เส้นทางแห่งรักขับทะลุเมฆไปกอดดอยสีชมพูที่ภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า ภูลมโล เขาค้อ ตอนที่ 2
หลังจากตอนที่แล้วเราได้ไปบุกภูทับเบิกกันมาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จะขอพาไปภูหินร่องกล้าและต่อด้วยภูลมโลกันเลยค่ะ
จากภูทับเบิก เราไปภูหินร่องกล้าได้โดยใช้เส้นทาง 2331 แยกตรงด่านค่ะ เส้นนี้สั้นสามสิบกว่ากม. แต่มีบางช่วงทางเสียมากนะคะ เส้นนี้คดเคี้ยวและมีขึ้นเขาลงเขากันพอสมควร พวกเราใช้เส้นทางกันด้วยความระมัดระวังด้วยค่ะ
เราแวะชมโรงเรียนการเมืองก่อนได้เลยค่ะ
จากภูทับเบิก โรงเรียนการเมืองการทหาร อยู่ก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าประมาณ 6 กม.ค่ะ ซึ่งโรงเรียนการเมืองนี้ในอดีตเคยเป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษาตามแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยบ้านฝ่ายพลเรือน บ้านฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายสื่อสาร และสถานพยาบาล รวมทั้งหมด 31 หลังแต่ละหลังเป็นบ้านเล็กๆ ที่มีเพียงแคร่สำหรับนอนและโต๊ะเขียนหนังสือเท่านั้นปัจจุบันบ้านบางหลังก็ผุพังไปตามเวลา ดูบางมุมเหมือนบ้านเล็กใมป่า 100 เอเคอร์วูดเลย ^^
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติแปลกตาและสวยงาม ทั้งยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ เป็นยุทธภูมิสำคัญในอดีต ที่เกิดจากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ภูหินร่องกล้ามีลักษณะภูมิอากาศคล้ายกับภูเขาสูงของจังหวัดเลยเช่น ภูกระดึงและภูเรือ เนื่องจากมีความสูงในระดับไล่เลี่ยกัน อากาศจะหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำประมาณ 4 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่าแม้ในฤดูร้อนอากาศก็ยังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส ปีนี้หนาวจัดจนปรากฏการณ์แม่คะนิ้ง (เหมยขาบ) ให้เห็นกันต่อเนื่องหลายวันเลยค่ะ ไม่ต้องไปขึ้นดอยสูงที่ภาคเหนือที่ไหนถึงจะเห็นแม่คะนิ้งนะคะ ขับรถแ่ค่ห้าหกชม.จากกรุงเทพก็สามารถพบเห็นได้แล้ว พวกเราตื่นเต้นกับอากาศหนาว ตื่นเต้นที่เห็นแม่คะนิ้งแต่คนพื้นที่ที่เค้าอยู่กับมันเป็นระยะยาวเค้าหนาวใจจะขาด น่าเห็นใจค่ะ ใครที่มาเที่ยวแล้วมีพื้นที่ในรถว่างพอก็เอาเสื้อผ้าของเราที่เก็บไว้เฉยๆไม่ได้ใช้ก็สามารถเอามาบริจาคให้ชาวบ้านได้นะคะ
มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ทางด้านประวัติศาสตร์ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์การสู้รบ โรงเรียนการเมืองการทหาร กังหันน้ำ สำนักอำนาจรัฐ โรงพยาบาลรัฐ ลานอเนกประสงค์ สุสาน ทปท. ที่หลบภัยทางอากาศ เป็นต้น และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเช่นลานหินปุ่ม ลานหินแตก น้ำตกหมันแดง น้ำตกผาลาด น้ำตกศรีพัชรินทร์ เป็นต้นค่ะ
(ที่มาส่วนนึงจาก เขา้ค้อ ดอทคอมและ ไทยทริปแพ็คเกอร์ ดอทคอม)
คืนนี้นอนเต็นท์หลังเบ้อเริ่มหลังล่ะ 150 บาทเองค่ะ นอนได้ 2-3 คน ถ้าเอาเครื่องนอนและแผ่นรองนอนไปเองก็จะจ่ายแค่นี้ แต้ถ้าไม่ได้เอาไปทางอุทยานก็มีบริการให้เช่านะคะ ราคาไม่แพง ดูเหมือนผ้านวมผืนล่ะ 50 บาทแต่ถ้าใครมีรถราที่มีเนื้อที่พอที่ขนจากบ้านไปได้ก็จัดไปค่ะ ของเราเองใช้สะดวกใจสบายใจกว่า
