ตื่นตากับอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยสุดสร้างสรรค์ฝีมือเชฟชื่อดังพร้อมดื่มด่ำกับดริงค์จากบาร์เทนเดอร์มือรางวัล @Fillets
ได้ยินชื่อเสียงร้าน Fillets มาตั้งแต่ร้านเปิดใหม่ๆ ด้วยความโด่งดังของเชฟแรนดี้ ชัยชัช นพประภา ที่สั่งสมประสบการณ์การทำอาหารจากประเทศอเมริกามาหลายสิบปี
ได้ข่าวว่าเชฟเคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับเชฟระดับโลกหลายท่านรวมถึง เชฟ Hide Yamamoto และ เชฟ Masaharu Morimoto ผู้รั้งตำแหน่งเชฟกระทะเหล็กอเมริกาอีกด้วย ซึ่งทำให้สไตล์ซูชิของเชฟแรนดี้นั้นเป็นแบบร่วมสมัย มีการดัดแปลง เติมแต่ง และใช้วัตถุดิบแปลกใหม่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์น่าสนใจ สร้างความตื่นตาให้คนทานได้อยู่เสมอ ได้ยินอย่างนี้แล้วแน่นอนว่าเราเองก็ต้องไม่พลาดที่จะแวะไปลองชิม
Fillets ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ตึก Portico Langsuan ร้านบรรยากาศเรียบหรูดูทันสมัย
ด้านนอกมีโต๊ะนั่งสบายในโซน dining room มีที่นั่งนิดหน่อยที่ซูชิบาร์ด้านนอก
แต่หากคุณมาทานอาหารแบบ Omakase ก็จะมีห้องอีกห้องแยกเข้าไปด้านในโดยเฉพาะ
ส่วนของบาร์ที่เสิร์ฟ Omakase นั้นจะเป็นเคาน์เตอร์ยาว มีราวแปดที่นั่งเท่านั้น เชฟรับลูกค้าเพียงวันละหนึ่งรอบ
ที่น่าสนใจคือแม้ที่นี่จะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่การตกแต่งก็ยังมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่ แต่ปรับบรรยากาศให้ทันสมัยวัยรุ่นโดยเพลงที่ร้านเปิดนั้นจะเป็นแนวสมัยใหม่ จังหวะเร้าใจ
บาร์ของที่นี่ดูยิ่งใหญ่อลังการมากเพราะนอกจากที่นี่จะดังเรื่องอาหารแล้วยังมีชื่อเสียงในเรื่องดริงค์ด้วย
คุณปิง beverage director ของที่นี่มีดีกรีเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน Mixologist 2012 อีกด้วย จึงไม่แปลกเลยที่ค็อกเทลของที่นี่จะสร้างสรรค์แปลกใหม่รสชาติดีทำให้ใครๆ ติดอกติดใจจนต้องแวะเวียนมาดื่มกันเป็นประจำทำให้ที่ร้านมีบรรยากาศคึกคักทุกค่ำคืน
เชฟแรนดี้กับคุณปิงเองก็ให้ความเป็นกันเองกับลูกค้าทุกท่านและใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เป็นอย่างมาก โดยทางเชฟมองว่าอยากให้อาหารออกมาสไตล์ Modern Japanese Comfort คือแม้จะร่วมสมัยแต่ก็ทานง่ายเข้าถึงได้ในวงกว้าง และให้ตัวร้าน Fillets เป็นที่ที่มาทานกันแบบครื้นเครง ร่วมกันดื่มด่ำกับซูชิอร่อยๆ ในบรรยากาศชิลๆ สังสรรค์กันได้อย่างสบายอกสบายใจแบบไม่ต้องนั่งเกร็งทำตัวเป็นทางการเหมือนร้านญี่ปุ่นอีกหลายๆ ร้าน ส่วนคุณปิงเองก็พร้อมจะชงค็อกเทลรสเยี่ยมและอธิบายประวัติที่มาที่ไปของแต่ละแก้วอย่างสนุกสนานทำให้นอกจากจะได้ลิ้มรสดริงค์สุดอร่อยแล้วยังได้ความรู้กันเต็มเปี่ยม เรียกว่าบรรยายเรื่องที่มาของ Gin & Tonic อย่างเดียวก็ลากยาวกลับไปถึงสมัยทหารอังกฤษในยุคล่าอาณานิคมกันเลยทีเดียว
