Provence & Paris in summer - โพรว๊องซ์ ปารีส เที่ยวเองได้ง่ายๆไม่ง้อทัวร์ ตอน 2
หลังจากครั้งที่แล้วเราได้ไป Carpentras,Aix-en-provence,L’Isle-sur-la-Sorgue กันแล้ว คราวนี้เราจะมากันที่เมือง Sault เมืองสุดน่ารัก ที่เราขอยกมาไว้ในตอนที่ 2 กันค่ะ คนที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก อ่านได้ที่นี่นะคะ ย้อนอ่าน ตอนที่ 1 >> Provence & Paris in summer – โพรว๊องซ์ ปารีส เที่ยวเองได้ง่ายๆไม่ง้อทัวร์ ตอน 1
ถึงเมือง Sault แล้วค่า น่ารักมั้ยคะ?
ไปถึงเมืองก็เดินหาโรงแรมกันต่อ อิอิ
เด็กน้อยชาวโพรว๊องซ์น่ารักมากๆๆ
ไปถึงโรงแรมก็หาทางเดินลงเขาเป็นกิโลไปหาทุ่งลาเวนเดอร์ที่ใกล้ที่สุดกันเลย
และก็เจอทุ่งเล็กๆริมทาง
กระเหรี่ยงบล็อคเกอร์ไทย เพื่อนร่วมทริป 2 คนค่ะ
เย้ๆๆ ทุ่งลาเวนเดอร์ที่โพรว๊องซ์ในฝันยังพอมีให้เห็นบ้าง เราเดินชมกันสองทุ่ง เห็นแบบนี้ก็เสียดายว่าถ้าเรามาเร็วกว่านี้ซักสองสามอาทิตย์ ทุ่งลาเวนเดอร์แถวนี้ก็น่าจะบานสะพรั่งสวยงามกันทั้งหุบเขาแน่ๆ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ ได้แค่ไหนแค่นั้น อุตส่าหดั้นด้นข้ามน้ำข้ามมหาสมุทรมาถึงโพรว๊องซ์ในฝันทั้งที ต้องตักตวงความสุขกันหน่อย
ชนบทฝรั่งช่วงหน้าร้อนนี่มันน่าอยู่ซะจริงๆ อากาศดี ลมโชย แสงงาม มืดช้า เดินผ่านบ้านคนก็เห็นคนออกมานั่งคุยไปจิบไวน์ไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่หน้าบ้านไป ช่างมีความสุขเหลือเกิน
หลังวิ่งดู 2 ทุ่งแล้วก็ต้องเดินขึ้นเขากลับไปเมือง Sault กันอีก งานนี้เหนื่อยมากเพราะตะลอนกันทั้งวันแล้วแต่ก็ชื่นใจ หอมกลิ่นลาเวนเดอร์ หายใจคล่อง อากาศกำลังสบาย บรรยากาศดีสดชื่นมากๆ ทำให้การเดินขึ้นเขาที่คิดว่าไม่ไหวแล้วจนต้องโบกรถ (แต่ไม่มีใครรับ 5555) เลยต้องเดินขึ้นเขากลับมาเดินถึงเมืองได้เองซะงั้น บอกแล้วว่าแรงฮึดก๊อก 234 ของมนุษย์มันมีจริงๆ
กลับมาถึงเมืองก็มืดสี่ทุ่มกว่าแล้ว เดือดร้อนต้องหาอาหารทานกันก่อน ร้านอาหารก็ปิดกันไปแทบหมดโชคดี ที่เมืองทีงานวัดฝรั่ง มีเกมส์ ม้าหมุน รถขับ ร้านขายแซนวิช ขายพิชซ่าให้ได้รองท้องกัน ที่นี่พิซซ่ารถตู้จะขายกันตั้งแต่ถาดล่ะ 8 ยูโรขึ้นไป เราสามคนทานกันคนล่ะสองสามชิ้นก็เกือบอิ่มแล้ว แต่เห็นฝรั่งทานกันคนล่ะถาดเลยนะคะ
ทานเสร็จก็เดินขาลากกลับที่พัก ได้นอนพักซักที สองวันแรกของทริปนี้ทุลักทุเลพอสมควรแต่ได้รสชาติของชีวิตมากมาย ทั้งบินยาวข้ามทวีปแล้วต่อเครื่อง ต่อรถบัส ลงรถเดินหาโรงแรม ต่อแท๊กซี่ ถึงโรงแรม อีกวันก็นั่งรถ ตกรถ ต่อรถกันสองสามต่อ กว่าจะมาถึงเมืองยังไม่ทันพักก็ชวนกันเดินขึ้นลงเขาไปดูลาเวนเดอร์กันอีก แถมทริปนี้มีอุบัติเหตุที่ทุ่งลาเวนเดอร์นิดหน่อย คนสวยมักจะซุ่มซ่ามแบบนี้เสมอ 5555 สรุป โหดมันฮาสนุกสุดๆค่ะ ยิ้ม
