ตะลุยแดนมัมมี่ I ชมพีระมิดเมือง Dashur - Saqqara ตื่นตากับพิพิธภัณฑ์เมือง Memphis
ใครที่เคยได้อ่านเกี่ยวกับตำนานมัมมี่พันปีบ้าง คำสาปฟาโรห์บ้าง ก็คงนึกอยากจะได้มีโอกาสได้ไปชมอารยธรรมของอิยิปต์ด้วยตาตนเองสักครั้งหนึ่ง
ด้วยความที่อินกับตำนานและเทพปรณัมของอิยิปต์ รวมถึงอารยธรรมและสถาปัตยกรรมอันลือลั่นของแดนไอยคุปต์มาตั้งแต่เด็กๆ อิยิปต์จึงเป็นหนึ่งในประเทศในฝันที่ตั้งใจมาตลอดว่าจะต้องไปเหยียบให้ได้สักครั้งในชีวิต
จนในที่สุดฤกษ์งามยามดีก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวตามที่หวังไว้ และได้บันทึกประสบการณ์ประทับใจผ่านตัวหนังสือออกมามากมาย วันนี้เลยหยิบยกเรื่องราวต่างๆ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
ทริปนี้เป็นทริปที่อาศัยความอึดสูงพอสมควรค่ะ ด้วยความมั่น เราจึงไม่ได้จองเป็นแพ็คเกจทัวร์แต่ใช้วิธีทำการบ้านมาอย่างดีแล้วเลือกสถานที่ที่อยากไปกันเอง จัดไปจัดมาแผนก็ออกมาแน่นเอี๊ยด เรียกว่าใช้เวลากันอย่างคุ้มค่าสุดๆ
เริิ่มจากวันแรกบินมาถึงไคโรตอนตีห้า เช้ามายังไม่ทันแปดโมงเราก็ต้องออกเดินทางกันทันที
ด้วยความที่ออกกันแต่รุ่งสางเลยมีโอกาสได้ยลโฉมเมืองไคโรใต้ ม่านหมอกยามเช้า
เราจอง local guide ของแต่ละเมืองไว้ค่ะโดยติดต่อล่วงหน้าผ่านเน็ต พอมาถึงไคโรก็มีไกด์พร้อมรถตู้ส่วนตัวมารับพวกเราที่โรงแรมเพื่อออกตะลุยแดนมัมมี่กัน
คุณไกด์ท่าทางขาโจ๋วัยสะรุ่นถูกใจพวกเรามาก ถาษาอังกฤษของไกด์ถึงจะรัวตัว ”R” โหดไปหน่อยตามสไตล์อาหรับแต่ก็ฟังไม่ยากเกินไป
ระหว่างทางพี่ไกด์ก็เล่านู่นเล่านี่ไม่หยุดหย่อน เริ่มตั้งแต่โชว์พาวโดยการพ่นตัวเลขออกมาเป็นชุดๆ
กล่าวคือประชากรอิยิปต์มี 80 ล้านคน เมืองหลวงอย่างไคโรมีประชากรเกิน 12 ล้านไปแล้ว เป็นเมืองที่หนาแน่นมากๆ
รถในไคโรมีถึง 2 ล้านคัน จึงไม่แปลกเลยที่การจราจรจะติดขัดอย่างที่เห็น
ส่วนด้านศาสนานั้น 90% ของประชากรเป็นมุสลิม อีก 10% เป็นคริสเตียน ในประเทศอิยิปต์ มี Mosque หรือสุเหร่าอยู่ถึงหนึ่งแสนแห่ง ในไคโรที่เดียวก็หมื่นเจ็ดเข้าไปแล้ว คงคล้ายๆ กับบ้านเราที่มีวัดอยู่มากมาย
อย่างที่ทราบกันดีประเทศอิยิปต์มีแม่น้ำไนล์ซึ่งมีความยาวถึง 6,725 ก.ม. เป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยง และเนื่องด้วยแม่น้ำไนล์ไหลจากทางใต้ ขึ้นเหนือไปลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางใต้จึงถูกเรียกว่าอิยิปต์บน หรือ Upper Egypt ในขณะที่ทางเหนือเรียกว่าอิยิปต์ล่างหรือ Lower Egypt
เรียกว่าฟังแป๊บเดียวความรู้มาเต็มยิ่งกว่าตอนฟังเลคเชอร์ในห้องเรียนเสียอีก
