“Le Boeuf” The Steak and Fries Bistro เอาใจคนรักสเต็กด้วยเนื้อชั้นดีกับซอสสูตรเด็ดที่คุณต้องลอง
ได้ยินเสียงร่ำลือมาสักพักแล้วกับร้าน Le Bouef ร้านน้องใหม่ที่เปิดมาได้ประมาณครึ่งปีที่ Marriott Mayfair ในซอยหลังสวนที่ว่ากันว่าเป็นร้านสเต็กชั้นดีและมีซอสสูตรพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
วันนี้ได้โอกาสคุณพ่ออารมณ์ดีเลยพากันไปชิมสองคนพ่อลูก
ร้านอยู่ในซอยหลังสวนติดถนนเลย หาง่ายค่ะ ร้านดูโปร่งสบายด้วยความที่เป็นกระจกใสรอบด้าน โทนสีที่ร้านจะเป็นขาวแดงตัดกัน ตั้งแต่โต๊ะ ผ้าปู และ ตัวจานอาหารของร้านเองก็เป็นจานขาวขอบแดง ไม่ได้ถ่ายรูปร้านมาเพราะคนค่อนข้างเยอะค่ะ เกรงใจคนรอบๆ
เท่าที่ดูเป็นคนต่างชาติกว่าครึ่งเชียวค่ะ อย่างโต๊ะข้างๆ ฟังจากที่คุยกันน่าจะเป็นชาวฝรั่งเศส
เมนูร้านนี้ทำให้เราแปลกใจค่ะ เพราะมีแค่สามอย่างให้เลือก คือสเต็ก เนื้อวัว (680B) เนื้อแกะ (720B) และ ปลาแซลมอน (880B)
มื้อกลางวันและมื้อเย็นจะเป็นเมนูเดียวกันค่ะ
ทั้งสามรายการจะมาพร้อมสลัดผัก และเฟรนช์ฟรายเติมได้เรื่อยๆค่ะ
มากันสองคนก็เลยเลือกสเต็กเนื้อกับแกะมาชิมกันค่ะ
คุณพ่อเริ่มมื้อด้วยไวน์แดง Vin de la maison (190B)
จากนั้น Walnuts Green Salad ก็มาเสิร์ฟ
น้ำสลัดที่นี่รสอมเปรี้ยวสดชื่น มีแรดิชฝานบางรสขมเล็กๆ แซมมา ทานกับวอลนัทกรอบๆก็อร่อยดีค่ะ
ส่วนตัวทานแล้วรู้สึกว่าถ้าได้ goat cheese โรยมาข้างบนสักนิด จานนี้น่าจะอร่อยขึ้นอีก
สลัดมาพร้อมกับขนมปัง Baguette กรอบนอกนุ่มใน
จากนั้นบริกรก็นำเตามาวางค่ะ แต่ละอันก็มีเทียนสองฝั่ง
จานอาหารที่มาวางก็เป็นจานร้อนนะคะ บริกรเตือนตอนวางด้วย ดูใส่ใจกับรายละเอียดใช้ได้เลย
แล้วก็ถึงเวลาที่รอคอยคือเวลาอาหารจานหลักมาเสิร์ฟค่ะ
เนื้อมาบนถาดเหล็กบางๆ ซอสเป็นสีเขียวสดเสียน่าตกใจ
ได้ยินว่าตัวซอสมีเนยเยอะมาก เลยต้องตั้งเตาร้อนไว้เพื่อไม่ให้จับเป็นไข พอวางปุ๊บนี่เดือดปุดๆ เลยค่ะ
สเต็กเนื้อ Trimmed Entrecote Steak เราสั่ง medium ค่ะ มาออกสีแดงๆชมพูๆ มาเลย
แต่ด้วยความที่เป็นจานร้อน เนื้อก็จะสุกขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าใครชอบแบบสุกน้อยอาจจะต้องรีบกินก่อนที่จะสุกไปค่ะ
ส่วนเราที่ตอนแรกมารู้สึกว่าแดงไปหน่อย ชิ้นหลังๆ ก็รออีกนิดจนสุกพอดีที่ถูกใจค่ะ
ตัวเนื้อกัดแล้วก็นุ่มดีนะคะ แต่ไม่ฉ่ำเท่าที่คาดหวังไว้
แม้แต่ชิ้นที่ทานตั้งแต่ยังแดงๆ ตอนที่เพิ่งเสิร์ฟก็ยังไม่ได้นุ่มฉ่ำเท่าที่ควรค่ะ