แถมของฝากจากโพรว๊องซ์ อิอิ
เมือง Sault น่ารักมาก อยู่บนเนินสูง มองวิวสวยๆของโพรว๊องซ์ได้เต็มตา เป็นเมืองที่ปลูกลาเวนเดอร์เยอะมากๆ เคยอ่านเจอบางเวบบอกว่าเป็น Capital of lavender เลยด้วยซ้ำ แต่พูดแบบนี้อาจจะมีหลายเมืองประท้วงเอาได้นะเนี่ย อิอิ เสียดายที่เราไปถึงกันช้าไปนิด เค้าตัดไปเยอะแล้วเหลือให้เห็นกันไม่กี่แปลงแต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์เที่ยวโพรว๊องส์ชมลาเวนเดอร์ในฝันอย่างสมใจค่ะ แต่แนะนำใครที่อยากจะเที่ยวโพรว๊องส์ให้เช่ารถขับจะดีกว่า และถ้าขับเกียร์แมนน่วลได้จะเช่าได้ถูกมากกว่าเกียร์ออโต้สองสามเท่าเลยนะคะ ซึ่งจริงๆเราก็จองรถเช่าไปแต่มีเหตุขัดข้องติดขัดที่เมืองไทยนิดหน่อย ต้องยกเลิกเช่ารถไป เลยต้องมาเดินลุยทุ่งกันเองแบบนี้
บ้านเรือนหน้าต่างบานประตูของชาวโพรว๊องซ์น่ารักจริงๆ ถูกใจมากๆ
เดินมาหาซื้ออาหารเช่ากันที่นี่ค่ะ ซึ่งเป็นร้านเดียวที่เปิดเช้าและอยู่ตรงหัวมุมถนนใจกลางเมืองเลย
นั่งรถตู้ 2 ยูโร (ถูกมากๆๆ) กลับไปเมือง Carpentras เพื่อขึ้นรถบัสไปเมือง Avignon เมืองมรดกโลกกันต่อเลยจ้า
วิวสวยๆถ่ายจากบนรถ
เมืองน่ารักระหว่างทาง
แผนที่การเดินทางล็อตสอง
Sault - Carpentras - Avignon - Nimes - Avignon - Marseille
หลังจากถึงอาวีญอง Avignon ก็เดินลากกระเป๋าเข้าโรงแรมก่อนเลย ซึ่งโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถเดินลากกระเป๋าแกรกๆซักยี่สิบนาทีก็ถึง หลังจากเช็คอินพักหายใจแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปเมือง Nimes กันเลย
อาวีฐอง Avignon เป็นเมืองมรดกโลกทั้งเมือง เป็นเมืองน่ารักน่าชังจริงๆ
โดยทั่วไปฝรั่งเศสไม่มี Wifi ใช้นะคะ ต้องมาเกาะเอาตามร้านอาหารหรือสวนสาธารณะ ที่นี่ก็มีค่ะ แถมมีโบสถ์สวยดอกไม้สวยๆให้ได้ชมกันอีก
การเดินทางไป Nimes จาก Avignon ทำได้ทั้งรถบัสและรถไฟ เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟเพราะสะดวกรวดเร็วกว่า ใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงเดียว 9.4 ยูโรก็ไปถึง Nimes แล้วค่ะ
เดินไปสนามสู้วัวกระทิง ( Arènes de Nîmes) สัญญลักษณ์ของเมืองกันก่อนเลย ซึ่งเราสามารถเดินไปจากสถานีรถไฟประมาณสิบยี่สิบนาทีก็ถึงแล้วจ้า
ไปถึงอารีน่าแล้วจ้า ยิ่งใหญ่ตระการตาจริงๆ
เมือง Nimes สามารถเดินเล่นได้ทั่ว มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก มุมสวยๆบ้านเรือนสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เดินเล่นเพลินเลยค่ะ
