ดับร้อน! ด้วยไอศกรีมเจลาโต้แบบแท่งคุณภาพพรีเมี่ยมที่ “Stickhouse”
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้อากาศอบอ้าวสุดๆ เดินออกนอกบ้านทีเหงื่อไหลเป็นทางพาลให้คิดอยากทานไอศกรีมเย็นๆ ให้ชื่นใจ
วันนี้เลยจะพาไปชิมเจลาโต้เนื้อแน่นสุดอร่อยสูตรอิตาเลียนที่มาในรูปแบบของไอศกรีมแท่งกัน พร้อมแล้ว ตามมาชิมกันเลยค่า
Stickhouse นั้นเป็นแบรนด์ดังจากอิตาลีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนได้ขยายสาขาไปกว่าสิบประเทศทั่วโลกและมีสาขารวมๆ ร่วมร้อยสาขากันเลยทีเดียว
สำหรับประเทศไทยนั้น ตอนนี้ก็มีเปิดให้บริการแล้วถึงสี่สาขาด้วยกันคือ ที่ สยามพารากอน Terminal 21 ท่ามหาราช และ ล่าสุดที่ Emquartier
สำหรับครั้งนี้ ทีมงานไปชิมที่สาขาพารากอนกันมาค่ะ
ความพิเศษของ Stickhouse ที่ทำให้หลายคนต้องติดอกติดใจนั้นอยู่ที่กระบวนการทำไอศกรีมที่พิถีพิถัน ตัวเครื่องที่ใช้นั้นมีต้นแบบลิขสิทธิ์ของ Stickhouse อิตาลีที่สามารถทำเจลาโต้แท่งได้โดยไม่มีอากาศอยู่เลยทำให้ได้รสชาติเข้มข้น การทำนั้นใช้เวลานานถึง 50 นาทีต่อไอศกรีม 24 แท่ง แถมถ้าทำเป็นหลายๆ ชั้นหลายๆ สีในแท่งเดียวแล้วด้วยนั้น แต่ละชั้นต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นถึงชั้นละ 10 นาที
นอกจากจะใช้วัตถุดิบชั้นเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นตัวผลไม้และท็อปปิ้งต่างๆ ที่มาจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่เจือสีหรือสารสังเคราะห์ ไอศกรีมที่นี่ยังทำสดใหม่วันต่อวันเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้ชิมไอศกรีมคุณภาพเยี่ยมเหมือนกันทุกวันโดยไม่ต้องเจอกับสารถนอมอาหารใดๆ
เมื่อเข้ามาถึงเราก็ถูกใจทันทีกับร้านที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใส และไอศกรีมแท่งที่มีให้เลือกมากมายหลายรสสุดละลานตา ทั้ง Matcha Green Tea, Raspberry, Watermelon Kiwi, Strawberry Mango, Coconut, Banana, Giandula, Almond, Mint และอีกมากมาย
ไม่เพียงแต่รสไอศกรีมเท่านั้น แต่ยังมีทั้ง Dip ทั้ง Topping ให้เลือกอีกหลากหลายแบบจนตัดสินใจแทบไม่ถูก
สนนราคาของไอศกรีมแท่งนั้นขึ้นอยู่กับชนิดที่เลือกอันมีทั้งแบบ Classic (89B) Premium (109B) และ Special (129B)
จากนั้นแฟนๆ ช็อกโกแลตก็จะต้องตัดสินใจว่าจะเอา Milk/White/Dark Chocolate โดยตัวช็อกโกแลตคุณภาพเยี่ยมนี้ส่งตรงมาจากอิตาลี ซึ่งเมื่อเลือกแล้วจึงจะสั่งว่าจะชุบแบบ Art (15B) คือราดเป็นเส้นๆ สวยงาม หรือจะจุ่มครึ่งแท่ง Half (15B) หรือจะจัดเต็มแท่งไปเลย Full (25B)
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เรายังสามารถเลือกได้อีกว่าจะเอา Topping พวกถั่วหรือ sprinkles ต่างๆ ครึ่งหนึ่ง (15B) หรือเต็มแท่ง (25B) ซึ่งถ้าเลือกเป็นหน้าถั่วพิสตาชิโอนั้นราคาจะเพิ่มเป็น 25B กับ 35B
สำหรับวันนี้เราเลือกชิมรส Thai Tea ที่เข้มข้นถึงรสชาไทย
รส Strawberry Crumble ที่มีแป้งพายกรอบๆ อยู่ภายในให้รสสัมผัสตัดกันกับเนื้อแน่นๆ ของไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ที่รสออกครีมๆ นวลๆ
เราสั่งเป็น Chocolate Dip แล้วตบถั่วเพิ่มค่ะ
รส Tiramisu ที่หอมกาแฟอ่อนๆ รสออกนมๆ กำลังดี เคลือบมาด้วยช็อกโกแลตสามแบบสามสไตล์
รส Trio nuts (Pistachio, Hazelnuts, Almonds) ที่รสถั่วเน้นๆ หอมมัน
ส่วนถ้าใครเป็นแฟนถั่วพิสตาชิโอแนะนำให้สั่งเป็นรส Pistachio อย่างเดียวทั้งแท่งเลยค่ะเพราะเข้มข้นได้รสถั่วพิสตาชิโอไปเต็มๆ
อันนี้ทั้ง Dip Chocolate และตบถั่วพิสตาชิโอเพิ่มเข้าไปอีกให้หนำใจ
ที่ติดใจเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นรสตามฤดูกาลที่ช่วงนี้ทางร้านทำรสข้าวเหนียวทุเรียนออกมาขาย
รสนี้สำหรับคนรักทุกเรียนจริงๆ เพราะกลิ่นทุเรียนแรงได้ใจมาก แถมมีข้าวเหนียวหอมกะทิมาให้เคี้ยวไปเพลินๆ
นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูขนมน่าทานอีกมากมายมาล่อตาล่อใจ
ไม่ว่าจะเป็น Red Velvet (210B) ที่เป็นเค้ก red velvet เนื้อแน่น โปะครีมชีส สอดไส้ด้วยเจลาโตรสนม ราดซอสวนิลา ทานคู่กับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ชนิดต่างๆ
รสผลไม้หวานอมเปรี้ยวตัดกันกับรสนมของตัวไอศกรีมและตัวซอสวนิลาอย่างเหมาะเจาะ
อีกทั้งยังมีเมนูเด็ดคือ Pizzaria (1p – 150B, 2p – 280B, 5p – 650B) ที่เป็นไอศกรีมนม ราดด้วย strawberry sauce เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟัน และ white chocolate sauce หวานๆ เพิ่มความสดชื่นขึ้นอีกด้วยรสเปรี้ยวของสับปะรดฝานบาง และ รสหวานอมเปรี้ยวของบลูเบอร์รี่สด
สองเมนูนี้แต่งจานมาเสียสดสวยแถมอร่อยได้ใจเราไปเต็มๆ
ปิดท้ายมหกรรมการทานไอศกรีมชุดใหญ่ด้วย Mocktail สีสันจัดจ้านที่ทานร้านคิดรังสรรค์เมนูและเพิ่งเปิดตัวให้ได้ลองชิมดับร้อนรับซัมเมอร์
ทั้งเมนู Sparkling Blue Ocean (165B)
เครื่องดื่มสีฟ้าแจ๋วรสอมเปรี้ยวเสิร์ฟคู่มากับไอศกรีมรสเชอร์เบทส้ม
และ Very Berry (165B) น้ำสตรอเบอร์รี่เสิร์ฟมากับไอศกรีมรส Raspberry ที่เปรี้ยวถึงใจ
ทั้งนี้คุณสามารถเลือกเปลี่ยนรสของไอศกรีมในเมนูเครื่องดื่มเหล่านี้ได้ตามชอบใจ
โดยรวมแล้วถึงราคาจะค่อนข้างแพงอยู่สักหน่อยแต่ร้าน Stickhouse ก็เสิร์ฟไอศกรีมเจลาโต้คุณภาพเยี่ยมที่สีสันสดสวย ไอเดียเก๋ไก๋เปี่ยมไปด้วยลูกเล่น และคุณภาพสูงสมราคา จึงเป็นอีกร้านหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้คุณๆได้มาลิ้มลองให้คลายร้อนกันค่ะ
ติดตามชมอาหารเมนูเด็ดและสถานที่ท่องเที่ยวแปลกตาจากประสบการณ์ของผู้เขียนได้ที่ IG : FoodiesJournie
ส่วนผลงานบทความรีวิวอาหารและท่องเที่ยวสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.mevblog.com
หรือติดตามได้ที่เพจ www.facebook.com/mevblog และ IG, Twitter & Pinterest : “MEVBLOG” นะคะ