สำหรับรสชาตินั้นชอบที่ไม่ได้ปรุงอะไรมาจนรสจัด บางที่ชอบหมักมาเค็มเกินไป
ที่นี่เนื้อมารสอ่อน แต่ทีเด็ดอยู่ที่ซอสค่ะ
ซอสสีเขียวที่มาด้วยกันรสชาติออกอมเปรี้ยว ได้กลิ่นกระเทียม รสมัสตาร์ด และเข้มข้นด้วยเนย
ตอนแรกเห็นรสชาติน่าสนใจเลยแอบถามอยู่เหมือนกันค่ะว่าใส่อะไรบ้าง คุณบริกรตอบยิ้มๆว่าเป็น secret sauce ค่ะ
กลับมาเลยลองค้นดู เห็นทางร้านเรียกว่า ‘pièce de résistance’ บอกว่าเป็นซอสสูตรพิเศษ ที่มีต้นตำรับมาจาก “Cafe de Paris” ที่เจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ที่เก่าแก่เปิดตั้งแต่เมื่อปี 1940 เลยเชียว
ซอสให้มาเยอะสาแก่ใจมาก เราชอบซอสสูตรนี้มาก พอเนื้อหมดก็เอาขนมปังที่เหลือ เอาเฟรนช์ฟรายมาจิ้มทานต่อค่ะ
Golden French Fries ที่นี่ชื้นเล็กบาง กรอบนอกนุ่มใน แต่ว่าไปก็ทำมากรอบไม่สม่ำเสมอเท่าไรนะคะ บางชิ้นก็กรอบจนแข็ง บางชิ้นก็อ่อนปวกเปียกไร้ความกรอบ เราก็เอาชิ้นนุ่มๆ มาจิ้มซอสค่ะ ไหนๆ ก็จะแฉะอยู่แล้ว ชิ้นที่กรอบพอดีก็กินเพลินๆ ค่ะ
มาต่อที่เนื้อแกะบ้างกับเมนู Le Cotes d’Agneau - Lamb chops
ชอบแกะที่นี่นะคะ ชอบมากกว่าเนื้ออีก
แกะที่นี่มีส่วนที่เป็นมันติดมาพอประมาณค่ะ เคี้ยวเข้าไปแล้วนุ่มมม มันแทรกเข้าไปในทุกอณู กลิ่นสาบนิดๆ แต่ถือว่าน้อยมากแล้วค่ะ
ถ้าจะให้ติก็มีแต่ว่ามาชิ้นเล็กบางไปหน่อยค่ะ รู้สึกว่าไม่คุ้มราคาไปนิดนึง
แต่ถามว่าถ้าต้องกลับมาจะสั่งอีกไหมก็คงสั่งอีกค่ะ เพราะทำแกะได้อร่อยกว่าอีกหลายๆ ที่ที่ได้ไปชิมมา
ทานเสร็จคุณบริกรก็มาถามว่าจะเติมฟรายไหม แต่เรากลัวอดทานของหวานค่ะ เลยไม่เติมฟรายแม้ที่นี่จะเติมได้เรื่อยๆ ก็ตาม
อ่อ คุณพ่อบอกว่าไวน์แดงที่เลือกมาก็เข้ากับเนื้อได้ดี อร่อยสมราคาต่อแก้วที่ไม่แพงมากค่ะ
เมนูขนมหวานที่นี่ยาวเหยียด น่าทานหลายอย่างมากๆ เลย
ภาพไม่ชัดเลยต้องขอโทษด้วยนะคะ
ระหว่างที่กำลังตัดสินใจเลือกของหวานก็เหลือบไปเห็นเมนูชีสค่ะ
ด้วยความที่ชอบชีสมากเป็นทุนเดิมและร้านนี้ดูดีเลยคิดว่าน่าจะเลือกชีสได้น่าสนใจเลยลองสั่งมาดูค่ะ
ถ้าสั่งชีสเฉยๆ ก็จะเป็น Assiette de Frommage (385B) แต่เห็นมี cheese plate แบบที่มาคู่กับพอร์ตไวน์ Assiette de Frommage avec un verre de Porto (480B) คุณพ่อเลยสั่งมาลองค่ะ เห็นบอกว่าหวานน้อยและเข้ากับชีสได้ดี
ชีสที่มาตัวชีสแข็งเป็น Guyere ชีสแบบนุ่มเป็น Brie และ มี Blue cheese ด้วยค่ะ
เสิร์ฟคู่กับ องุ่น แอปเปิ้ล วอลนัท และ แครกเกอร์สามชนิด
