"The Great Kabab Factory" Chandon Culinary Workshop: เมื่อ Sparkling Wine ได้พบรักกับขนมหวานสูตรอินเดีย
สวัสดีค่ะทุกๆคน
วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปชมบรรยากาศงานเวิร์คชอปทำอาหารด้วยสปาร์กลิ่งไวน์จาก Chandon ที่ The Great Kabab Factory ร้านอาหารอินเดียที่ตั้งอยู่ในโรงแรม Majestic Grande กันค่ะ
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ พูดถึงอาหารอินเดียแล้วไหงเป็นเวิร์คชอปของ Sparkling Wine แต่คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะร้าน The Great Kabab Factory จับมือกับ Chandon ไวน์รสเยี่ยมจากออสเตรเลียจัดงานนี้ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า Sparkling Wine นั้นสามารถนำมาผสมผสานกับเมนูขนมหวานของอินเดียจนออกมาเป็นขนมสุดอร่อยกลิ่นหอมหวานได้เป็นอย่างดี
โต๊ะที่เชฟจะใช้สาธิตการทำขนมก็มีวัตถุดิบมากมายวางอยู่
นอกจะตกแต่งสวยงามด้วยของหวานสีสวยในแก้วทรงสูงแล้วก็ยังจะต้องมี Sparkling Wine จาก Chandon พระเอกของงานวางโชว์อยู่ด้วย
งานนี้คุณแดน บัคเคิ้ล Senior Wine Master ของ Chandon ถึงขั้นบินจากออสเตรเลียมาเข้าร่วมด้วยตนเอง
และยังได้เชฟมาเฮช ทาปา มาลงมือทำขนมสูตรพิเศษนี้ให้ชมอีกด้วย
ขนมอินเดียที่เราจะได้ทำกันในวันนี้คือ “Chandon Rose Jalebi” ค่ะ
ซึ่งขนมชนิดนี้มีลักษณะหลักๆ เป็นแป้งทอดซึ่งเมื่อทอดเสร็จแล้วก็จะนำมาแช่ในน้ำเชื่อมสูตรพิเศษเพื่อให้ซึบซับกลิ่นละรสของน้ำเชื่อมเข้าไปค่ะ
สำหรับสูตรของ The Great Kabab Factory นั้น ตัวแป้งจะผสม chick pea flour และ dal paste ที่ทำจาก lenti เข้าไปในแป้งก่อนที่จะตีกับน้ำจนเข้ากันและได้ความหนืดที่พอดิบพอดี
จากนั้นจึงนำไปใส่ในถุงผ้าก่อนที่จะพับเป็นกรวยเพื่อบีบแป้งให้ออกมาเป็นเส้นได้
ขั้นตอนต่อไปคือการบีบตัวแป้งผสมใส่ลงไปทอดในน้ำมันร้อนๆ โดยสามารถทำรูปร่างของแป้งได้ตามต้องการ
จากนั้นจึงนำแป้งทอดมาชุบไซรัป
แน่นอนว่าพระเอกของงานคือ Chandon Sparkling Wine ก็จะได้โชว์ตัวเป็นส่วนผสมของตัวไซรัปนี้เองล่ะค่ะ
ในไซรัปนี้นอกจากจะเคี่ยวน้ำตาลผสมกับ Chandon Sparkling Wine แล้วก็จะมีการเติม saffron ลงไปอีกด้วยอันจะเพิ่มทั้งสีสันและกลิ่นหอมให้กับขนมหวานจานนี้
และหลังจากชมการสาธิตแล้วทางร้านก็เปิดโอกาสให้เราลองฝึกฝีมือทำขนมกันเองคนละชุดด้วยค่ะ
จบจากการทำขนมกันอย่างสนุกสนานแล้วเรายังได้ชิมอาหารอินเดียสุดอร่อยหลากหลายเมนูกันอีกด้วย
เริ่มตั้งแต่ จานเรียกน้ำย่อย Golguppa ที่เป็นขนมปังทอดแบบที่ข้างในกลวง (puri) ยัดไส้มันฝรั่ง หัวหอม มะเขือเทศ และ chickpea ตัวขนมปังทอดกรุบกรอบเสิร์ฟมาพร้อมซอสเย็นๆที่ให้กระดกตามในแก้วช็อต
ต่อมาด้วยสลัดซึ่งประกอบด้วยผักกาดแก้ว มะเขือเทศ แตงกวา และแตงโม ทานแล้วสดชื่นสุดๆ
ตามติดมาด้วย Chaat Papdi ที่เป็นแป้งทอดกรอบๆ มาคู่กับซอสหลายชนิด ทั้งซอสโยเกิร์ต มินท์ มะขาม โรยด้วยหัวหอมสับ และ chaat Masala
จากนั้นจึงเป็นเมนู Galouti Kabab ที่ทำจากเนื้อแกะสับละเอียดห่อด้วยแป้งข้าวโพด
Masala Papad ที่เป็น Papadum หรือแป้งอินเดียแผ่นบาง ทานกับ หัวหอม มะเขือเทศ และพริกเขียว สับ ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย
Murgh ke Parchey ไก่ไม่มีกระดูกที่หมักมาจนนุ่ม ปรุงรสด้วยเครื่องเทศจนเข้มข้นถึงใจ
Ajwaini Machhi เมนูปลาทอดก็เป็นอีกจานที่เราชอบเพราะกรอบนอกนุ่มในปรุงมาได้รสชาติดีเช่นเคย
Gosht Ki Seekh ก็เป็นอีกเมนูที่ต้องลองชิมเพราะเป็นเนื้อแกะปั้นเป็นแท่งกลมเสียบไม้ย่าง รสชาติดีไม่มีกลิ่นสาบแต่อย่างใด
ขนมปังอินเดียหรือ Naan ของที่นี่ทำมาแบบด้านนอกกรอบเล็กๆ ให้รสสัมผัสที่ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
โดยเฉพาะเวลาทานเคียงกับแกงชนิดต่างๆ เช่น Butter Chicken ซุปที่เคี่ยวกับมะเขือเทศและครีมข้ามคืนจนได้เป็นแกงที่รสชาติกลมกล่อม
ปิดท้ายด้วย Murgh Biryani ข้าวหมกไก่ก็กลิ่นหอมเครื่องเทศอบอวลที่สังเกตได้ชัดเลยว่าใช้ข้าวบาสมาติของอินเดียซึ่งเม็ดเรียวยาวแตกต่างจากข้าวไทย
รสชาติอาหารอินเดียของร้านนี้ถูกปากและทานง่าย ไม่มีอะไรที่กลิ่นฉุนไม่คุ้นชินอย่างที่นึกกลัว หลายๆ จานค่อนข้างเผ็ด แต่ก็จัดจ้านแบบที่ต้องยอมเผ็ดเพราะยิ่งกินยิ่งติดใจจนหยุดไม่ได้ เรียกว่าเชฟมีพรสววรค์ในการปรับสมดุลเครื่องเทศเครื่องปรุงทุกอย่างจนได้รสชาติที่สุดแสนจะลงตัว ด้วยความอิ่มเราจึงไม่ได้ชิมของหวานแต่หลายๆ เสียงที่ได้ยินมาต่างยืนยันว่าของหวานของที่นี่อร่อยมากทีเดียว
ทางทีมงานก็ต้องขอบคุณทางร้าน The Great Kabab Factory ที่เชิญเราไปเข้าร่วมกิจกรรมดีๆ แบบนี้ ทำให้ได้รับความรู้เรื่องไวน์ เรื่องขนมหวาน เรื่องอาหารอินเดีย และได้ฟังประวัติอันน่าสนใจของร้าน The Great Kabab Factory ที่เป็นเครือข่ายร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดียอันการันตีความอร่อยและรสชาติต้นตำรับจากทั่วทุกอนุทวีปของอินเดียด้วยรางวันต่างๆ มากมาย
จากการที่ได้ไปชิมหลากหลายเมนูขึ้นชื่อของทางร้านเราก็ช่วยยืนยันได้อีกเสียงว่าอาหารอินเดียของที่นี่รสชาติเข้มข้นสมกับเป็นสูตรต้นตำรับแท้ๆ
ใครที่สนใจไปชิมบ้างทางร้านมี Weekend Brunch Menu ที่เป็นเซ็ทสามคอร์ส ราคา 800B net สำหรับเมนูปกติและ 700B net สำหรับเมนูมังสะวิรัตให้คุณได้ลิ้มลองกันด้วยค่ะ
ส่วนถ้าสนใจเป็นมื้อค่ำก็จะมีให้เลือกถึงสองแบบคือ "A Royal Feast" ที่ให้คุณได้ลองคะบับกว่าหกชนิด อาหารจานหลัก และ ขนมหวาน ในราคา 1,300B net สำหรับเมนูปกติ และ 1,200B net สำหรับเมนูมังสะวิรัต
กับ "A Regal Culinary Journey" ซึ่งคุณสามารถลิ้มลองเคบับแบบต่างๆ ถึงสี่ชนิดพร้อมขนมปังและของหวานรวมในเซ็ท ในราคา 950B net สำหรับเมนูปกติ และ 850B net สำหรับเมนูมังสะวิรัต ซึ่งทั้งสองเซ็ทเมนูนี้คุณสามารถเลือกเติมได้อีกเรื่อยๆ ไม่อั้นเรียกว่าได้ทานกันอย่างจุใจแน่นอน ช่างเหมาะสำหรับใครที่อยากเปิดประสบการณ์ทำความรู้จักกับอาหารอินเดียหรือกับผู้ที่ชื่นชอบอาหารอินเดียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจริงๆ ค่ะ
ติดตามชมอาหารเมนูเด็ดและสถานที่ท่องเที่ยวแปลกตาจากประสบการณ์ของผู้เขียนได้ที่ IG : FoodiesJournie
ผลงานรีวิวอาหารและท่องเที่ยวสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.mevblog.com
หรือติดตามได้ที่เพจ www.facebook.com/mevblog
และ IG, Twitter & Pinterest : “MEVBLOG” นะคะ