เริ่มออกนอกเมืองสองข้างทางก็เริ่มเป็นทุ่งหญ้า มีต้นอินทผลัมเรียงราย มีลามีม้าเดินผ่านไปมา บรรทุกของบ้างบรรทุกคนบ้าง ให้บรรยากาศวิถีชีวิตของชาวเมืองในชนบทเป็นอย่างดี
สำหรับวันนี้เรามุ่งหน้าไปที่ Dashur เป็นเมืองแรกเพื่อไปชม Bent Pyramid และ Red Pyramid อันเลื่องชื่อ
Bent Pyramid สร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์ Snofru (สนอฟรู) ในช่วงราว 2500 ปีก่อนคริสตกาล
เนื่องจากเป็นพีระมิดแห่งแรกที่สร้าง การออกแบบอาจไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง จึงเห็นการเปลี่ยนแปลงกลางคันคือ ส่วนฐานที่สร้างไปได้ครึ่งหนึ่ง คงเห็นว่าถ้าสร้างต่อด้วยมุม 50 องศาคงสูงลิบ จึงแก้เป็น 25 องศา ทำให้พีระมิดที่ออกมาดูโค้ง ฟาโรห์สนอฟรูไม่พอพระทัยจึงให้สร้างพีระมิดใหม่อีกอันคือ Red pyramid เพื่อใช้บรรจุมัมมี่ของพระองค์
ไกด์แนะนำให้พวกเราเข้าชมด้านในของ Red pyramid นี้เพราะเข้าฟรีไม่เหมือนที่กิซ่าที่เปิดให้เข้าข้างในได้เหมือนกันแต่คิวยาวและต้องเสียเงิน
ไกด์บอกว่าข้างในพีระมิดก็เหมือนๆ กันทั้งนั้นแหละ เข้าของฟรีไปเถอะ (คุณไกด์ช่างคิดจริงๆ ไม่รู้อยากช่วยเราประหยัดหรือขี้เกียจ ต่อคิวกันแน่ อิอิ)
ในพีระมิดนี้ มี burial chamber หรือห้องเก็บพระศพขององค์ฟาโรห์อยู่สูงขึ้นไปถึง 100 เมตร อันนี้เรามีโอกาสได้เข้าไปดูข้างในด้วย
บันไดปีนลงชันและยาวมาก กว่าจะไปถึงนี่เล่นเอาขาสั่นกันเลยทีเดียว ห้องต่างๆ มีเพดานเป็นแบบ vaulted ceiling เดิมมีบันไดเวียนขึ้นไปสู่ burial chamber (ตอนนี้มีทำนั่งร้าน ทำบันไดไว้ให้เดิน) burial chamber เป็นห้องแคบๆ เข้าไปแล้วบรรยากาศอับๆ เย็นๆ หลอนใช้ได้ทีเดียวเมื่อนึกถึงว่าเคย มีมัมมี่และสมบัติล้ำค่ามากมายถูกฝังปิดตายอยู่ในนี้นับพันปี บรึ๋ยยยส์
ต่อจาก Dashur เราก็แวะไปเมือง Memphis (เมมฟิส) เมืองหลวงของอาณาจักรอิยิปต์ยุค เก่าตั้งแต่ราว 2800 ปีก่อนคริสตกาล
จุดท่องเที่ยวที่นิยมของเมืองเมมฟิสก็คือการมาชมพิพิธภัณฑ์ของฟาโรห์ Ramses II (รามซิสที่สอง)
มาเที่ยวอิยิปต์นี่ใครเป็นนักเรียนอย่าลืมพกบัตรนักเรียนมาด้วยนะคะเพราะจะได้ลดราคาค่าเข้าชมโบราณสถานเหล่านี้ถึงครึ่งหนึ่งทีเดียวเชียว
ฟาโรห์รามซิสที่สองนี่คงคุ้นชื่อกันอยู่บ้างเพราะทรงเป็นฟาโรห์ที่เก่งกาจที่สุดของอิยิปต์เลยก็ว่าได้
พระองค์ทรงครองราชย์นานถึง 80 ปี โดยระหว่างนั้นทรงสร้างวิหารไว้ถึง 7 วิหาร รูปปั้นราว 100 รูป ทรงมีมเหสี 44 คน คนสุดท้ายตอนอายุ 80 เชียวนะ อิอิ
พระองค์มีลูกชายร่วมร้อยและลูกสาวอีกสักครึ่งร้อย นอกจากนี้ยังเป็นคนลงนามในสัญญาสันติภาพเป็นฉบับแรกอีกด้วยหลังจากรบพุ่งกับชาว Hittites (ฮิตไทต์)
พิพิธภัณฑ์ที่เมืองเมมฟิสมีรูปปั้นฟาโรห์ รามซิสที่สองอยู่มากมายรวมถึงแผ่นหินสลักเรื่องราวต่างๆของท่าน
