ตะลุยแดนมัมมี่ VI ชิลยามบ่ายในลักซอร์ ต่อด้วยแสงสีเสียงตระการตาที่คาร์นัคยามค่ำคืน
หายไปนานเลยสำหรับกระทู้พาเที่ยวอิยิปต์
ติดตามอ่านตอนก่อนๆได้ที่
"ตะลุยแดนมัมมี่ I ชมพีระมิดเมือง Dashur - Saqqara ตื่นตากับพิพิธภัณฑ์เมือง Memphis"
"ตะลุยแดนมัมมี่ II สัมผัสความอลังการของพีระมิดแห่งกิซ่า...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก"
"ตะลุยแดนมัมมี่ III ชมวิหาร Deir al-Bahri วิหารของฟาโรห์หญิงผู้เกรียงไกร"
"ตะลุยแดนมัมมี่ IV วิหารแห่งองค์ฟาโรห์...สู่ชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร์"
"ตะลุยแดนมัมมี่ V ท่องลักซอร์ตะวันออก ชมวิหารคารนัคอันเลื่องชื่อ"
สำหรับวันนี้เราก็ยังอยู่ที่ลักซอร์ตะวันออกค่ะ
จบจากคารนัคที่น่าทึ่งไกด์ก็พาไปขับรถผ่าน Luxor temple
เธอบอกว่า เหมือนๆกันกับคารนัคแหละจ่ะ แต่เล็กกว่า ไม่ต้องเข้าหรอก อ่าว ซะงั้น
วิหารแห่งลักซอร์นั้นสร้างถวายแด่เทพมุต (Mut) มเหสีของเทพอมุนรา เวลามีพิธีกรรม มีงานเฉลิมฉลองที่เรียกว่า Opet Festival ในยุค New Kingdom จะมีขบวนแห่จากวิหารคารนัคไปวิหารลักซอร์ ซึ่งการเดินทางทั้งหมดกินเวลาถึงยี่สิบสี่วันด้วยกัน
นอกจากการเดินทางตาม Sphinx Avenue แล้ว แต่ก่อนที่แม่น้ำไนล์ยังท่วมขึ้นมาถึงปากทางเข้าวิหารทั้งสองก็สามารถเดินทางระหว่างวิหารทั้งสองทางน้ำได้อีกทางหนึ่งด้วย
วิหารลักซอร์นี้สร้างขึ้นโดยฮัทเชปชัตและถูกปรับปรุงโดยทุตโมสที่สาม ส่วนโถงกลางนั้นสร้างโดย Amenhotep III และถูกต่อเติมอึกภายหลังโดยรามซิสที่สอง Rameses II ยังได้สร้าง obelisk ไว้ถึงสองอัน หนึ่งใน obelisk หน้า Luxor temple นั้น ประเทศฝรั่งเศสนำไปไว้ที่ Place de la concorde ปารีสเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนที่เห็นเป็นสุเหร่านี่เพราะว่าสร้างขึ้นก่อนจะขุดพบ Luxor temple (สุเหร่าอยู่ระดับสูงกว่า) พอเวลาผ่านไป สุเหร่าเองก็กลายเป็นโบราณสถาน แถมเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่รื้อไม่ได้ ก็เลยต้องปล่อยให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติแบบนี้
จากนั้นเราก็ไปชม Ramesseum วิหารที่เป็น funerary temple ของพระเจ้ารามซิสที่สอง เข้าไปถึงก็เจอรูปปั้นตั้งตระหง่านเรียงราย ศีรษะของรูปปั้นที่ล้มอยู่นั้นเป็นชิ้นส่วนของรูปปั้นที่เคยสูงถึงสิบแปดเมตร
และสุดท้ายที่ไกด์พาไปคือ Colossi of Memnon
Colossi of Memnon เป็นที่ตั้งของรูปปั้นหินขนาดยักษ์ของฟาโรห์ Amenhotep III
รูปปั้นที่ขาซ้ายและขวาของท่านเป็นรูปปั้นของมเหสี Tiy และพระมารดา Mytemwiya
