3 กินใบชา เลยค่ะ ซึ่งใส่พอนสึ กับเปลือกส้มญี่ปุ่น “ยูสุ” มาด้วย ใช้ตะเกียบจ้วงขึ้นมากินแบบนี้ แปลกดีนะ เหมือนกินผักต้ม มีรสเปรี้ยวๆนิดๆ กินแล้วรู้สึกรักสุขภาพดีค่ะ
ใครมาแนะนำนะคะ เพราะไม่รู้จะไปหาดื่มได้จากไหนอีกแล้ว ชา Gyukuro หายากมากกกกกกกกก ชิ้งไม่เคยสัมผัสกับรสชาติและกลิ่นชาเขียวแบบนี้มาก่อนเลย ต้องลองค่ะ! ซักครั้ง! ให้ทายว่า Story มาปังซะขนาดนี้ ราคาเท่าไหร่? คอร์สนี้ (400บ.) เท่านั้นค่ะ ก็ได้ลิ้มรสสุดยอดชาเขียวอันดับหนึ่งของโลก! ^___<
ซึ่งนอกจากชาชั้นดีแล้ว คุณปิงยังเสิร์ฟ สาเก เหล้า เบียร์ ไวน์ ค็อกเทล ต่างๆที่ใช้เหล้ากลั่น (spirits) ระดับพรีเมียม รวมถึง housemade Nectar Softdrinks ที่คุณปิงทำขึ้นเองด้วยนะคะ ตอนที่ไป มีคนมาส่งสาเกขวดละ 9,800บาท พอดีเลอ! เสียดายที่ไม่มีบุญได้ดื่มง่ะ T__T
มาดู Nectar Softdrinks ที่คุณปิงเตรียมไว้ให้บ้างเน๊าะ
โดยปรกติไซรัปทั่วๆไปจะใช้ความร้อนเคี่ยวกับน้ำตาลชิมิ แต่การทำแบบนั้นความร้อนมันจะทำลายมิติของกลิ่นและรสชาติออกไปส่วนหนึ่ง วิธีของคุณปิงเลยใช้เทคนิคพิเศษที่เรียกว่า Nectar แทนค่ะอย่างเช่นน้ำพีช คุณปิงจิหั่นลูกพีชเป็นแว่นๆ แล้วเคลือบด้วยน้ำตาล ทิ้งไว้1คืน เพื่อให้น้ำตาลดึงน้ำจากลูกพีชออกมาให้หมด ผสมกับ Artisan โซดา ซึ่งจะซ่าแบบซอฟ์ทๆ ไม่แรงเหมือนโซดาทั่วไปที่เสริมฟอสเฟตเพื่อเพิ่มความซ่าจนหยดสุดท้าย แต่เลวต่อสุขภาพของเรามากอย่างที่รู้ๆกันนั่นแล เริ่มหลงรักผู้ชายที่ชื่อ “ปิง” อ๊ะยาง สุดยอดเน้อ!