ที่โด่งดังเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นรูปปั้นใหญ่โตมโหฬารสูงถึง 14 เมตร
ไกด์ชี้ให้ดูสัญลักษณ์แสดงพระนามของฟาโรห์ที่เรียกว่า Cartouche (คาร์ทุช)
เวลาสร้างวิหารหรือรูปสลักจะเห็นคาร์ทุชเต็มไปหมดเพราะเป็นการประกาศพระนามฟาโรห์ เพื่อป้องกันบางส่วนบุบสลายไปตามเวลา หรือมีคนมาลบชื่อแอบอ้างความดีความชอบก็เลยต้องสลักเยอะๆ ส่วนสาเหตุที่คาร์ทุชมีเส้นล้อมรอบมาจากความเชื่อที่ว่าวงรีเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์นั่นเอง ลึกซึ้งจริงๆ
นอกจากรูปปั้นยักษ์ที่โด่งดังแล้ว ที่นี่ก็ยังมี Sphinx (สฟิงซ์) ของ Hatshepsut (ฮัทเชปชัท) ฟาโรห์หญิงที่โด่งดัง หน้าตาที่เป็นมนุษย์นั้นสื่อถึงความเฉลียวฉลาด ส่วนกายที่เป็นสิงโตนั้นบ่งบอกถึงพลัง
ถัดมาเราเดินทางไปเมือง Saqqara เพื่อชม step pyramid หรือพีระมิดขั้นบันไดกันค่ะ
พีระมิดขั้นบันไดนี้มีอยู่หกขั้นด้วยกัน ออกแบบโดย Imhotep (อิมโฮเทป) ผู้ซึ่งดำรงตำเเหน่งวิเซียร์ในตอนนั้น
พีระมิดนี้สร้างในศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสตกาล เพื่อเป็นที่เก็บพระศพฟาโรห์ Zoser (โซเซอร์) จึงถือเป็นพีระมิดต้นแบบที่เก่าแก่ที่สุดเลยทีเดียว
ฟาโรห์แต่ละพระองค์ให้ความสำคัญกับการสร้างพีระมิดมากเนื่องจากมิได้เป็นเพียงสุสานเก็บพระศพเท่านั้น หากแต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการที่ฟาโรห์จะได้ฟื้นคืนชีพเพื่อจะได้มีชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร์อีกด้วย
ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายนี่เองที่เป็นที่มาของการทำมัมมี่และการฝังสมบัติและข้าวของเครื่องใช้เพื่อเตรียมพร้อมให้การกลับมาของฟาโรห์นั้นเปี่ยมไปด้วยความสะดวกสบาย การขุดค้นพบสุสานคนงานนั้นทำให้เราเรียนรู้ว่าคนงานเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้สร้างสุสานเล็กๆ ในบริเวณใกล้ๆ กับพีระมิดที่ตนสร้างเพื่อฝังศพตนเองพร้อมสิ่งของเครื่องใช้ที่จะนำไปใช้ในโลกหน้าเช่นกัน ข้าวของและรูปสลักจิปาถะที่ขุดค้นพบนี่เองที่ทำให้เราทราบว่าคนงานสร้างพีระมิดนั้นไม่ใช่ทาสแต่เป็นช่างฝีมือที่ฟาโรห์เองก็ให้ความนับถือดูแลเป็นอย่างดี การก่อสร้างพีระมิดจึงเป็นงานที่ประณีต ทุกอย่างถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้การคืนชีพไม่มีข้อผิดพลาด ทุกฝ่ายต้องทำงานกันอย่างสุดฝีมือเพื่อถวายแค่องค์ฟาโรห์ที่ตนศรัทธา
บริเวณใกล้เคียงพีระมิดขั้นบันไดนั้นยังมีซากวิหารหลงเหลืออยู่ประปราย ระหว่างวิหารและสุสานทางทิศใต้เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินระหว่างวิหารอันประกอบไปด้วยเสา 40 ต้นอันเสมือนเป็นตัวแทนของแคว้นทั้งหมดของอิยิปต์ในเวลานั้น
