ตะลุยแดนมัมมี่ VII มุ่งลงใต้ตามคุณไกด์สุดฮิปไปฟังเทพปรณัมของอิยิปต์กันเถอะ

ตะลุยแดนมัมมี่ VII มุ่งลงใต้ตามคุณไกด์สุดฮิปไปฟังเทพปรณัมของอิยิปต์กันเถอะ

ตะลุยแดนมัมมี่ VII มุ่งลงใต้ตามคุณไกด์สุดฮิปไปฟังเทพปรณัมของอิยิปต์กันเถอะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้เราก็จะได้มุ่งลงใต้ไปชมอิยิปต์บนกันบ้าง อย่างที่เล่าไปแล้วว่าแม่น้ำไนล์ไหลจากทางใต้ ขึ้นเหนือ ทางใต้จึงถูกเรียกว่าอิยิปต์บน ในขณะที่ทางเหนือเรียกว่าอิยิปต์ล่าง กำเนิดของตำนานต่างๆก็เริ่มจากอิยิปต์บนไปสู่อิยิปต์ล่างเช่นกัน

อ่านเรื่องราวตอนก่อนๆได้ที่

"ตะลุยแดนมัมมี่ I ชมพีระมิดเมือง Dashur - Saqqara ตื่นตากับพิพิธภัณฑ์เมือง Memphis"

"ตะลุยแดนมัมมี่ II สัมผัสความอลังการของพีระมิดแห่งกิซ่า...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก"

"ตะลุยแดนมัมมี่ III ชมวิหาร Deir al-Bahri วิหารของฟาโรห์หญิงผู้เกรียงไกร"

 "ตะลุยแดนมัมมี่ IV วิหารแห่งองค์ฟาโรห์...สู่ชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร์"

 "ตะลุยแดนมัมมี่ V ท่องลักซอร์ตะวันออก ชมวิหารคารนัคอันเลื่องชื่อ"

"ตะลุยแดนมัมมี่ VI ชิลยามบ่ายในลักซอร์ ต่อด้วยแสงสีเสียงตระการตาที่คาร์นัคยามค่ำคืน"

 

วันนี้เราเลยเดินทางย้อนศรเล็กน้อยโดยจะแวะเมือง Esna เมือง Edfu และเมือง Kom Ombo เพื่อชมวิหารเทพต่างๆกัน

รายการจึงอัดแน่นไปด้วยสาระความรู้เกี่ยวกับเทพกรณัมอิยิปต์ เพื่อเป็นการปูพื้น เราก็จะเอาตำนานเวอร์ชั่นที่ไกด์เราเล่ามาให้ฟังพอสังเขป

เรื่องก็มีอยู่ว่า เทพนุตและเทพเก็ปมีบุตรธิดารวมกันสี่คน คือเทพโอสิริส (Osiris) เทพีไอซิส (Isis) เทพเซ็ท (Set) และเทพีเนฟทิส (Nephthys) โอสิริสนั้นครองคู่กับไอซิส ส่วนเซ็ทกับเนฟทิส เรื่องราวร้าวฉานก็คงไม่เกิดถ้าเจ๊เนฟทิสจะไม่นอกใจเซ็ทไปล่อลวงโอสิริสจนต้องท้องเทพอนูบิสขึ้น เซ็ทพิโรธมากและก็อิจฉาโอสิริสซึ่งเป็นลูกคนโตและได้เป็นกษัตริย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงล่อหลอกโอสิริสในการประลองในงานเลี้ยงใหญ่ เซ็ทได้สร้างโลงศพไม้ แล้วท้าประลองว่า ผู้ใดที่สามารถทำลายและหนีออกมาจากโลงได้จะได้รับการประกาศว่าเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุด โอสิริสกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่รอช้า รับคำท้าทันใด เพียงแค่โอสิริสลงไปนอนอยู่ในโลงไม้ที่ทั้งหนาทั้งหนักนั้น ฝาโลงก็ถูกปิดลงกลอนจากด้านนอก และเซ็ทก็โยนโลงนั้นลงแม่น้ำไป โลงนั้นลอยไปเป็นเวลาถึงเก้าสิบวันจากเมืองอัสวานลงไปถึง Byblos หรือประเทศลิเบีย