วันนั้นได้ชิม น้ำสตรอเบอรี่ กับ พีช ค่ะ สดชื่นฝุดๆ รู้สึกดีต่อกายหยาบมาก ไม่แน่ใจว่าคิดไปเอง หรือฟังคุณปิง build จนอินแล้วเนี่ย! คือรสชาติดีมากอ่ะ ซ่าอ่อนๆแลดูผู้ดี ไม่ฮาร์ตคอเหมือนโซดาทั่วไปจิงๆนะ! กรีสสสสสสสสส
เอาหล่ะ มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย... จะบอกว่าฟินมาก เพราะจะได้กินเมนูใหม่จาก เชฟแรนดี้ โดยที่บางเมนูยังไม่เปิดขายนะจ๊ะ ทั้งตื่นเต้น ทั้งหิวแร้น มาเลยเมนูแรกกับ Salmon Tartare
เชฟบอกว่าเน้นวัตถุดิบที่ Global ค่ะ มีส่วนผสมอย่างหรือ ชิโพเล่ (Chipotle) คือพริกแดงคั่ว อยู่ในตัวแซลม่อนด้วย ให้ความเผ็ดร้อนนิดนุง มีข้าวทอดเม็ดเล็กๆหลายๆสีน่าร้ากกกกก ^ ^ และมีดอกไม้จ๋วยๆดอกเล็กดอกน้อย กินกับขนมปัง เข้าปากปุ๊บยิ้มแฉ่งทันที แซลม่อนสดมากจนหวาน เผ็ดร้อนนิดๆ เนื้อแซลม่อนนุ่มๆเจอกับข้าวทอดกรอบๆเม็ดเล็กๆ มันใช่! เป็นแซลม่อนทาร์ทาที่อร่อยที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยกินมา! สารภาพว่ายิ้มจนเชฟขำเลยมั้ง อายนะ! แต่หุบยิ้มไม่ลงจีจี ^ ^’
เป็นเมนู Starter ที่เยี่ยมมาก รักขนาดต้องเก็บภาพเชฟเป็นที่ระลึก ปราณีต งดงาม พิถีพิถัน แอนด์ใจเย็นที่สุด! เมนูนี้เริ่มขาย กลางเดือนมิ.ย.58 ค่ะ ได้ยินว่าเชฟตั้งใจผลิตเมนูนี้ขึ้นมาในราคาที่เอื้อมกันถึงแหล่ะ อย่าพลาดนะ!
อ้อ! ลืมบอกไป ที่ร้านมีเสิร์ฟเมนู A la carte หรืออาหารจานเดียวทั้งอาหารเที่ยงและดินเนอร์เลยค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมี เซ็ตเมนูพิเศษ (Special Set Menu) ให้บริการทุกวัน (เฉพาะมื้อเที่ยง) และ Omakase หรือ “เชฟจัดให้” เฉพาะมื้อเย็นและต้องจองล่วงหน้า วันที่ชิ้งไปเนี่ยเหมือนไปเทสอาหารนะคะ ไม่ใช่ Omakase จ้า
ต่อมาด้วยเมนูถัดไปค่ะ เป็น Sashimi บ้าง เชฟเลือกเป็น “Shiro ebi ensui Uni” (กุ้งขาวกับ หอยแม่นแบบ Ensui) ซึ่งร้านนี้มี Uni ให้เลือกถึง 4-5 แบบเลยค่ะ ราคาย่อมเยาว์สุดก็ตั้งแต่ Bara ตามมาด้วย Nama, Ensui, Russia และแพงสุดคือ Hadate ประสบการณ์ครั้งแรกกับ Uni ของชิ้งเกิดที่ Tokyo ค่ะ ซึ่งเลวมาก จนญาติของชิ้งเองที่เป็นคนญี่ปุ่นบอกว่า ถ้าเทอว์ไปกินที่ร้านระดับพรีเมียมนะ ยูว์จะหลงรัก วันนั้นไม่เชื่อ! จนมาเข้าใจก็วันนี้! อืมยอมเทอว์!!! Ms. Masami! ญาติเก๊าเอง 555
ที่ประทับใจอีกอย่างของร้านนี้นะคะ คือเชฟจะสอนให้กินอ่ะ คำแรกเชฟแรนดี้บอกให้กินเลยเพื่อรับรสชาติที่แท้จริง ซึ่งกุ้งขาวสดและหวานมากอ๊ะ Uni รสชาติคลีนมาก ได้รสทะเลแบบเป็นเอกลักษณ์ของเค้า ดีงาม!