ทริปนี้เป็นทริปที่เดินเยอะที่สุดในสามโลก แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกมากเป็นการเดินทางที่ได้รสชาติมาก เพราะอยู่เมืองไทยจะเที่ยวค่ิอนข้างสบายรถถึงเรือถึงนอนโรงแรมสวยๆเป็นส่วนใหญ่ มาคราวนี้ต้องเดินกันอย่างน้อยวันล่ะ 8 ชม. ไหนจะต้องอันแพ็ครีแพ็ค เดินยกลากกระเป๋านน.รวม 2 ใบ 30 กิโลขึ้นลงรถไฟ รถบัส เมโทรย้ายรร.กันทุกวัน (วงเล็บหน่อยว่าเมโทรฝรั่งเศสแทบจะหาบันไดเลื่อนหรือลิฟท์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนที่จะมาแบกเป้ลากกระเป๋าเที่ยวเองต้องฟิตร่างกายมาพอสมควรนะคะ) ตอนนั้นรู้สึกว่าใช้ร่างเกินลิมิตกว่าชีวิตปรกติไปมากแต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ในการเดินทางไปอีกแบบค่ะ
เดินกลับสถานีรถไฟกลับ Avignon
กลับมาถึงก็วิ่งเปรี้ยวไปที่ Palais des Papes พระราชวังพระสันตะปาปาแห่งอาวีญอง ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1995 ค่ะ
สวยงามอลังการ เดินเที่ยวด้านในถึงกับขนลุกค่ะ
ภายในมีห้องหับที่แสดงส่วนต่างๆมากมาย น่าสนใจทุกห้องเลย
ด้านบนสามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองอาวีญองได้อย่างสวยมากถนัดตา
หลังจากเดินชมพระราชวังของพระสันตะปาปาเสร็จเรียบร้อย ก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขคือเดินเป็นกิโลเพื่อข้ามสะพานไปอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ
เพื่อจะเก็บภาพสะพานอาวีญองทีโด่งดังกัน
เดินกันยาวๆๆเลยค่ะ
แสงสีทองแห่งความสุข
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่โรแมนติกมาก เดินไปไหน หันมองไปมุมใดก็จะเห็นความโรแมนติกทุกองศา ประเทศนี้ไปกันเพื่อนไม่เหมาะแน่ค่ะ เพราะเดี๋ยวจะรักกันเอง อิอิ
ปงแซ็ง-เบเนแซ หรืออีกชื่อหนี่งว่า ปงดาวีญงฝรั่งเศส: Pont d'Avignon) เป็นสะพานที่ก่อสร้างในสมัยยุคกลางตั้งอยู่ในเมืองอาวีญง ประเทศฝรั่งเศส ตัวสะพานตัดผ่านแม่น้ำโรน ข้ามจากฝั่งเมืองไปยังฝั่งขวาของแม่น้ำ ในปีค.ศ. 1669 อุทกภัยครั้งใหญ่ได้ทำลายสะพานเกือบทั้งหมด โดยเสาฐานของสะพานเหลือเพียง 4 เสาจากทั้งหมด 22 เสาแต่เดิม และได้ถูกทิ้งร้างลงถึงปัจจุบัน เลยกลายเป็นสะพานหักกลางแม่น้ำที่สวยงามแปลกตาแบบนี่ค่ะ
ชอบเดินเล่นกับบรรยากาศเลียบแม่น้ำแบบนี้ที่สุดเลย
เก็บภาพไม่ยั้ง อยากเอารูปไปทำโปสการ์ดแจกเพื่อนๆ อิอิ
นั่งเล่นอยู่ตรงนี้นานเลยเก็บมาหลายระยะหน่อยค่ะ ชอบมากๆ
บ๊ายบายโพรว๊อซ์และมาลัลล้าปารีสกันเลยจ้า
สีสวยๆ ขนาดนี้ไม่จบง่ายๆ มาต่อที่ ปารีส ในภาคที่ 3 ได้ที่นี่เราเลยค่ะ >> "ปารีส" เมืองในฝันของทุกคน.. คลิ๊ก