ตะลุยแดนมัมมี่ IV วิหารแห่งองค์ฟาโรห์...สู่ชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร์
หลังจากพาชมวิหาร Deir al-Bahri (เดียร์ อัล บาห์รี) อันเป็น Funerary temple ของฟาโรห์หญิง Hatshepsut (ฮัทเชปชัท) กันไปเรียบร้อยในตอนที่แล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อจะไปชม Funerary temple ที่โด่งดังของเมืองลักซอร์อีกที่หนึ่งนั่นก็คือวิหารฮาบูค่ะ
อ่านตอนก่อนได้ที่
"ตะลุยแดนมัมมี่ I ชมพีระมิดเมือง Dashur - Saqqara ตื่นตากับพิพิธภัณฑ์เมือง Memphis"
"ตะลุยแดนมัมมี่ II สัมผัสความอลังการของพีระมิดแห่งกิซ่า...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก"
"ตะลุยแดนมัมมี่ III ชมวิหาร Deir al-Bahri วิหารของฟาโรห์หญิงผู้เกรียงไกร"
วิหารฮาบูเป็น funerary temple ของฟาโรห์ Ramses III (รามซิสที่สาม)
ด้านนอกของวิหารดูเล็กๆโทรมๆจนเราไม่แน่ใจว่าจะเจออะไร ผ่านประตูแรกเข้าไปเท่านั้นแหละ ถึงได้ตะลึงกับความสวยงามและยิ่งใหญ่ของวิหารแห่งนี้
รูปสลักในวิหารนี้ทั้งหมดชัดเจนมากเพราะเป็นรูปสลักลึกแบบที่เรียกว่า sunk relief และเป็นเหตุผลที่วิหารนี้คงเหลืออยู่ในสภาพดียิ่ง
ประตูด้านหน้าของวิหารนั้นมีสามช่อง นับเป็นประตูแบบพิเศษที่เห็นได้ไม่มากนักในอิยิปต์ เพราะปกติแล้วจะมีช่องประตูเดียว
การออกแบบพิเศษที่คาดว่าได้มาจากอิทธิพลของชาวทะเลซึ่งหมายถึงชาวตุรกีและ ชาวปาเลสไตน์ และที่มีหลายๆช่องก็เพื่อว่าจะได้เอาศีรษะศัตรูที่ตัดมาได้จากการรบมาห้อย โชว์ กึ๋ยยยย
เมื่อผ่านประตูใหญ่ที่เรียกว่า pylon (ไพลอน) นี้เข้าไปก็จะเจอกับอีกหลายห้องต่อกันเป็นชั้นๆ กั้นด้วยประตูแบบนี้ไปเรื่อย มีรูปปั้นและรูปสลักอีกมากมาย
ห้องท้ายๆของวิหารนี้เต็มไปด้วยเสาต้นใหญ่ยักษ์สลักเสลางามวิจิตร ที่เสาเหลือแต่ตอเพราะนายกโมฮัมมัดอาลีสั่งตัดไปทำฐานโรงงานน้ำตาลตอนเศรฐ กิจอ้อยกำลังบูม ฟังแล้วของขึ้นมากๆ เสาพันปีเอาไปทำเป็นฐานโรงงาน น่าเสียดายจริงๆ ค่ะ
ที่เห็นว่า Funerary temple แต่ละแห่งนั้นยิ่งใหญ่ตระการตานั้นมีที่มาที่ไปค่ะ
Funerary temple เป็นวิหารที่องค์ฟาโรห์ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ถึงแม้ฟาโรห์แต่ละพระองค์จะสร้างวิหารเพื่อบูชาเทพเจ้าและเฉลิมฉลองเกียรติยศของตนมากมายเพียงไรก็ได้ตามใจ แต่จะมี funerary temple ได้เพียงวิหารเดียวเท่านั้นเพราะจะใช้เป็นที่ทำมัมมี่ของฟาโรห์
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ funerary temple จะได้รับการเอาใจใส่ในการสร้างเป็น พิเศษเพราะเป็นสถานที่สำคัญในการเตรียมองค์ฟาโรห์ให้พร้อมต่อชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร์ กรรมวิธีทำมัมมี่นั้นยุ่งยากและละเอียดอ่อน ทุกอย่างต้องอาศัยความพอดีเพื่อให้ศพนั้นคงสภาพไว้ได้ กระบวนการก็มีทั้งควักเครื่องในออกมา ชำระล้าง ชโลมน้ำมัน ห่อผ้า ตากแห้ง ฯลฯ ซึ่งกรรมวิธีนั้นสลับซับซ้อนจน กระทั่งแม้เวลาผ่านมาหลายพันปีเทคโนโลยี ปัจจุบันก็ไม่สามรถเลียนแบบได้แม้จะมีคนพยายามทดลองแล้วก็ตาม ในยุคนั้นนักบวชจะเป็นผู้ประกอบพิธี ถ้าศพนั้นเป็นศพของผู้มีอันจะกินก็ จะผ่านกระบวนการทำมัมมี่นี้นานราวเจ็ดสิบวัน ส่วนคนที่ฐานะปานกลางจะทำราวสามสิบห้าวันโดยการรักษาสภาพก็จะไม่ดีเท่าแบบนานๆ
นอกจากตัวกระบวนการเองแล้ว สภาพแวดล้อมก็เป็นปัจจัยเสริมในการรักษาสภาพมัมมี่ด้วย โลงศพที่ใช้จึงมักจะทำจากหินแกรนิตซึ่งเป็นฉนวนควบคุมอุณหภูมิอย่างดี ถึงแม้ภายนอกจะร้อน แต่ภายในโลงจะยังคงเย็น คงคล้ายๆกับการเก็บแช่ไว้ในตู้เย็นดีๆนี่เอง
มาชมตัววิหารกันต่อบ้าง
ฟาโรห์รามซิสที่สามนี้เป็นนักรบผู้กล้าแกร่งและเหี้ยมโหด ในรูปสลักจะมีรูปที่ท่านกำลังจะตัดหัวศัตรูอยู่มากมาย โดยเปลี่ยนลักษณะของศัตรูเป็นรูปร่างหน้าตาของชนชาติต่างๆไปเรื่อย แสดงถึงว่าท่านได้ชนะทุกชนชาติเหล่านั้น
นอกจากข้างผนังถ้ามองดูข้างบนบ้างก็จะเห็นเป็นรูปนกกางปีกอยู่เหนือช่องประตู นกนี้คือนกแร้งสัญลักษณ์ของเทพีเนคเบ็ตผู้พิทักษ์อิยิปต์บน ซึ่งในที่นี้สื่อความหมายว่าพิทักษ์รักษาวิหารแห่งนี้ ภายในวิหารนั้นยังมีรูปปั้นสิงโตซึ่งเป็นตัวแทนของเทพีเซคเม็ต เทพีแห่งสงครามคอยอวยพรให้มีชัยชนะเหนือข้าศึกศัตรูอีกด้วย
ถัดจากวิหารฮาบูสุดประทับใจเราก็ไปดู Valley of the Kings (สุสานกษัตริย์) และ Valley of the Queens (สุสานราชินี) กันต่อ
เนื่องจากฟาโรห์ต่างกังวลกับชีวิตหลังความตายของตน เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ปุ๊บ สิ่งแรกที่ฟาโรห์มักจะสั่งให้ดำเนินการ ก็คือการสร้างพิรามิดหรือสุสานไว้รอท่าเพื่อว่าตายเมื่อไหร่จะได้เป็นที่ฝังมัมมี่และสมบัติล้ำค่าต่างๆไว้ใช้หลังคืนชีพ เมื่อฟาโรห์ตายลงแล้วช่างก่อสร้างก็จะมีเวลาต่ออีกเจ็ดสิบวันเท่ากับระยะเวลาทำมัมมี่เท่านั้นในการเตรียมพร้อมเพราะเมื่อมัมมี่ เสร็จจะต้องถูกนำไปฝังในโลงศพแล้วปิดผนึกทางเข้าทันที จึงพบว่าในหลายๆสุสานการตกแต่งก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี คาดว่าเป็นเพราะฟาโรห์จากไปอย่างกระทันหันก่อนที่ช่างจะเตรียมได้เสร็จนั่นเอง เสียดายที่เค้าห้ามไม่ให้ถ่ายรูปจึงไม่ได้รูปถ่ายความสวยงามและสภาพอันเกือบสมบูรณ์ของสุสานเหล่านี้มาฝาก
จากนั้นเรายังได้แวะทั้ง Tombs of the Nobles (สุสานขุนนาง) และ Tomb of the workers (สุสานคนงาน) อีกด้วย สุสานของคนงานนั้นทำจากหินปูน รูปภายในก็จะเป็นชีวิตประจำวันมากขึ้น มีรูปสมาชิกครอบครัวให้เห็น
คนงานเหล่านี้ไม่ใช่ทาส ฟาโรห์ให้ความเป็นอยู่พวกเขาดีพอควรโดยสร้างคอมเพล็กซ์ให้มาอยู่ ในหุบเขาใกล้กับที่ตั้งของสุสานฟาโรห์ให้เดินทาง ไปทำงานสะดวกอีกทั้งยังส่งอาหารมาเลี้ยงดู
ช่างฝีมือเหล่านี้ทำงานราววันละสิบชั่วโมงแต่มีวันหยุด พวกเขามักจะใช้วันหยุดเหล่านี้สร้างสุสานของตนเองเตรียมไว้หลังความตาย ท้ายสุดเรายังอัดโปรแกรมเข้าไปอีกหนึ่งคือวิหารของ Seti I (เซติที่หนึ่ง) พระบิดาของฟาโรห์รามซิสที่สองผู้ยิ่งใหญ่ ตัววิหารค่อนข้างเล็ก ไม่ค่อยมีอะไรมาก รายการสุดท้ายเวลาเหลือ เราก็เลยได้ถ่ายรูปกันอย่างสบายๆ
ไม่น่าเชื่อว่าเราจะอัดรายการกันได้จุใจทั้งๆที่เพิ่งตื่นตั้งแต่ไก่โห่บินมาถึง เราอัดกันแน่นจนข้าวกลางวันไม่ได้กินเลยค่ะ
และแล้วก็จบวันถึกไปได้ด้วยดี เราเข้าโรงแรมใหม่ไปชิล กันอย่างสบายใจ แม้จะเดินกันจนล้าก็ยังมีคนอุตส่าห์มีแรงลงว่ายน้ำในสระว่ายน้ำต่ออีก ฟิตจริงๆ
สระว่ายน้ำของโรงแรมอยู่ข้างแม่น้ำไนล์ซะด้วย วิวสวยมากๆ
ว่ายน้ำกันเสร็จก็ขึ้นมาจิบ pina colada อยู่ข้างสระว่ายน้ำกันคนละแก้ว สุขเกษมเปรมปรีด์กันจริงๆ เย็นย่ำก็ได้ชมวิวเรือใบในแม่น้ำไนล์ตอนพระอาทิตย์ลับฟ้างามๆ
และที่ขาดไม่ได้ปิดท้ายวันก็คือรายการอาหารนั่นเองวันนี้บุกไปร้านที่ Lonely Planet แนะนำอีกแล้วค่ะ
ร้าน นี้ชื่อร้าน Sofra (โซฟรา) ร้านเค้าแต่งได้สวยถูกใจได้บรรยากาศ อาหารอร่อยอย่างที่โลนลี่คุยไว้จริงๆ ทั้งน้ำผลไม้นานาชนิด ฝรั่ง ส้ม เลมอน เมลอน สตอเบอรี่ แพร์ ที่ชอบมากคือโยเกิร์ตใส่น้ำผึ้งและชามินท์
แอพิไทซ์เซอร์ก็จะเริ่มซ้ำๆ เดิมที่ทานมามื้อก่อนๆ คือจะมีขนมปัง ฮัมมัส และมะเขือม่วง
ส่วนเมนคอร์ส เราล่อกันทั้งลูกวัว นกพิราบ กระต่าย เป็ด ไก่ เรียกว่ากินกันครบเลยทีเดียว
ตบท้ายด้วยของหวานเป็นพุดดิ้งข้าวโรยมะพร้าวกับลูกเกด หอมอร่อยมากๆ
จบวันแบบอิ่มใจอิ่มพุงกันแล้วก็ยังได้นั่งแท็กซี่รถม้ากลับโรงแรมด้วย สนนราคาก็เท่ากับรถแท็กซี่ทั่วไป เป็นพาหนะที่ดูดีมีสไตล์มากเลยค่ะ อิอิ
วันต่อไปเราจะพาเที่ยวฝั่งตะวันออกของลักซอร์ ชมวิหารคารนัคอันเลื่องชื่อ อย่าลืมติดตามกันให้ได้นะคะ
เกี่ยวกับผู้เขียน
ปกติแล้วจะเป็นบล็อกเกอร์สายรีวิวอาหารค่ะ ติดตามผลงานได้ที่ www.mevblog.com และเพจ www.facebook.com/mevblog
ซึ่งถึงจะเน้นรีวิวอาหารแต่ก็มีรีวิวท่องเที่ยวต่างประเทศบ้างเผื่อใครสนใจตามไปลองอ่านกัน
ต่อไปคงทยอยเขียนท่องเที่ยวให้มากขึ้นด้วยค่ะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
สำหรับช่องทางอื่นๆ มี IG : FoodiesJournie ที่ผู้เขียนบันทึกอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวจากเรื่องราวประจำวัน
ส่วนของ Mevblog นั้นยังสามารถติดตามได้ทั้ง IG, Twitter และ Pinterest ในนาม “MEVBLOG” นะคะ