ไอซิสเสียใจมาก แปลงร่างเป็นมนุษย์ออกเดินทางตามหาสวามี เธอเสาะหามาจนถึงเมือง Byblos ซึ่งโลงของโอสิริสได้ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นซีดาร์และถูกตัดไปทำเสาในท้องพระโรงของกษัตริย์ไปเสียแล้ว ไอซิสจึงปลอมตัวเข้าสำนักไปรักษาเจ้าชายน้อยที่กำลังล้มเจ็บ กษัตริย์จึงอนุญาตให้เธอขออะไรก็ไดเป็นรางวัล เธอจึงทูลขอเสาต้นนั้น เมื่อได้โลงของโอสิริสกลับมาครอบครอง ไอซิส พยายามที่จะเอาพระศพของพระสวามีมาอิยิปต์มาฝังในมาตุภูมิคือเกาะ Philae ที่อัสวาน (เดี๋ยวเราก็จะได้ไป) เซ็ทได้ข่าวก็กริ้วมาก ตามมาจนพบและเอาพระศพของโอสิริสออกมาจากโลง ทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยถึงสิบสี่ชิ้นแล้วโปรยไปทั่วดินแดนอิยิปต์ ไอซิสร้องไห้หลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือด เทพเจ้าสูงสุดเห็นเธอร้องไห้ก็สงสารเธอมากจึงมอบปีกแห่งนกเหยี่ยวให้เธอออกบินตามหาพระสวามีของเธอ ไอซิสจึงออกติดตามหาชิ้นส่วนของพระสวามีอีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อ

ในที่สุดเธอก็พบชิ้นส่วนสิบสามส่วนยกเว้นส่วนสุดท้ายคืออวัยวะเพศของโอสิริส เธอจึงทำรูปปั้นแทนส่วนนั้นด้วยทองคำนำไปประกอบกับชิ้นส่วนที่เหลือ และทำกระบวนการมัมมี่ (mummify) พระศพโดยความช่วยเหลือของอนูบิส จนโอสิริสพื้นคืนชีพ เมื่อโอสิริสพื้นขึ้นมาและพบว่าตัวเองไม่มีอวัยวะสำคัญอีกแล้วก็อับอายและเสียใจมากจึงเสียสละตนไปเป็นเทพเจ้าแห่งความตายและชีวิตหลังความตาย (God of the Dead and the Afterlife) ก่อนไปโอสิริสได้จุมพิตไอซิสชายาสุดที่รักอย่างดูดดื่ม และจากจูบนั้นไอซิสก็ตั้งท้องโฮรัสขึ้น เรื่องนี้จึงเล่ากำเนิดของอนูบิส วิธีการและประเพณีการทำมัมมี่ ที่มาของการที่อนูบิสเป็น God of mummification ที่มาว่าทำไมโอสิริสถึงไปเป็นเทพแห่งความตาย (God of underworld) และเป็นต้นเรื่องของการแก้แค้นของโฮรัส ที่กลับไปจัดการลุงเซ็ท และความรักของโฮรัสกับเทพี ฮาเธอร์ เทพีวัวจากคราวที่แล้ว ทั้งหมดนี้จะสานต่อกันได้ดีเพราะเราจะไปชมวิหารที่เล่าเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดเพราะแถบทางใต้นี้เป็นถิ่นของเทพเหล่านี้เลยเชียวล่ะ

 