ว่าแล้วก็มาชิมอาหารกันดีกว่า เห็นเมนูแล้วก็รู้สึกว่ามีอาหารหลากหลายละลานตาจนเลือกกันแทบไม่ถูก
ขอเริ่มกันด้วยเมนูสุดพิเศษเมนูนี้
BONE MARROW (600B)
จานนี้เป็นไขกระดูกวัวอบ ด้านบนโรยมาด้วยหอมแดงทอดกรอบ วาซาบิดอง และ ไข่หอยเม่น มีขนมปัง Brioche แผ่นบางกรอบมาให้ทานคู่กัน
จานแรกก็ขโมยใจไปเต็มๆ เพราะไขกระดูวัวนั้นเป็นเมนูที่หาในเมืองไทยได้ยากแสนยาก แถมทำให้อร่อยก็ยาก
แต่ที่นี่อบมาได้พอดีเป๊ะ ด้านบนเกรียมเล็กๆ โรยเกลือแต่งรสมาได้พอดีๆ ไม่เค็มจนเกินไป
จานนี้เสิร์ฟมาร้อนๆ ตัวไขกระดูกมันๆ ยังมีความเหลวอยู่ พอทานกับหอมซึ่งให้รสหวานและวาซาบิดองที่ให้รสเปรี้ยวเล็กๆ เผ็ดนิดๆ แล้ว มันลงตัวจนบอกไม่ถูก
แถมเชฟ ยังมี uni หอมมัน creamy แถมมา ซึ่งรับรองว่าคุณไม่น่าจะเคยเห็นที่ไหนเสิร์ฟไขกระดูกวัวพร้อมกับไข่หอยเม่นมาก่อน
พอทานกับ Brioche กรอบๆ นี่เคลิ้มสุดๆ เพราะความนุ่มมันละมุนลิ้น จะตัดกับรสสัมผัสกรุบกรอบ ถือเป็นเมนูที่ชนะเลิศในทุกด้าน ทั้ง concept ทั้ง execution
จานต่อมาเป็น signature ของทางร้านคือเมนู UNI-WA (990B)
เมนูนี้เป็นเส้นอูด้งแบบแบนหรือ Inaniwa Udon ผัดกับ uni butter ด้านบนเป็นไข่หอยเม่น เบคอนที่ทางร้านทำเอง เพิ่มความพิเศษด้วยไข่ออนเซนที่พอตัดแล้วไข่แดงก็ไหลเยิ้มเพิ่มความหอมมันเคลือบเส้นอินานิวะจนเงางาม
ตัวไข่ออนเซนนี้ผ่านการ sous vide นานราว 45 นาที จึงออกมาได้ความสุกที่พอดิบพอดีเยิ้มๆ ทั้งไข่ขาวและไข่แดงแบบที่เห็นนี่ละค่ะ
เหมือนเป็น signature ของร้านนี้ไปแล้วกับการแจก uni กันอย่างจุใจในทุกเมนู
จานนี้ก็มีไข่หอยเม่นด้านบน มีผักหลายชนิดให้ความสดชื่น มีดอกไม้หลากสีแต่งแต้มเพิ่มความสวยงามซึ่งแน่นอนว่าทานได้หมดทุกแบบ
ที่ชอบสุดๆ คือการที่เชฟฝน Yuzu zest ลงด้านบนก่อนเสิร์ฟทำให้มีกลิ่นเปรี้ยวๆ หอมๆ ของ yuzu อบอวลทุกคำที่ทาน
Photo Credit: Bell Niphandwongkorn
อาหาร a la carte อีกจานที่ฮิตสุดๆ คือ SASHIMI PIZZA (340B) ที่สีสวยทานง่ายและอร่อยถูกใจทุกคนในโต๊ะแน่นอน
ตัวแป้งนั้นบางกรอบ ด้านบนมีปลาดิบหลากชนิด รวมถึงไข่ปลาแซลมอนสีส้มสวย ไข่ปลาคาร์เบียร์เพิ่มความหรูและรสเค็มนิดๆ รวมไปถึงทีเด็ดที่คิดไม่ถึงว่าจะเข้ากันกับปลาดิบแต่เอาเข้าจริงก็เวิร์คอย่างไม่น่าเชื่อไม่ว่าจะเป็นการใช้ tabasco และ พริกเม็กซิกันฝานบางที่เพิ่มทั้งสีสันและรสเผ็ดจัดจ้านให้กับจานนี้
อีกจานที่มาร้านนี้แล้วไม่ควรพลาดคือ HITSUMABUSHI (1,350B)
จานนี้เป็นข้าวหน้าปลาไหล 3 แบบ
แบบแรกก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ทานข้าวกับปลาไหลแบบปกติเลย
Photo Credit: Bell Niphandwongkorn
พอตักเข้าปาก รสชาติปลาไหลที่เข้มข้นกลมกล่อมก็จะซาบซ่านไปทั่วทุกอณูในปาก
ตัวปลาไหลนุ่มจนเหลือเชื่อ สมแล้วที่ที่ร้านลงทุนนำปลาไหลมาย่างเอง เรียกว่าถ้าไม่มั่นใจในฝีมือจริงๆ ทำไม่ได้นะคะจานนี้
ตัวข้าวเองมีสีน้ำตาลมีรสชาติเข้มข้นในตัวเอง เข้ากันกับเนื้อปลาไหลย่างอย่างพอเหมาะพอเจาะ
แค่นี้ก็อร่อยจะแย่แล้วแต่นี่ยังเป็นเพียงสเต็ปเบสิกเท่านั้นค่ะ
แบบที่สองเราจะทานพร้อมกับเครื่องเคียง คือ ข้าวพองกรอบๆ แตงกวา วาซาบิ และต้นหอม ซึ่งก็จะเพิ่มรสสัมผัสกรุบกรอบ ความเผ็ดหอมของวาซาบิ และกลิ่นต้นหอม ชูรสปลาไหลได้เป็นอย่างดี
และสุดท้าย แบบที่สาม คือใส่เครื่องเคียงตามที่ว่า แล้วเติมน้ำซุปลงไป
ซึ่งตัวน้ำซุปจะเป็นซุปชา หอมอ่อนๆ กลมกล่อม
ทานกับข้าวหน้าปลาไหลรสเข้มข้นก็จะกลายเป็นข้าวต้มปลาไหลชั้นดีที่รสชาติซับซ้อนและมีมิติอย่างน่าทึ่ง
Photo Credit: Bell Niphandwongkorn
จานนี้ถึงจะราคา 1,350 บาทสำหรับจานเดียวซึ่งดูว่าแพง แต่ถ้าเทียบกับรสชาติละมุนละไมและปลาไหลชิ้นโตที่ได้ ถือว่าคุ้มเลยทีเดียวค่ะ
แฟนๆ ปลาไหลเห็นแล้วรีบไปนะคะ เหมาะกับการจงใจไปเพื่อทานจานนี้โดยเฉพาะ
ส่วนใครที่ไปแล้วมีกำลังพลเพียงพอ (ทานคนเดียวน่าจะจุกเกิน) แนะนำมากๆ ให้ลองจานนี้ดูค่ะ
ปิดท้ายกันด้วยเมนูอาหารทานเล่นของชาวประมงหรือ BAKUDAN (620B)
หลายท่านอาจเคยเห็นที่ร้านอื่นๆ กันมาบ้าง แต่คอนเสปท์อาหารทานเล่นของชาวประมงญี่ปุ่นนั้น แต่ละร้านก็ตีความต่างๆกันไป
อย่างของที่นี่จะประกอบไปด้วยปลาหลายชนิดอย่าง toro, uni, ikura หั่นซอยเป็นลูกเต๋าจิ๋วๆ เพิ่มรสชาติหอมมันเค็มด้วย นัตโตะหรือถั่วหมักญี่ปุ่น
หลายๆ คนเกร็งๆ กับ เจ้า nutto ที่ขนานนามกันเสียไม่น่าทานว่าถั่วเน่า ซึ่งใจจริงอยากจะแนะนำว่าอย่าเพิ่งกลัวกันไปก่อน เพราะถึงนัตโตะจะกลิ่นแรง แต่ก็ไม่ได้เป็นกลิ่นที่เหม็นอะไรอย่างที่นึกกลัว แถมพอทานกับวาซาบิดอง ปลาดิบ และ ไข่นกกะทา ก็กลมกลืนกันดี
Photo Credit: Bell Niphandwongkorn
จานนี้วิธีทานจะต้องกวนจนปลาดิบชิ้นเล็กๆ ถั่วหมัก และ ไข่ ผสมกันจนเป็นเนื้อเดียวเหนียวหนืด จากนั้นป้ายลงบนสาหร่ายกรอบๆ โอ้โห อร่อยอย่าบอกใคร
จริงๆ แล้วเราได้ไปลองทาน Omakase Course ของ Fillets (6,500B++) มาด้วยค่ะ
ตอนแรกว่าจะรีวิวด้วยกันทีเดียวแต่ปลาบปลื้มกับเมนู a la carte มากเกินเลยโม้มาเสียยาว
ขออนุญาตยกยอดไปรีวิวไว้ในอีกบทความหนึ่งแล้วกันนะคะ
หวังว่าจะติดตามอ่านตอนต่อไปกันค่ะ
สำหรับวันนี้ สรุปไว้เสียหน่อยว่า Fillets นั้นเต็มไปด้วยเมนูสร้างสรรค์น่าค้นหามากมาย
นอกจากที่เราได้รีวิวไปก็ยังมีอีกหลายจานที่อ่านชื่อแล้วก็ต้องบอกตัวเองว่า ยังไงๆ ก็ต้องกลับมาลองชิมให้ได้
ถึงราคาจะดูแรงไม่ธรรมดาแต่เทียบกับความประทับใจที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าค่ะ
แถมดริงค์อร่อยจริงสมคำร่ำลือ ขนาดตัวเองเป็นคนไม่ค่อยทานแอลกอฮอล์ยังติดใจเครื่องดื่มของที่นี่เลยค่ะ คนชอบค็อกเทลต้องยิ่งฟินแน่ๆ
อย่างไรก็ลองแวะไปชิมกันดูนะคะ เชื่อว่าจะเป็นอีกที่ที่ทำให้คุณอยากกลับไปทานอีกเรื่อยๆ ค่ะ
***
ติดตามผู้เขียนได้ที่ FB page: www.facebook.com/foodiesjournie & website: www.foodiesjournie.com นะคะ