นั่งรถไฟเที่ยวกรุงเทพ ไม่ต้องจ่ายซักบาท ก็เหมือนได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด
สวัสดีเพื่อนๆชาวสนุกดอทคอมทุกคนค่า LittlePoison Gift บล็อกเกอร์มือใหม่ป้ายแดง ขอรายงานตัววันแรกนะคะ ^^*
สำหรับที่เที่ยวแรกที่จะมาแนะนำในครั้งนี้ เราอยากขอเริ่มที่สถานที่ใกล้ๆตัวในกรุงเทพมหานครก่อนเลย…
หลายๆคนอาจคิดว่า วันหยุดสุดสัปดาห์สำหรับชาวกรุง คำว่าเที่ยวและพักผ่อน อย่างดีก็คงจะได้แค่เดินห้าง กินขนม ดูหนัง หรือไม่ก็หาร้านคาเฟ่น่ารักๆนั่งผ่อนคลายให้หายเหนื่อยเท่านั้นใช่ไหมล่ะคะ แต่จริงๆแล้ว อยากบอกว่า กรุงเทพยังมีที่เที่ยวสนุกๆให้ได้ไปสัมผัสอีกมากมายหลายที่เลยค่ะ
อย่างวันนี้ที่จะมาแนะนำกัน คือการเที่ยวโดยรถไฟ ซึ่งไม่ต้องไปไกลถึงไหนเลย เพราะยังอยู่ในเขตกรุงเทพนี่เอง แต่สามารถให้ความรู้สึกประหนึ่งเหมือนได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดเลยทีเดียว รถไฟสายที่ว่านี้ คือ รถไฟสาย “วงเวียนใหญ่ – มหาชัย” ซึ่งให้บริการโดยการรถไฟไทย ที่สำคัญที่สุดจนต้องขีดเส้นใต้และกาดอกจันตัวใหญ่ๆก็คือ รถไฟสายนี้ให้บริการ “ฟรี” สำหรับประชาชนชาวไทยทุกคน เพียงแค่แสดงบัตรประชาชนต่อเจ้าพนักงานเท่านั้น คุณก็จะได้ตั๋วรถไฟฟรีสำหรับใช้เดินทางในครั้งนี้เลยค่ะ…..ปลื้มปริ่มตรงนี้จริงๆ >.<
ก่อนอื่น ต้องขอเล่าย้อนเล็กน้อยว่า การเดินทางในครั้งนี้ เกิดจากเพื่อนสนิทของเรากำลังต้องการทำวีดีโอพรีเซนต์งานส่งอาจารย์ในหัวข้อท่องเที่ยวไทยเชิงอนุรักษ์ เพื่อนของเราเลยเลือกการเที่ยวโดยรถไฟและใช้สถานีวงเวียนใหญ่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางค่ะ ^^
เอาเข้าจริง ก่อนหน้าที่เพื่อนจะชวน เราก็ไม่เคยทราบข้อมูลนี้มาก่อนเลย ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามีสถานีรถไฟอยู่แถววงเวียนใหญ่ ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าจะไปนั่งรถไฟที่วงเวียนใหญ่ ยังเข้าใจเป็นว่าจะให้ไปเจอกันที่สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ซะอีก >.<
ตอนแรกเราตั้งใจกันว่าจะนั่งรถไฟไปจนสุดสายเพื่อเก็บภาพและแวะกินอาหารกลางวันกันที่มหาชัย แต่ด้วยเวลาที่จำกัดมาก เลยตัดสินใจนั่งรถไฟเพียงแค่สั้นๆ และเลือกลงที่สถานี “วัดสิงห์” ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีวงเวียนใหญ่ไปแค่ราวสิบนาที เอาจริงๆตอนแรกเราก็แอบเสียดายที่ไม่ได้ไปมหาชัย แต่สุดท้ายแล้ว อยากบอกว่า การเลือกลงที่สถานีวัดสิงห์ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่แย่เลย เพราะบรรยากาศของวัดและชุมชนโดยรอบ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด ทั้งๆที่จริงๆแล้ววัดสิงห์ยังอยู่ในเขตจอมทองนี่เอง