Egypt04_set01

วันนี้เราออกเดินทางกันราวแปดโมงครึ่งโดยรถแวนปรับอากาศส่วนตัวพร้อมไกด์ชุดใหม่ คุณไกด์โผล่มาอย่างฮิปมีใส่แว่นกันแดดเปรี้ยวกับเสื้อไอเลิฟนิวยอร์กและเสว็ตเตอร์ขาโจ๋มารอที่ล็อบบี้ ตอนแรกคุณไกด์เห็นเรานั่งเมาท์กันเป็นภาษาต่างด้าวกันก็เลยนั่งเงียบฉี่ จนเราพยายามชวนแกคุยเป็นการ break the ice เท่านั้นแหละคุณไกด์ก็เครื่องติดฉลุยเลย คุณไกด์คนนี้ชื่อ Eslam และก็โชคดีที่เค้าภาษาอังกฤษดี (เมื่อเทียบกับคนก่อนๆ ลูกทัวร์ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าคนนี้เวิร์กสุด)
 พอเค้าพล่ามเราก็เลยเก็บได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย

อย่างที่ว่า ว่าเราพยายามเริ่มชวนเค้าคุย เนิร์ดๆ อย่างเราก็ชวนคุยสัพเพเหระไม่ค่อยเป็นแหละก็เลยชวนคุยว่า อิยิปต์เท่ห์จริงๆนะคะเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าก็มากมายสนุกสนาน เนี่ยถ้าไกด์ถนัดเวลาเล่าก็ช่วยสอดแทรก mythology มาเยอะๆนะค้าพวกหนูชอบ นั่นแหละมันคงไปจุดประกายคุณไกด์เค้าเพราะพูดจบปุ๊บเค้าก็เริ่มมหากาพย์ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาทันทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่าไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว

ไกด์เริ่มที่ว่าก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าศาสนามีเพื่ออะไรเนี้ยยยย ทั้งปรัชญาทั้งวิชาการมาแต่ไกลอีกแน่ะ กษัตริย์เนี่ยปกครองทั้งศาสนจักรและอาณาจักร ศาสนจักรก็ใช้ความเชื่อเหนี่ยวนำให้คนศรัทธา การจะคุมทั้งคนและทั้งศาสนจักรเนี่ย กษัตริย์ก็ต้องบูชาเทพเจ้าและขณะเดียวกันก็ต้องทำให้คนรู้สึกว่ากษัตริย์มาจากเทพเจ้า ได้รับการรับรองเชิดชูโดยเทพเจ้าคนจะได้ยำเกรงเคารพนับถือกษัตริย์และทำให้กษัตริย์ดำรงตนเหนือกว่าและควบคุมศาสนจักรอยู่ได้ โอ้ววว เอากะเฮียสิ เล่ากันชุ่มปอดรถก็มาจอดลงเมือง Esna (เอสนา) เมืองนี้เป็นเมืองเล้กเล็กแบบที่ปกติคนไม่มาแวะเที่ยวกันเพราะทั้งเมืองมีดีอยู่ก็วิหารของเทพ Khnum (คนุม) อันนี้อันเดียวจริงๆแต่ด้วยเหตุว่าเราถึกและโลภเราก็เลยตามมาเก็บแบบว่าชั้นจะเอาให้ครบ

 

Egypt04_set02

 

วิหารของเทพ Khnum สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพคนุมซึ่งถือเป็นเทพผู้สร้าง (God of creation) เทพคนุมนั้นมีศีรษะเป็นแกะเช่นเดียวกับเทพอมุน แต่แตกต่างกันคือเขาท่านจะกางชี้ออกมาตรงๆ ไม่ขดม้วนเหมือนของเทพอมุน วิหารนี้สร้างโดยทุตโมสที่สาม และมีการต่อเติมภายหลังโดยจักรพรรดิโรมันอย่างอเล็กซานเดอร์และออกเทเวียนเมื่อคราเข้ายึดครองอิยิปต์ ที่น่าสังเกตก็คือเวลาโรมันเข้ามาที่อิยิปต์โรมันไม่ได้พยายามเปลี่ยนอิยิปต์เข้าเป็นโรมันแต่กลับเป็นการสอดแทรกตัวจักรพรรดิของโรมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของอิยิปต์