อิ่มความรู้กันแล้วก็แวะทานข้าวกลางวันให้อิ่มพุงกันบ้าง
อาหารกลางวันวันนี้เราไปแวะกันที่ร้านบุฟเฟต์ที่ไกด์แนะนำ เข้าไปเห็นมีรถทัวร์จอดอยู่เป็นตับ คาดว่าเป็นร้านแนวที่ไว้บริการนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
อาหารร้านนี้ออกแนวปิ้งย่าง มี ไก่ เนื้อ แกะ ปลา ให้เลือก เครื่องเคียงก็มีต่างๆนานา ตั้งแต่มะเขือม่วงรสเปรี้ยวๆ แครอทดองกะหล่ำห่อเนื้อ และฟาลาเฟล
เราชอบมะเขือม่วงกับกะหล่ำห่อเนื้อมาก กวาดไปเสียเกลี้ยงจาน ขนมปังที่นี่จะเป็นก้อนกลมๆ ฟองฟู ตัวแป้งนั้นบางเฉียบ ที่เห็นก้อนใหญ่ๆนั้นคืออาการพองลม เค้าจะเสิร์ฟขนมปังกับฮ้มมัสหรือถั่วบดที่เอาไว้ให้จิ้ม
เมื่อเลือกชนิดเนื้อแล้วเค้าก็จะเอาเนื้อเสียบไม้มาย่างถ่านกันให้ดูกันจะจะที่โต๊ะ ยกเว้นคนที่เลือกปลาจะมาเป็นปลาทอดกับมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบคล้ายๆ ฟิชแอนด์ชิพแบบอังกฤษ
จบมื้อแรกในอิยิปต์ไปอย่างเอร็ดอร่อยพอประมาณ จากนั้นจึงเตรียมพร้อมออกเดินทางไปชมพีระมิดดแห่งเมืองกิซ่าอันเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า
จะเห็นได้ว่าการสร้างพีระมิดเป็นความมหัศจรรย์อันน่าเหลือเชื่อ
ใครเล่าจะคิดว่าหลายพันปีก่อนมนุษย์จะมีเทคโนโลยีและความรู้มากพอที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตเฉกนี้ได้
เพียงครึ่งวันแรกเราก็ได้ชมทั้งพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดคือ step pyramid ของฟาโรห์ Zoser (ศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสตกาล)
และ Bent Pyramid และ Red Pyramid ของฟาโรห์ Snofru (ราว 2500 ปีก่อนคริสตกาล)
แถมได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อหลังความตายของชาวอิยิปต์ที่เชื่อในการฟื้นคืนชีพอันเป็นที่มาของการทำมัมมี่และการสร้างพีระมิดอีกด้วย
แต่...ของดีๆ ยังมีต่ออีกเยอะค่ะ อดใจรอกันสักนิด
ใครอยากตามไป The Great Pyramids of Giza ห้ามพลาดตอนต่อไปนะคะ
เกี่ยวกับผู้เขียน
ปกติแล้วจะเป็นบล็อกเกอร์สายรีวิวอาหารค่ะ ติดตามผลงานได้ที่ www.mevblog.com และเพจ www.facebook.com/mevblog
ซึ่งถึงจะเน้นรีวิวอาหารแต่ก็มีรีวิวท่องเที่ยวต่างประเทศบ้างเผื่อใครสนใจตามไปลองอ่านกัน
ต่อไปคงทยอยเขียนท่องเที่ยวให้มากขึ้นด้วยค่ะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
สำหรับช่องทางอื่นๆ มี IG : FoodiesJournie ที่ผู้เขียนบันทึกอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวจากเรื่องราวประจำวัน
ส่วนของ Mevblog นั้นยังสามารถติดตามได้ทั้ง IG, Twitter และ Pinterest ในนาม “MEVBLOG” นะคะ