ตอนแรกเราก็ร้อรอค่ะ นึกว่าบริกรจะอธิบายว่ามีชีสอะไรบ้าง แต่อันนี้ไม่มีพูดอะไรเลยค่ะ วางแหมะแล้วก็ไปเลย
เราก็เมียงๆ มองๆ รอ แต่ก็ไม่มีใครดูสนใจก็เลยว่าชิมเองดีกว่า
Guyere รสออกขมนิดๆเป็นเอกลักษณ์ เดาได้ทันทีค่ะ
แต่ Brie ที่นี่กลิ่นอ่อนมากจนแทบไม่มีกลิ่น
แถม soft cheese ก็มีหลายแบบเลยไม่ค่อยแน่ใจ
ในที่สุดก็เลยกวักมือเรียกบริกรมาถามค่ะ
เค้าก็บอกว่าเป็น Guyere Brie และ Blue cheese ค่ะ แต่ไม่ได้ขยายความต่อว่ามาจากไหนอย่างไร
คิดว่าถ้าถามคุณเจ้าของร้านอาจได้คำอธิบายละเอียดกว่านี้มั้งคะ แต่เห็นเดินทักทายตามโต๊ะต่างๆ อยู่ จังหวะไม่พอดีกัน เลยเกรงใจ ตอนเนื้อลงเค้าก็มีมาถามค่ะว่าใช้ได้ไหม อะไรอย่างนี้
Blue cheese ที่นี่กลิ่นแรงค่ะ คนไทยหลายๆ คนอาจไม่ค่อยชอบที่กลิ่นจัดมาก แต่เผอิญตัวเองชอบทาน blue แบบจัดเต็มเลยถูกใจเป็นพิเศษค่ะ
ตัวแครกเกอร์อร่อยอยู่สองแบบ แบบกลมๆ นี่ออกหวานมากไปค่ะ ทานแล้วไม่เข้ากับชีสเลย
อ่อถ้าจะติจานนี้คิดว่าให้ guyere ชิ้นใหญ่มากมาสองชิ้นนี่กินค่อนข้างลำบาก มันเลี่ยนค่ะ ถ้าจะใจป้ำ เพิ่มชนิดให้หลากหลายแล้วลดขนาดชิ้นลงได้จะดีมากเลยค่ะ
สรุปว่าชีสคุณภาพใช้ได้แต่ร้านนี้คงไม่ใช่ร้านแบบที่จะมีพิถีพิถันเรื่องชีสขนาดที่ว่าคัดชีสแปลกๆ หรือใส่ใจกับที่มาที่ไปเหมือนกับบางร้านที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านชีสโดยเฉพาะเป็นคนเสาะหาและอธิบาย
เคยไปบางที่ ไม่ใช่แค่บอกว่าชีสนมวัวนมแพะนะคะ บอกไปถึงเมือง ถึงฟาร์มที่ทำชีสมาเลยก็มีค่ะ อย่างนั้นนี่ถูกใจมากๆ
กินชีสชิ้นโตกันไปเลยอิ่มจัด ไม่สามารถกินขนมหวานต่อได้ คงต้องอดใจไว้ครั้งหน้า เสียดายจัง
สรุปร้านนี้บรรยากาศดี บริการใช้ได้ คุณเจ้าของร้านเดินวนไปวนมาถามความเรียบร้อยอยู่เนืองๆ
การที่มีแค่สามเมนูทำให้ไม่รู้สึกอยากกลับมาอีกบ่อยๆ เหมือนอีกหลายๆ ร้านที่รู้สึกว่ามีทางเลือก มาได้อีก
โดยรวมเนื้อและแกะคุณภาพดี ซอสเด็ดจริง และราคาสมเหตุสมผลค่ะ
หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยในการตัดสินใจของหลายๆ คนที่ยังรีๆรอๆ ว่าจะไปชิมร้านนี้ดีหรือเปล่า
คิดว่าควรจะไปอย่างน้อยสักครั้งค่ะ ไปลองชิมซอสสูตรเด็ดเขาดู ไหนๆ ก็ตั้งราคาได้พอเหมาะ ไม่โหดร้ายจนเกินไป ทานได้สบายใจค่ะ
***
ติดตามรีวิวท่องเที่ยวและตามชิมอาหารร้านอร่อยไปกับเราได้ที่
www.facebook.com/FoodiesJournie
&
พร้อมทั้ง IG, Twitter, Pinterest "FoodiesJournie" นะคะ