ตอนนี้ตัววิหารอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินไปแล้วตอนเจอก็ต้องขุดลงไปกันลึกเชียวเราก็เลยต้องเดินลงบันไดไป ลานหน้าวิหารนี้ยังมีซากปรักหักพังของโบสถ์แบบโรมันหลงเหลืออยู่ สังเกตได้จากตรา Coptic cross บนหินเหล่านี้
ที่ชำรุดทรุมโทรมเพราะไม่อาจต้านทานแรงของแผ่นดินไหวหนักถึง 11 Richter ในช่วง 27 BC ได้ วิหารนี้มี façade สูงถึงสิบสองเมตร เข้าไปถึงก็จะเจอ open court แล้วค่อยเป็นประตูทางเข้า

ไกด์เล่าว่า หน้าวิหารจะมีที่ปักธงเป็นการบอกสัญญาณให้ประชาชน อย่างถ้ามีธงปักอยู่แปลว่าเป็นเวลาที่คนทั่วไปเข้ามาสักการะบูชาเทพเจ้าในวิหารได้ ภายในมีเสาใหญ่อยู่ 24 ต้น เป็นตัวแทนของ 24 จังหวัดของอิยิปต์ในสมัยนั้น หัวเสาจะเป็นรูปดอกบัว (lotus) สัญลักษณ์ของอิยิปต์บน หรือรูปปาปิรุส (papyrus) สัญลักษณ์ของอิยิปต์ล่าง ลักษณะของหัวเสาที่นี่จะมีหลายหลากเพราะแต่งเติมในหลายรัชสมัย หลายเสาได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบกรีกโรมันร่วมอยู่ด้วย สีที่เสายังเหลืออยู่เลย ช่างน่าทึ่ง

คุณไกด์เล่าละเอียดมากแถมยังอ่านเฮียโรกลิฟฟิคออกด้วยเลยชี้แล้วเล่าได้ทุกภาพในโบสถ์ แบบว่าถามมา ชั้นอ่านให้ฟังได้เลย ไม่ต้องท่องมาเล่าเฉพาะภาพที่ฮิตๆ ดังๆ นอกจากนี้คุณไกด์ยังอินกับคุณค่าทางศิลปะมาก เฮียถือไม้ตะพดหัวงูคู่กายคอยชี้ชวนให้ดูถึงความละเอียดของนิ้วมือ ความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาจากกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อย่างกล้ามเนื้อขา รอยนูนที่หัวเข่าเป็นต้น ที่ช่างอุตส่าห์ตั้งใจสื่อด้วยความใส่ใจ รักไกด์คนนี้สุดใจขาดดิ้นเลย ท้ายสุดก่อนออกยังอุตส่าห์ชี้ให้ดูกำแพงว่าเนี่ยที่ด่างๆคือระดับน้ำตอนแม่น้ำไนล์ท่วม โอ้ว ไอ้สีในวิหารนี่มันรอดมาได้ยังไงเนี่ย เอาซะเกือบจมมิดขนาดนั้น

 

Egypt04_set03

 

คราวนี้มาชมวิหารเทพโฮรัสแห่งเมือง Edfu (เอ็ดฟู) กันบ้าง ที่นี่เป็นวิหารที่มีความสมบูรณ์เป็นอันดับสองรองจากวิหารคารนัคเลยทีเดียว วิหารนี้สร้างสมัย Ptolemy III ไปเสร็จเอาสมัย Ptolemy VI คือสร้างในช่วง 372 BC - 207 BC รวมใช้เวลาเกือบ 180 ปีด้วยกัน วิหารนี้จมอยู่ใต้ทรายทั้งหมดจนกระทั่งถูกขุดพบในปี 1866 โดย ชาวฝรั่งเศส เดินลึกเข้ามาถึงหน้าประตูทางเข้าวิหารก็จะเจอกับรูปปั้นเทพโฮรัสในร่างเหยี่ยวหน้าตาถมึงทึงยืนอยู่ รูปสลักแกรนิตนี้หนักถึงเจ็ดสิบห้าตันเลยเชียว ด้านในวิหารนั้นเป็นโถง Hypostyle อีกเช่นเคย ข้างหนึ่งมี 16 เสา อีกข้างมี 22 เสา เพราะหลังคาหนักกว่าประตูเป็นไม้ซีดาร์ ตัวรูปสลักนูนสูงแปะทองแดงและทองคำเนื่องจากประตูเดิมใหญ่มากตอนนี้เลยสร้างประตูเล็กๆคล้ายประตูแมวให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