ที่ได้ชื่อว่า Colossi of Memnon นั้นมาจากการที่เมื่อครั้งที่แผ่นดินไหว โครงสร้างหินถูกกระทบกระเทือนทำให้เมื่อลมผ่านแล้วมีเสียงเหมือนเสียงร้องไห้คร่ำครวญยามก่อนรุ่งสาง ผู้คนจากตะวันตกที่เข้ามาอยู่ในสมัยนั้นจึงนึกถึงตำนานกษัตริย์เมมนอนในตำนานกรีก (ที่ถูก Achilles ฆ่า) และจินตนาการไปว่าเป็น Eos บิดาของเมมนอนที่ยังเสียใจอยู่
วันนี้จบลงอย่างรวดเร็ว ไกด์มาซูฮกว่าทำงานมานาน ไม่เคยเจอใครเก็บทุกอย่างได้ครบในวันครึ่งอย่างนี้เลย อย่างเก่งก็สามวัน โฮะๆๆๆ ไม่รู้จักพลังถึกของพวกเราซะแล้ว
ร่ำลาไกด์เสร็จก็ไปเติมพลัง เราเลือกร้าน El Kababgy ที่โลนลี่แนะนำ ร้านอยู่ติดแม่น้ำไนล์ เราเลยได้ยลโฉมเรือใบล่องไนล์ที่จอดเรียงกันเป็นทิวแถว
ร้านที่โลนลี่แนะนำก็ไม่ทำให้ผิดหวังอีกเช่นเคย ร้านนี้จับใจน้ำตาไหลพราก เราสั่ง Lamb kabab รสชาติเข้มข้น chicken swama ย่างมากำลังเกรียม เนื้อลูกวัวอบหัวหอม แอบใจร้ายกินน้องกระต่ายราดซอสเขียว น้ำมะม่วงที่นี่เข้มข้นอร่อยมาก บรรยากาศติดแม่น้ำไนล์ผ่อนคลายไปอีกแบบเนื่องจากเวลาเหลือเฟือเลยมีกะใจมานั่งละเลียดจิบเบียร์ชมวิวกัน รสชาติห้าดาวราคาก็ห้าดาวด้วย งานนี้หมดตัวไปเกือบเจ็ดร้อยปอนด์อิยิปต์ แต่ก็ถือว่าแสนคุ้ม
เสร็จแล้วพวกเราก็กลับไปนั่งเล่นนั่งย่อยหลบร้อนที่โรงแรมแล้วค่อยออกมาเดิน Luxor Museum ตอนบ่ายแก่ๆ
เนื่องจากที่พิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายรูปเราก็เลยไม่มีรูปมาอวด
จำได้ว่าที่เด่นๆคือมัมมี่ หนึ่งในสองที่มีในพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นมัมมี่ของรามซิสที่ถูกขโมยไปไว้ที่แคนาดา ถูกนำไปกองๆไว้อย่างไร้ชื่อไร้เกียรติ จนกระทั่งมีการพิสูจน์ว่าเป็นถึงฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีการติดต่อขอซื้อคืนมาในราคาสองล้านดอลลาร์
จบจากนั้นก็ไปดู Light and Sound ที่วิหารคารนัค
งานนี้เค้าทำดีมากๆ ประทับใจกว่ากิซ่าโข แนะนำให้ไปอย่างแรงค่ะ
Light and Sound ของที่นี่เค้าจะมีให้เดินเข้าไปดูในวิหารเรื่อยๆ แบบกั้นเชือกแล้วปล่อยให้เดินทีละจุด แล้วบรรยายตาม
เดินในวิหารกลางคืนนี่หลอนแล้วก็ขลังมากๆ เรื่องที่เล่าก็เรียบเรียงไว้ดี
เค้าจะนำเราค่อยๆเดินลึกเข้าไปในวิหารเรื่อยๆ แล้วก็ฟังเรื่องราวของรูปปั้นต่างๆ
ในที่สุดก็ไปจบลงที่ Sacred Lake ภาพฉายฉายไปที่ตัววิหาร สะท้อนลงน้ำ งดงามตระการตา
วันนี้จบลงอย่างแช่มชื่น หมดแรงตะลอนก็เลยกินมื้อเย็นกันที่โรงแรมนั่นแล
จบลักซอร์แล้วพวกเราก็จะได้เดินทางลงใต้ผ่านเมืองต้นกำเนิดตำนานเทพเจ้าอย่าง Esna Edfu และ Kom Ombo ใครอยากล่องเรือในแม่น้ำไนล์อย่าลืมติดตามชมตอนต่อไปกันนะคะ
ติดตามเรื่องราวอาหารการกินแสนอร่อยและสถานที่ท่องเที่ยวแปลกตาได้ที่ www.facebook.com/foodiesjournie & www.foodiesjournie.com ค่ะ