คำที่สองเชฟบอกให้คน คราวนี้จะได้กลิ่นวาซาบิแร้น ชอบวาซาบิร้านนี้มากอ่ะ คือกินเท่าไหร่ก็ไม่เผ็ดขึ้นจมูก อารมณ์นี้เหมือนตอนที่ไปกินที่ญี่ปุ่นเลย เค้าบอกว่านี่แหล่ะถึงเป็นวาซาบิแท้! ส่วนไอ้ที่กินแล้วปรี๊ดขึ้นจมูกจนน้ำตาเล็ด นั่นวาซาบิปลอม! จบข่าว!
มีวิธีกินอีก1วิธี นั่นก็คือ ห่อกับสาหร่าย แบบนี้
Sashimi ถัดมาคือจานนี้จ้า... “Kinmedai iri sake”
ที่เห็นนี้คือ คินเมไดโทโร่น้ำลึก ซึ่งหายากมากกกกกกกก ความพิเศษของปลาชนิดนี้คือจะมีมันทั้งตัว เชฟจะวางเนื้อปลากับ ดอกซากุระ เวลากินให้จิ้มกับ iri sake ซึ่งก็คือสาเกต้มกับบ๊วยดองค่ะ เชฟเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนมีโชยุเค้าให้จิ้มแบบนี้แหล่ะ วิธีกิน ถ้าจะกินวาซาบิให้แตะวาซาบิที่เนื้อปลาแล้วค่อยจิ้มสาเกค่ะ เนื้อปลานุ่มมากกกกกกกกกกก เค้ามี texture ที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ ติดหนังมานะแต่ไม่เหนียวเลย นุ่มทั้งคำ
ถัดมาเป็น สลัดผักกาดแก้วย่าง (Grilled Lettuce Salad)
ไม่เคยเห็นใครเอาผักกาดแก้วทั้งหัวไปย่างมาก่อน แต่เชฟบอกว่าจะให้รสชาติและกลิ่นที่เปลี่ยนไปเลยนะ จิงด้วย! นอกจาก ผักกาดแก้วย่าง ก็ยังมี เบคอน ที่ทางร้านทำเอง กุ้งเทมปุระ น้ำสลัดเป็น Mentaiko Ranch Dressing เชฟแรนดี้สุดยอดจิงๆ เบคอนโคตรอร่อย กุ้งเทมปุระก็ดี กินกับผักย่างและน้ำสลัดแบบนี้ เข้ากันฝุดๆอ่ะ แต่เมนูนี้ยังไม่ขายน้า เปิดขายกลางเดือนมิ.ย.58 จ้า อยากโดนเมนูนี้อีกจุง ^ ^
มาถึง Sushi บ้างเน๊าะ เชฟเสิร์ฟมา 4 คำ เริ่มจาก...
คำแรก ซูชิปลากะพงค่ะ (Tennen Tai Nigiri) เชฟรมควัหนังปลาด้วยฟาง แล้ววางเนื้อไว้บนสาหร่ายคอมบุเพื่อเพิ่มรสชาติ
คำต่อมา...
Chutoro nigiri (ซูชิหน้าปลาทูน่าที่มีมันขนาดกลาง) เชฟมายืนปั้นซูชิเองทุกคำ แล้วใช้พู่กันจุ่มโชยุทาให้ด้วย คือจะมีจานใบนุงวางตรงหน้าเรา พอเสิร์ฟคำนึงแล้ว จะมีพนักงานอีกคนคอยเช็ดจานให้ ก่อนที่เสิร์ฟคำต่อไป
คำที่ 3...