เมื่อแรกสร้างวิหารแห่งนี้มีไว้ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า แต่เวลาต่อมาได้ถูกปรับใช้ให้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ควันไฟจากการหุงหาอาหารจึงขึ้นไปจับเป็นเขม่าดำ คุณไกด์มีความเห็นรุนแรงมากกับการที่มีคนเสนอให้บูรณะ ไกด์กลับคิดว่าควรจะปล่อยให้เห็นเป็นสีดำอย่างนี้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และถ้าเราไม่ได้เห็นเขม่าเราก็คงไม่รู้เลยว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยถูกใช้อยู่อาศัย เป็นไงคะ ความเห็นของท่านนักโบราณคดี ห้องลึกเข้ามาเป็นห้องสำหรับประกอบพิธีกรรม ห้องนี้มี 32 เสา เสาแต่ละต้นไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันแต่เป็นหินชิ้นย่อยๆ ที่ถูกนำมาเรียงต่อกัน ขัดสลักล็อกไว้ที่ฐาน แต่ละก้อนก็หนักมาก เทคโนโลยีน่าทึ่งจริงๆ จากนั้นจึงให้ช่างแกะสลักบนเสาที่เสร็จแล้ว แตกต่างจากการทำหลังคาที่ช่างจะสลักและลงสีให้เสร็จก่อนที่จะยกขึ้นประกอบ

 

Egypt04_set04

 

ไกด์พามาที่ห้องลึกสุดของวิหารที่เรียกว่า Hall of the Holy
ห้องนี้เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ เฉพาะฟาโรห์ พระราชินี และหัวหน้านักบวชเพียงสามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามาได้ ห้องนี้ถูกสร้างอย่างดีให้เป็นห้องเก็บเสียง ถ้าคุยอะไรกันในห้องนี้ คนข้างนอกจะไม่มีทางฟังออกเลย เราลองแล้วรู้สึกว่าข้างนอกมันจะสะท้อนฟังดูก้องจับคำไม่ได้ คงเป็นห้องปรึกษาราชการลับยุคโบราณนั่นเอง ห้องนี้เป็นที่เก็บเรือศักดิ์สิทธิ์ (Sacred boat) ที่ภายในประดิษฐานรูปหล่อทองคำของเทพเจ้า ทุกปีนักบวชจะแบกเรือนี้ออกมาให้ผู้คนบูชาเพียงเวลาอันสั้น เชื่อกันว่าถ้าใครทำความดี จะได้เห็นรัศมีแสงทองสุกปลั่งของรูปหล่อทองภายใน ถ้าไม่เห็นก็ควรจะกลับไปทำความดีเพิ่มเติม อืม ออกมาแค่ห้านาที เป็นกุศโลบายให้คนทำดีที่น่าจะเวิร์คอยู่