วัดสิงห์ เป็นวัดเก่าแก่ จากประวัติของวัดได้กล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยมีพระพุทธรูปปางอู่ทอง นั่งขัดสมาธิ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลวงพ่อดำ” เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัดค่ะ เดิมหลวงพ่อดำนี้ได้ถูกประดิษฐานอยู่ในวิหารเก่า แต่ปัจจุบันได้ถูกย้ายมาไว้ในวิหารใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่ประทับใจในวัดสิงห์ก็คือตัววิหารใหม่ที่เพิ่งจะสร้างเสร็จได้ไม่นาน ภายในวิหารสะอาด พื้นหินแกรนิตเย็นสบาย ลมพัดเข้าออกตลอดเวลา พอได้นั่งลงและกราบพระ ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและใจสงบขึ้นในทันทีเลยค่ะ เรานั่งอยู่ในนั้นซักพัก ฟังเสียงบทสวดมนต์และได้นั่งพิจารณาภาพวาดสีน้ำมันตามผนัง แค่นี้ก็รู้สึกเย็นกายเย็นใจ เหมือนได้ชาร์ตแบตและเติมพลังในวันหยุดสั้นๆก่อนที่จะลุยงานต่อในวันรุ่งขึ้นแล้ว
เมื่อเดินออกมาจากวิหาร จะเห็นคลองเล็กๆด้านหลังวัด มีศาลาริมน้ำและมีอาหารปลาขาย ถัดจากศาลาเป็นสะพานข้ามคลองที่ค่อนข้างลาดชัน ภาพนี้เป็นภาพที่เราถ่ายจากบนสะพานนั้นค่ะ
สำหรับขากลับ เราเลือกลงที่สถานีตลาดพลู ซึ่งอยู่ก่อนสถานีวงเวียนใหญ่เพียงแค่สถานีเดียว เหตุผลที่เลือกลงสถานีนี้เพราะเราสืบทราบมาว่า แถวตลาดพลูนี้มีแหล่งของกินอร่อยๆเยอะแยะมากมาย และตอนนั้นท้องก็เริ่มจะร้องแล้ว
เราเลยมาเดินหาของกินกันที่ตลาดพลูค่ะ ซึ่งหนึ่งในร้านอาหารที่เราค้นพบในครั้งนี้คือร้าน “หมี่กรอบจีนหลี สมัยรัชกาลที่ 5 ตลาดพลู” ตอนแรกเลยก็ไม่ได้ตั้งใจจะแวะเข้าไป แต่เป็นคนแพ้อะไรโบราณๆ ย้อนยุคนิดๆ ประวัติศาสตร์หน่อยๆ พอเห็นคำว่า “รัชกาลที่5” เท่านั้นแหละค่ะ เลยสะกิดเพื่อนว่า ลองร้านนี้หน่อยละกัน อยากรู้ว่าหมี่กรอบโบราณจะรสชาติเป็นยังไง และนี่คือเมนูอาหารที่เราสั่งกันในมื้อนี้ค่ะ (จริงๆมีมากกว่านี้ แต่ลืมถ่ายไว้ คือหิวมาก รู้ตัวอีกทีจานก็คลีนหมดแล้วค่ะ >__< )
เราสั่งกันแบบไม่อยากให้อิ่มมาก เนื่องจากยังอยากจะไปลองชิมอาหารอื่นๆในละแวกนี้กันต่อ ซึ่งพอได้ลองกินหมี่กรอบร้านนี้แล้ว ก็ต้องบอกเลยว่ารสชาติอร่อยสมกับเป็นหมี่กรอบโบราณที่ตกทอดมาแต่สมัยรัชกาลที่5 จริงๆค่ะ
พอออกมาจากร้าน เราก็เดินย้อนกลับไปที่บริเวณสถานีรถไฟตลาดพลูอีกรอบ มองไปติดกับทางรถไฟจะมีร้านข้าวหมูแดง ร้านกระเพาะปลาและร้านไอศกรีมไข่แข็งตั้งอยู่รวมๆกัน เราเลยสั่งร้านละหนึ่งเมนู มานั่งกินกันต่อข้างทางรถไฟ กินกันไปคุยกันไป ซักพักรถไฟก็วิ่งผ่านหน้าไปแบบระยะใกล้มากๆ อยากบอกว่ามื้อนี้เป็นมื้อที่อิ่มอร่อยและได้เปิดมุมมองใหม่ๆของกรุงเทพเป็นอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ ^^
และนี่ก็เป็นครึ่งวันง่ายๆที่เที่ยวได้ในกรุงเทพแบบราคาประหยัด แต่ได้บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัดจริงๆ ซึ่งพอได้นั่งบวกลบคูณหารออกมาแล้ว งบที่ใช้ในวันนี้จะมีก็แต่ของกินและค่ารถจากบ้านไปกลับวงเวียนใหญ่เท่านั้น บวกๆกันแล้วไม่เกิน300 บาทเอง ...
งานนี้บอกได้คำเดียวว่า ประหยัดทั้งเวลาและเงินในกระเป๋าแถมได้สัมผัสกรุงเทพในมุมใหม่แบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนด้วย ยังไง สุดสัปดาห์นี้ ลองไปนั่งรถไฟเล่นกันดูนะคะ ^^
ส่วนลิงค์ข้างล่างนี้คือวีดีโอที่เพื่อนเราได้ทำขึ้นค่ะ .... ถ้าใครอยากเห็นทริปนี้แบบเคลื่อนไหวและเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ลองเข้าไปดูตามลิงค์นี้ได้เลยนะคะ...
Credit video: KaiKaiStudio (Pongsathorn Chaiyasap) and Tananya Taweephoncharoen
** มุมเรียนภาษาผ่านการเที่ยว **
เนื่องจากกิ๊ฟเป็นคนชอบเรียนภาษา สำหรับบล็อกท่องเที่ยวนี้ เลยตั้งใจว่าจะสอดแทรกเกร็ดความรู้เกี่ยวกับภาษา ผ่านเรื่องเล่าที่ได้ไปเที่ยวมาทุกครั้ง และสำหรับครั้งแรกนี้ พูดถึงเรื่องรถไฟกันมาตลอดทาง จะไม่นำเสนอศัพท์คำว่ารถไฟก็กระไรอยู่ เราเลยหยิบคำศัพท์คำว่ารถไฟในภาษาจีนกลางมาบอกกันค่ะ ...
รถไฟ ภาษาจีนกลางคือคำว่า 火车 (ฮั่วเชอ) หรือพินอินเขียนว่า huǒchē
คำว่า 火 (ฮั่ว) แปลว่า ไฟ ส่วน 车 (เชอ) แปลว่ารถ รวมกันเรียกว่า ฮั่วเชอ หรือ รถไฟ ตรงตัวตามภาษาไทยเลยค่ะ
ส่วนคำว่า สถานีรถไฟ ภาษาจีนกลางคือคำว่า 火车站 (ฮั่วเชอจ้าน) หรือพินอินคือ huǒchē zhàn
คำว่า 站 (จ้าน) นี้ สามารถนำไปแปะไว้หลังคำอื่นๆที่ต้องการจะบอกว่าเป็นสถานีอะไรได้ด้วยนะคะ
เช่น ป้ายรถเมล์ (สถานีรถเมล์) ภาษาจีนกลางเรียกว่า 公车站 (กงเชอจ้าน ---- กงเชอ คือรถเมล์) หรือสถานีรถไฟใต้ดิน ก็เรียกว่า 地铁站 (ตี้เถี่ยจ้าน ----- ตี้เถี่ยคือรถไฟใต้ดินค่ะ)
วันนี้ลองซอฟๆแค่นี้ก่อนละกันนะคะ และครั้งหน้าค่อยมาดูกันต่อว่า กิ๊ฟจะพาไปเที่ยวที่ไหนและมีคำศัพท์อะไรสนุกๆมาบอกเล่ากันบ้างค่ะ ^^*