ลานกางเต็นท์ที่อช.ภูหินร่องกล้า จัดการดูแลสถานที่ดีและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ร่มรื่นอยู่ใต้ต้นสนสามารถอยู่ได้ทั้งกลางวันกลางคืน ชอบมากๆค่ะ เราเลือกทำเลและไ้ด้เบอร์เต็นท์ไปบอกเจ้าหน้าที่ เค้าจะให้ธงสีแดงมาปักที่เต็นท์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าได้ถูกจับจองไปแล้ว ป้องกันการเดินมุดผิดเต็นท์ได้ อิอิ
ไปกันวันธรรมดา คนน้อยหน่อย สบายมากค่ะแต่จะไปเที่ยวกันวันหยุดก็ได้นะคะ ที่นี่มีเต็นท์ให้บริการเยอะมากๆเลย กางไว้รอเราพร้อมเสมอตลอดเวลา ดีจริงๆ
ช่วงแดดดีๆได้แสงเทพสาดลงเต็นท์อีก
บรรยากาศดีมากๆ
มีเต็นท์ไว้ให้ชาร์ตไฟอีก แต่เค้าจะมีเวลา่ปิดไฟเก็บปลั๊กนะคะแต่ก็ถือว่าสะดวกสบายระดับนึงเลย
1 คืนที่อช.ภูหินร่องกล้า ฝากท้องไว้ที่ร้านรังทองทุกมื่อค่ะ ทา่นไก่ทอดกรอบกันทุกมื้อ ส้มตำก็เย็นกรอบอร่อยมากๆ อาหารราคาไม่แพงรสชาติถูกปากค่ะ รูปนี้เป็นไก่ทอดกรอบจานเล็ก จานล่ะ 80 บาท ทานติดกัน 3 มื้อเลย กลับมาที่นี่อีกช่วงคริสต์มาสก็มาทานอีกจาน สรุปทานไก่ทอดกรอบร้านรังทองไปประมาณ 3 ตัวครึ่งในเวลา 2 อาทิตย์ อิอิ
น้ำตกหมู 80 บาท
กระเพราหมูรสชาติจัดดีค่ะ
เพิ่งทานข้าวกระเพราแหนมครั้งแรกอร่อยจัง วันหลังหาทานอีก ปรกติสั่งแต่หมูไก่
ทานแล้วทานอีก
ตำแครอทอร่อยมากๆค่ะทานกี่ครกก็รสชาติเหมือนเดิม
อนุญาติให้นอนพักพุงแว๊บ เดี๋ยจะชวนไปเดินเล่นชิลล์ (แฮ่ก) ที่ลานหินปุ่ม ลานหินแตก ผาชูธงแล้วจ้า
ลานหินปุ่มอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯไปประมาณ 4 กม. ลานหินปุ่มเป็นลานหินที่อยู่ริมหน้าผา มีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่มเป็นปมกลมมนขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นของคนไข้ของโรงพยาบาล เนื่องจากอยู่บนหน้าผามีลมพัดเย็นสบายอากาศระบายได้ดี สูงและเสียวค่ะ คนที่กลัวความสูง หลีกเลี่ยงการเข้าไปใกล้ขอบหน้าผานะคะ
เราสามารถขับรถไปได้ค่ะแต่ไปถึงแต่ลานจอด จุดนี้ไม่ต้องเกรงใจกันเพราะต้องเดินกันอีกเป็นกม. แต่ใครที่อยากเดินชมธรรมชาติจะเดินไปจากที่ทำการเลยก็ได้นะคะ เห็นคนเดินอยู่ เหมือนเค้าจะชิลลล์น๊า อิอิ
ใส่ฟิลเตอร์ให้ซักหน่อย ไม่ได้เดินไปช่วงเช้าไม่มีแสงสวยๆเลย
เส้นทางเดินค่อนข้างง่ายไม่ต้องปีนป่ายหรือเดินขึ้นเขาสโล๊ปจัดๆ แต่ก็เรียกเหงื่อได้หอบกันหลายแฮ็กเลยทีเดียวค่ะ และต้องเดินด้วยความระมัดระวัง แนะนำให้ใส่รองเท้านที่กระชับหน่อยเพราะตอนเดินบนลานหิน จะเดินยากซักนิดน่ะค่ะ
ระหว่างทางเราแวะผาชูธงกันหน่อยซึ่งอยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ 500 เมตร (ถ้าวนซ้ายจะถึงก่อนลานหินปุ่ม) ผาชุธงเป็นหน้าผาสูงชันสามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกลสวยงาม โดยเฉพาะภาพวิวพระอาทิตย์ตกดินจะสวยงามไม่แพ้จุดชมวิวอื่นๆเลยแต่เสียดายไม่ได้อยู่รอชมกัน บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ที่ ผกค.จะขึ้นไปชูธงแดง (ฆ้อนเคียว) ทุกครั้งที่รบชนะทหารของรัฐบาลถึงเป็นของคำว่าผาชูธง ตอนนี้ชูธงชาติไทยสวยงามมากค่ะ