ถัดออกมาเราก็เดินออกมาที่กำแพงด้านใน และแล้วเราก็มาพบกับ...ต้นกำเนิดของแอนิเมะ....
เอ้ย ไม่ใช่ ภาพสลักเรื่องราวของเทพโฮรัสตอนไปพิฆาตลุงเซ็ท เรื่องมีอยู่ว่าโฮรัสโตมามีเทพีเซ็คเมตเทพแห่งสงครามเป็นคนสอนวิทยายุทธ์เองกะมือ พอโฮรัสเทิร์นโปรแล้ว เซ็คเมตก็พาออกตามล่าเซ็ทซึ่งเคยหลอกฆ่าโอสิริสผู้เป็นพ่อ ในตำนานเซ็ทแปลงร่างเป็นเทพฮิปโป งานนี้โฮรัสมีกองหนุนคือเทพโซเบ็คซึ่งเป็นเทพจระเข้มาช่วย แต่ละรูปฮิปโปก็ตัวใหญ่ขึ้นทีละนิดทีละนิดเหมือนอ่านการ์ตูน ตั้งแต่ฮิปโปตัวเล็กอย่างกับเต่าที่ถูกโฮรัสใช้แหลนจิ้ม แล้วมีโซเบ็คยืนให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง ฮิปโปยังคงไม่ให้จับง่ายๆ รูปค่อมาเป็นฮิปโปตัวใหญ่ขึ้นนิดส์นึง แถมคงหนีเร็วเพราะต้องกางใบเรือแล่นฉิวตามล่า จนถึงที่โฮรัสเอาเชือกมัดได้ จบด้วยโฮรัสเผด็จศึกจัดการลุงฮิปโปสิ้นซาก ท่านแม่ไอซิสมาจับแขนโฮรัสเสมือนช่วยแทงด้วยอีกแรงเพราะชีแค้นมากที่มาฆ่าพระสวามี ในที่สุดฮิปโปตัวร้ายก็ถูกปราบสิ้นฤทธิ์ สาสมกับความใจร้ายที่ทำไว้กับพี่ชาย

จบตื่นเต้นกับฉากบู๊ก็กลับมาดูห้องข้างในอีกด้านกันต่อ คุณไกด์ปลาบปลื้มชี้รูปนี้ให้ดูเป็นพิเศษเพราะเป็นรูปที่แสดงถึงความสวยงามของความรักระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว รูปนี้เป็นรูปโฮรัสกับฮาเธอร์กำลังโอบกอดกันอย่างซาบซึ้งไกด์ขา เนิร์ดแล้วยังโรแมนติกอีก หนูใจละลายนะค้า

 

Egypt04_set05

จดจนหมดสมุดไปอีกเกือบเล่มก็ได้เวลาอาหารกลางวันเพื่อเป็นการประหยัดตังค์ เราก็ขอไกด์กินอาหารโลโค่นๆ ว่าแล้วก็เลยขอแวะข้างทางซื้อตามร้านแบบนี้แหละ ไกด์มีเหวอเล็กน้อย แบบ เฮ้ย พวกนี้มันเอาจริง ไม่กลัวท้องเสีย (ไกด์คนนี้ก็เตือนว่าท้องเสียไม่รับผิดชอบน้า) แหม แต่ทีตอนไกด์แนะนำให้กินน้ำจากแม่น้ำไนล์ล่ะทำท่าสยอง (น้ำจากไนล์ที่นี่เค้าอัดขวดขายกันด้วยนะ ไกด์ก็ดื่ม) งานนี้ก็เลยได้ขนมปังยัดไส้ฟาลาเฟลที่ทอดขึ้นมาร้อนๆควันฉุยกับมันฝรั่งทอดกรอบมาแทะกัน ตบด้วยสปาเก็ตตี้แบบอิยิปต์ ราคาก็ถูกแสนถูกแบบ 10 – 20 ปอนด์อิยิปต์เองมั้ง โห ถ้าหากินอย่างนี้ได้ทุกวันคงไม่จนน้ำร้านข้างๆ ก็ถูกกว่าที่เจอๆ มาตามแหล่งท่องเที่ยวเป็นสิบเท่า กินกันจนพุงกาง

 

และเนื่องจากตำนานยาวมากมาย ก่อนที่คุณผู้อ่านจะเวียนหัวตาลายกันเสียก่อนเราจะหยุดไว้ที่ครึ่งวันเช้าค่ะ

คราวหน้ามาติดตามการผจญภัยของเราเมื่อเรือเครื่องดับอยู่กลางแม่น้ำไนล์กันนะค้า

สำหรับใครที่ชอบแนวนี้แล้วยังอ่านไม่จุใจตามไปชมได้ที่ www.foodiesjournie.com ค่า

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook