ตะลุยแดนมัมมี่ X ฝ่าแดดระอุชมวิหาร Philae และ Unfinished Obelisk
ขอบคุณนะคะที่ติดตามเที่ยวอิยิปต์กันมา ตอนนี้ก็ตอนที่ 10 แล้ว
อ่านเรื่องราวตอนก่อนๆได้ที่
"ตะลุยแดนมัมมี่ I ชมพีระมิดเมือง Dashur - Saqqara ตื่นตากับพิพิธภัณฑ์เมือง Memphis"
"ตะลุยแดนมัมมี่ II สัมผัสความอลังการของพีระมิดแห่งกิซ่า...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก"
"ตะลุยแดนมัมมี่ III ชมวิหาร Deir al-Bahri วิหารของฟาโรห์หญิงผู้เกรียงไกร"
"ตะลุยแดนมัมมี่ IV วิหารแห่งองค์ฟาโรห์...สู่ชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร์"
"ตะลุยแดนมัมมี่ V ท่องลักซอร์ตะวันออก ชมวิหารคารนัคอันเลื่องชื่อ"
"ตะลุยแดนมัมมี่ VI ชิลยามบ่ายในลักซอร์ ต่อด้วยแสงสีเสียงตระการตาที่คาร์นัคยามค่ำคืน"
"ตะลุยแดนมัมมี่ VII มุ่งลงใต้ตามคุณไกด์สุดฮิปไปฟังเทพปรณัมของอิยิปต์กันเถอะ"
"ตะลุยแดนมัมมี่ VIII เยือน Sil sila ก่อนจะพากันลอยคว้างกลางแม่น้ำไนล์"
"ตะลุยแดนมัมมี่ IX เยือนเขื่อนอัสวาน ชมวิหาร Abu Simbel"
ต่อจากวิหาร Abu Simbel และ เขื่อนอัสวาน ไกด์พาเราเที่ยวต่อที่วิหาร Philae อีกหนึ่งวิหารสำคัญที่เป็นที่มาของเทพกรณัมอีกมากมาย
วิหาร Philae นี้ก็เป็นอีกวิหารหนึ่งที่จะถูกน้ำท่วม ต้องขนย้ายกันทีละชิ้นมาต่อใหม่เหมือนกัน
ชิ้นส่วนของวิหารแต่ละชิ้นจะถูกทำเครื่องหมายไว้ด้วยกระดุมเล็กๆที่ยังเหลือให้ได้เห็นประปราย ที่ตั้งวิหารเดิมตอนนี้เหลือแต่ตอ
คุณไกด์คนนี้น่ารักอีกอย่าง คือสงสัยจะรู้ว่าพวกเรากลัวแดด (ดูแต่ละคนสิ ทั่งใส่หมวกโพกหัวออกขนาดนั้น ไม่รู้ก็นะ...) เวลาอธิบายก็มักจะพยายามหาที่ร่มๆ ให้พวกเรายืนหลบแดด รู้ใจจริงๆ
ไกด์เล่าว่า ณ ที่นี้เป็นจุดต้นเรื่อง เป็นจุดกำเนิดของตำนานของโอสิริสและไอซิส โดยตำนานเริ่มจาก Philae ซึ่งเป็นพื้นที่สุดเขตแดนอาณาจักรอิยิปต์ และย้อนทางขึ้น Kom Ombo ไป Edfu และต่อไปยัง Esna เชื่อกันว่าที่นี่เป็นที่ที่ไอซิสมาพักรักษาตัวด้วยการดูแลของฮาเธอร์หลังจากที่ชุบชีวิตโอสิริสและต้องท้องโฮรัสจากจุมพิตของโอสิริสและได้มาคลอดโฮรัสที่นี่
วิหารนี้เป็นเสมือนสุสานที่ไอซิสสร้างให้โอสิริส ดังนั้นจึงมีหน้าต่างมากมายเพื่อให้ไอซิสสามารถมองลอดเข้ามาในวิหารมาเห็นสวามีสุดที่รักได้ เมื่อครั้งโรมันเข้ายึดครองอิยิปต์ จักรพรรดิโรมันได้ล่องเรือลงใต้มาไกลถึงนี่ วิหารนี้จึงได้รับการต่อเติมบางส่วนจากชาวโรมัน อย่างหินแกรนิตจารึกคำประกาศของจักรพรรดิ Claudius ประกาศปลดปล่อยประชาชนจากการต้องจ่ายค่าภาษี
นอกจากนี้ ยังมีรอยสลักของผู้มาเยือนรุ่นหลังทั้งจากอังกฤษและจากฝรั่งเศส ด้านนอกวิหารยังแบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อย บางส่วนเคยถูกใช้เป็นตลาดงานจิตรกรรม ในสมัยพระเจ้าเนคทานโนโบ ศิลปินจะนำมานมาออกแสดงที่นี่ ถ้าท่านพอใจท่านก็จะเลือกซื้อมาประดับวิหาร ผลงานศิลปินคนใดโดนใจมากๆก็จะถูกเรียกตัวมาเป็นช่างหลวงสรางผลงานถวายวิหาารต่อไป
ต่อจากนั้นเราก็ไปแวะที่ Unfinished Obelisk
ตอนพวกเราลงจากรถแล้วเห็นทางที่ปีนขึ้นไปดูนี่แบบว่า...หนูขอไม่ดูได้มั้ย เพราะที่อัสวานนี่ร้อนมากกก
ไกด์บอกว่าจริงๆ ตอนนี้ยังเรียกว่าเย็นแล้ว หากมาหน้าร้อน อุณหภูมิจะอยู่ที่ 50C ร้อนตับแตก
แต่ในที่สุดคุณไกด์ก็พาขึ้นไปอยู่ดี อย่างน้อยก็ยังพาไปหลบหลังหินก้อนใหญ่พอมีร่มเงาแล้วค่อยอธิบาย
ไกด์เนิร์ดของเราว่าหินแกรนิตส่วนใหญ่ที่สร้างวิหารในยุคโบราณ ขนไปจากอัสวานทั้งนั้น ซึ่งมีอยู่สองชนิดคือ แกรนิตแบบธรรมดาที่หนักมาก และแกรนิตจากภูเขาไฟ (volcanic granite) ที่เบาและทนทานน้อยกว่า แกรนิตอย่างดีนี้มีราคาแพงและทนความร้อนได้สูงมาก
Obelisk อันนี้ทำไม่เสร็จเพราะพบรอยแตกในหินเสียก่อน ถ้าทำสำเร็จคาดว่าจะสูงถึง 42 เมตรและหนักถึง 1,200 ตันด้วยกัน
จากนั้นไกด์ก็เล่าถึงกระบวนการทำ Obelisk ว่าเริ่มจากการสกัดหินเป็นโครงคร่าวๆ แล้วเจาะรูที่ขอบห้ารู แต่ละรูห่างราวหนึ่งเมตร เมื่อได้รูที่ใหญ่พอควรแล้วจึงอัดไม้ซีดาร์ลงไป หลังจากนั้นจึงรดน้ำทุกวันเพื่อให้ไม้ซีดาร์ขยายตัว ทำให้หินแยกออกจากกัน จากนั้นช่างจึงจะใช้ลิ่มสกัดทีละนิด ลงไปเรื่อยๆ จนได้ด้านครบสามด้าน ระหว่างที่สกัดไปจะต้องเททรายไปแทนที่เพื่อให้หินทรงตัวอยู่ได้
เนื่องจากกระบวนการยากและช้ามาก อันหนึ่งๆ นี่ใช้แรงงานราว 1,700 คนและใช้เวลาราว 70 ปี
โอ้วแม่เจ้า เห็นเสาใหญ่และหนักขนาดนี้ เรือที่ใช้ขนก็ต้องใหญ่และรับน้ำหนักได้
น่าทึ่งว่าวิทยาการสมัยนั้นจะสร้างเรือได้เจ๋งขนาดนี้
ไกด์เล่าว่าเสาหนักมากเลยต้องรอแม่น้ำไนล์ท่วมหลากเพื่อที่ท้องเรือจะได้ไม่ครูดท้องน้ำ และยังต้องทำทางลำเลียงหินลงโดยต่อทางออกมาจากแม่น้ำไนล์ เพื่อเมื่อน้ำหลาก เรือจะได้เข้ามารอรับ ให้ขนเสาหินลงเรือได้พอดีๆ
กลางวันนี้เราขอให้ไกด์พาไปกินร้าน Chef Khalil ร้านอาหารทะเลที่จับปลามาจากทะเลแดงและทะเลสาบนัซเซอร์
งานนี้เชิญไกด์มาทานด้วยกัน เลยสบายให้คุณไกด์ซึ่งรู้ภาษาสั่งให้
เรารีเควสท์ไกด์ให้สั่งน้ำ Hibiscus มาให้ทานกันด้วย คุณไกด์เลยนั่งอธิบายสรรพคุณของเจ้าน้ำ Hibiscus ไปพลางๆ ว่าถ้ากินร้อนจะลดความดันเลือด แต่ถ้ากินเย็นจะเพิ่มความดัน โอ้โห ไกด์เรียนพฤกษศาสตร์ด้วยมั้ยนี่
คุยไปคุยมาก็ได้ความว่าไกด์ของเราจบปริญญาโทด้านเฮียโรกลิฟฟิคมาโดยเฉพาะหลังจากเรียนตรีด้าน tourism ถึงว่าดูวิชาการมาก เวลาอ่านเฮียโรกลิฟฟิคงี้ เสียงจะก้องกังวาน ขลังสุดๆ
เค้าบอกว่าเค้าเป็นลูกครึ่งนูเบีย โดยพ่อเป็นนูเบียและแม่มาจากอเล็กซานเดรีย เค้าถึงพูดภาษานูเบียที่กำลังจะสูญหายเป็นด้วย
ไกด์ยังเล่าอีกว่าเค้าไฝ่ฝันที่จะเป็นไกด์มาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้เค้าก็ได้ทำตามความฝันอย่างจริงจัง
ฟังแล้วก็ปลาบปลื้มสุดๆ ถึงว่าทำไม หลายเรื่องฟังแล้วขนลุกซู่ อินไปกับความยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์ของสิ่งที่ได้พบได้เห็น เป็นเพราะไกด์เล่าด้วยใจนี่เอง ขอซูฮก
ฟังเพลินๆ อาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ ทั้งกุ้งเผา ปลาหมึก ปลาย่างตัวยักษ์ ไกด์น่าจะสยองเพราะเห็นอาการแร้งลงของพวกเรา
ก็แหมกินแต่อาหารซ้ำๆ มาหลายวัน เจอกุ้งหอยปูปลารสแซ่บนี่ แต่ละคนเก็บอาการกันไม่อยู่หรอกค่ะ นี่ถ้ามีน้ำจิ้มทะเลละก็… จะบรรเจิดกว่านี้อีก
เสร็จแล้วคุณไกด์ก็ต้องช็อกรอบสอง เพราะของที่ลงมาเรียบสราวุธไปต่อหน้าต่อตา ปลานี่แทะจนเรียบ ไม่รู้ฝีมือแกะกุ้งแทะปลาของคนไทยซะแล้ว ตบท้ายด้วยการซดชา Hibiscus ร้อน ๆ อิ่มใจ
รายการสุดท้ายของวันคือการล่องน้ำไนล์ในเรือใบอีกรอบ
คราวนี้กัปตันเรามาดเท่ ลงไปถึงก็ยื่นนามบัตรสวยงามให้ ไปอ่านที่เวปเค้ามีนำทัวร์ไปพักบนเกาะ Elephantine บ้านเค้าแนวๆ โฮมเสตย์ด้วย คนชมกันเปาะ นี่ให้บัตรเสร็จก็บอกให้ถ่ายรูปเค้าเยอะๆ แล้วถ้าถูกใจอย่าลืมไปโปรโมทลงเวบให้เยอะๆ ด้วย แหม จ๊าบจริงๆ
บรรยากาศล่องเรือแม่น้ำไนล์ก็เป็นไปอย่างชิลๆ ลมเย็นๆ น้ำใสๆ รู้สึกว่าเป็นเพราะซัดข้าวกลางวันนานเกินไปเลยอดลงไปดูหมู่บ้านนูเบีย
ระหว่างล่องเรือก็มีบริการพิเศษต้มชาแบบนูเบียมาเสริฟกันกลางเรือด้วย ชานูเบียอร่อยมาก มีรสมินต์อ่อนๆ
เสร็จแล้วก็กลับโรงแรมเก็บของและร่ำลากับคุณไกด์หน้าสนามบิน
ไกด์เค้าบอกจะลาแบบกอดกันแบบอิยิปต์ก็ได้นะ รีเฟลกซ์ของเราก็คือ ยื่นมือออกไปเช็คแฮนด์ทันที แหะๆ ไม่กอดไม่ว่ากันนะคะคุณไกด์ ยังไงไกด์ก็ได้ใจหนูไปเต็มๆ แล้วนะ
อำลาอัสวานและคุณไกด์ผู้น่ารักบินกลับไคโร ทริปนี้ได้ความทรงจำดีๆมากมายก็เพราะคุณไกด์เนิร์ดนี่ล่ะ ปลื้มจริงๆ
ใครจะไปอิยิปต์ลองแวะเข้ามาคุยกับเราที่ www.facebook.com/foodiesjournie ได้นะคะ
จริงๆ แล้วเรายังเป็น facebook friend กับไกด์อยู่นะคะ ไม่แน่ใจว่าเค้าเปลี่ยนงานไปหรือยัง แต่ใครอยากเที่ยวแบบได้ความรู้เต็มเปี่ยมแบบเราจะให้เราลองติดต่อไกด์คนนี้ให้ เดี๋ยวเราลองช่วยถามให้ดูก็ได้ค่ะ