งั่ม! ในเมื่อเค้ามีกระดาษเปียกให้เช็ดมือ ใช้มือหยิบเข้าปากเลยแล้วกัน แปลงร่างเป็นคนญี่ปุ่นแพ๊บ! อิอิ คำนี้คือ ซูชิหน้าปลาอินาดะ ซึ่งเป็นลูกปลาบุริ หรือปลาบุริเบบี๋นั่นเอง นุ่มมาก เนื้อปลาสดๆอร่อยกันขนาดนี้ ถ้าเป็นปลาด้วยกัน คงว่ายน้ำไปกัดแล้วอ่ะ 555
ตบท้ายเมนูซูชิด้วยคำนี้ค่ะ Bara Uni
นั่งเขียนอยู่นี่ ยังคงคิดถึงคำนี้อยู่เลอ นี่ขนาดเป็น Bara Uni นะ ซึ่งเป็น Uni ราคาเบาสุดนะ (480-) คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเจอ Hadate Uni เข้าไปจะเป็นไงน้อ? มีสิทธิ์นิสัยเสียและใจแตกสูงมากค่ะ! งี้ยังไม่ขอลองดีกว่า เพราะกินเวลนี้ก็แฮ็ปปี้ดี๊ด๊าแล้วไง ขอเก็บความรู้สึกเวอร์จิ้นแบบนี้ไปอีกซักระยะ 555
มาถึงจานสุดอลังในความรู้สึกค่ะ กับ “Unagi Don” หรือข้าวหน้าปลาไหลย่างสไตล์นาโกย่า ซึ่งจะธรรมดาไม่ได้นะ วันนี้เชฟเสิร์ฟมา 3 แบบเลยฮะ!
แบบแรก โหมโรงด้วยการกินปลาไหลย่าง ซึ่งเชฟนำปลาไหลสดมาย่างเองน้า ย่างกับ ซอสหวาน (คาบายากิ ทาเร่ะ) กินกับข้าวในชาม ซึ่งเป็นข้าวตัง ขอบๆข้างถ้วยนี่จะกรอบๆค่ะ
กินแบบแรกก็ฟินแร้นค่ะ ไหนๆกินแบบไหนได้อีกบ้าง?
แบบที่ 2 คือกินกับเครื่องเคียงที่ให้มาค่ะ ก็จะมี ข้าวทอดเม็ดเล็กๆสารพัดสี ต้นหอมซอย วาซาบิ และ ใบชิโสะซอยค่ะ
กินแบบแรกเค้าว่าอร่อยมากแล้วนะ! แต่เก๊าว่ากินแบบที่ 2 มันเลิศขึ้นไปอีกอ่ะ คือมันกรึบๆจากข้าวทอด มีกลิ่นวาซาบิ กลิ่นใบชิโสะกับต้นหอม สรุปว่าเครื่องเคียงมาช่วยเสริมได้จิงๆ!
วิธีกินแบบที่ 3 ก็คือเติมชาเข้าไปด้วยเหมือนเป็นข้าวต้ม สามารถใส่เครื่องเคียงได้ตามใจชอบค่ะ
กินแบบที่3เค้าไม่ชิน ชอบกินแบบ2มากสุด! เจ๋งดีเน๊าะ เมนูเดียวกัน แต่กินได้ 3 แบบ แทนที่จะสัมผัสความรู้สึกเดียว เลยได้มา 3 อารมณ์เต็มๆ ^ ^ เมนูนี้ชุ้งชิ้งขอแนะนำจากหัวใจค่ะ...
ยังไม่หมดนะคะ ต่อๆดีก่า
เปล่าๆ! เค้าไม่ได้จิแทะจานกินน้า แต่เค้าแชะภาพมาให้ดูว่าร้านนี้เค้าให้ความสำคัญกับภาชนะดินเผามาก แต่ละเมนูจะใส่จานมาไม่เหมือนกันเลย และจานกับช้อนเซ็ตนี้ก็เพื่อเมนูนี้ค่ะ... Pot Pie!
ด้านนอกเป็น Pie แต่ด้านในเป็น แกงกะหรี่ญี่ปุ่นที่ใช้โคนลิ้นวัว คร่า แกงกะหรี่รสชาติเจ้มจ้นมาก เนื้อนุ่มแบบไม่ต้องเคี้ยวก็ได้อ่ะ แป้ง pie ไม่หนัก มันเข้ากันฝุดๆ แถม presentation ก็เฟี้ยวมาก เมนูนี้นะ ถ้าได้กินตอนอากาศหนาวๆ มันคือใช่! วันนั้นไปกินกัน 3 คน แถมเป็นผู้หญิงคนเดียว แต่คาดว่ากินเมนูนี้ไปครึ่งนึงชิวๆนะก๊ะ ^ ^’
จิงๆควรจะไปที่ขนมหวานแร้น แต่ด้วยรีเควสของพวกเราทั้ง3คน เชฟ Randy เลยจัดเมนูพิเศษให้อีก 1 เมนูค่ะ
ที่เห็นคือ ปลาทูน่า ส่วน Akami (ส่วนเนื้อแดง หรือส่วนที่แทบไม่มีไขมันเลย) ที่ผ่านการ aged มาค่ะ เค้าบ่มหรือ aged เพื่อปล่อยให้เอนไซม์ทำงาน ทำให้เนื้อปลารสชาติเข้มข้นขึ้น อร่อยขึ้น แถมเนื้อจะนุ่มเป็นพิเศษ ข้อเสียคือเชฟต้องแล่เอาเนื้อบางส่วนทิ้งไปค่ะ เป็นเหตุให้ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นสิเค๊อะ
จากนั้นเชฟจะนำปลาไปแช่ในโชยุ
พอได้ที่ เชฟก็จะบรรจงคีบปลาทีละชิ้นออกมาวางบนทิชชู่ เพื่อซับโชยุส่วนเกินออก
และเชฟจะค่อยๆบั้งชิ้นปลาละเอียดยิบเบย
ต่อมาด้วย หัวไช้เท้าดองซอย เชฟค่อยๆซอย คือใจเย็นมากค่ะ สุดท้ายจะโป่ะหัวไช้เท้าไปที่ปลา
งดงาม! คุณค่าที่เราคู่ควรจิงๆ ปลานุ่มมากอ่ะ เดาว่าที่ต้องมีหัวไช้เท้าเพื่อช่วยเบรคความเค็มของโชยุ ดูจิ ละเอียดทุกอณูจีจี น้ำตาจิไหล!
สุดท้ายแล้วค่ะกับเมนูขนมหวานปิดท้าย Yuzu Tart and Sea Salt Ice-cream (ทาร์ตส้มญี่ปุ่นยูสุ กับไอศกรีม) พยายามแปลมาก 555
คำนี้มีหลากหลายรสชาติมารวมกันค่ะ Sea Salt ice-cream สมชื่อ! มาเจอ ข้าวโพดคั่วหวานๆ คาราเมลนิดๆ อร่อยมากค่ะ
Tiramisu Mochi จากร้าน Chikalicious เป็นโมจิที่นุ่มมาก กินกับโอริโอ้สีดำๆที่เสิร์ฟมาด้วยแล้ว คนข้างๆที่เป็นผู้ชายนี่กรีดร้องออกมาเลยค่ะ 555
มาชมบรรยากาศร้าน และช็อตประทับใจที่เก็บมาได้ในวันนั้นอีกซักหน่อยนะคะ
ความรู้สึกของชิ้ง ชิ้งว่าคนที่มาร้านนี้ ไม่ได้มา...เพื่อกินให้อิ่ม หรือแค่อยากอร่อย เท่านั้นเพราะมัน Beyond platinum ไปแล้วจิงๆ! แต่ทุกคนตั้งใจมาเพื่อ เสพงานศิลปะ! เรียนรู้วัฒนธรรม! สัมผัสรสนิยม! และ ชื่นชมพรสวรรค์ ! ของผู้ชายที่ชื่อ Randy! กับ คุณปิง! ค่ะ ซึ่งชิ้งมั่นใจเหลือเกินว่าทั้งคู่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆออกมาให้โลกใบนี้ได้เรื่อยๆ และทำให้เรา Stunning! ได้ทุกครั้งที่ไปเยือน...