หลังจากเดินวนเป็นลูประยะทางซักสองสามกม.และใช้เวลาประมาณชม.นิดๆก็ไปลานหินแตกกันต่อเลย ตั้งใจว่าจะไปชมพระอาทิตย์ตกสวยๆที่จุดชมวิวหน่อยแต่ก็วิ่งไปไม่ทัน
วิ่งกลับไปที่พักดีกว่า
มีเวลาที่ภูหินร่องกล้าน้อย ไม่มีเวลาไปเที่ยวน้ำตกหมันแดงอย่างที่ตั้งใจ และไม่ไ้ด้เห็นทะเลหมอกรวมทั้งไม่ได้รอแสงเช้ายามพระอาทิตย์ขึ้นหรือแสงเย็นตอนพระอาทิตย์ตก เลยเก็บภาพแบบนี้มาฝากกันแทนค่ะ อิอิ
อากาศตอนเย็นที่อช.ภูหินร่องกล้าเย็นมากค่ะ กลางคืนหนาวมาก นอนเต็นท์ต้องห่มผ่ากันสองชั้นแต่ก็ได้บรรยากาศดี ฟิลแบบนี้ยังพอหาได้ในช่วงนี้นะคะ อ้อ ถ้าจะไปพักบ้านพักที่อช.ภูหินร่องกล้าในวันพุธ เค้าจะมีส่วนลดให้ 30% นะคะ บ้านนอนได้สา่มสี่คนลดเหลือไม่กี่ร้อยคุ้มค่ะ ตอนที่ไปก็มีว่างหลังนึงลดจาก 800 เหลือ 560 บาทเองแต่ก็เลือกที่จะนอนเต็นท์กัน
เช้านี้ตื่น 6 โมงเช้า ตื่นเต้นนนนจะไปเที่ยวภูลมโลเป็นครั้งแรก เย้ ฟ้าสวยเป็นใจซะด้วย
ออกเช้าได้เปรียบค่ะ เพราะแสงจะสวยมากและจะขึ้นไปถึงภูลมโลตอนแดดกำลังดี
ภูลมโลเป็นแหล่งปลูกดอกดอกซากุระบานสะพรั่งนับแสนตัน เป็นแหล่งซากุระที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่อ.ด่านซ้าย จ.เลย แต่จะขึ้นไปเที่ยวได้ง่ายจากบ้านร่องกล้าซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการอช.ภูหินร่องกล้าไปไม่กี่กม. ช่วงที่ไปเป็นช่วงอากาศหนาวจัดก่อนปีใหม่ เห็นแม่คะนิ้งได้ทั่วไปเลยค่ะ
ปรกติเห็นแต่แสงเฉียงลง ที่นี่จะเป็นแสงพุ่งขึ้น สวยไปอีกแบบ
บ้านร่องกล้าเป็นจุดที่มีหนาวเย็นที่สุดของอุทยานค่ะ วันที่ไปอุณหภูมิ 4 องศา เค้าว่าอุ่นขึ้นแล้ว
สำหรับคนที่สนใจจะขึ้นไปเที่ยวภูลมโล สามารถเช่ารถกระบะพร้อมคนขับนำเที่ยวของศูนย์ท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านร่องกล้า ค่าเหมารถไปกลับคันล่ะประมาณ 600 บาทเค้าจะพาแวะจอดนำเที่ยวแล้วพากลับมาส่งเลยค่ะ หรือถ้าขับรถ 4WD หรือกะบะิทางวิบากก็เอารถขึ้นไปเองได้ค่ะเพราะตอนนี้ทำทางขึ้นดีมากแล้ว แต่ตอนที่ไปครั้งแรกทางโหดมาก ทางเป็นหินร่องลึกขับยากมากยิ่งกว่าขึ้นป่าปงเปียงที่แม่แจ่มซะอีกค่ะ
ภาพชุดนี้เป็นการขึ้นภูลมโลครั้งแรกช่วงกลางเดือน ธ.ค. ค่ะ
แสงเทพมาก กระโจนลงจากรถแทบไม่ทัน
ถูกที่ ถูกเวลาและมีกล้อง
ไปครั้งแรกทางแย่ค่ะ ตรงนี้ถือว่าดีแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ต้องห่วงนะคะ ทางดีขึ้นมากแล้ว
ช่วงกลางเดือน ธ.ค. ดอกนางพญาเสือโคร่งบานราว 20% ต้องเจาะเก็บภาพเป็นต้นๆเอาค่ะ
แม้ยังบานน้อยแต่ก็ตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของแปลงนางพญาเสือโคร่งทีนี่มากค่ะ มองไปแล้วจินตนาการตามไปด้วยว่าเมื่อถึงกลางเดือนนี้ทีนี่จะสวยงามเป็นสีชมพูหวานไปทั้งดอยได้ขนาดไหน
มุมมหาชน มาครั้งแรกไม่รู้ว่ามีทาก เตรียมตัวไม่ทันแถมแต่งตัวล่อแหลมล่อทากมากๆ แ่ต่ก็รอดมากได้ เดี๋ยวไปดูกันว่ากลับมาภูลมโลอีกครั้งมาเรียจะเยอะขนาดไหน อิอิ
จริงๆตอนนี้ข้างบนภูลมโลยังไม่พร้อมที่จะรับนักท่องเที่ยวแบบค้างคืนนะคะ มีห้องน้ำและมีลานกางเต็นท์แต่คิดว่ายังไม่เพียงพอถ้าพวกเราขึ้นไปพร้อมๆกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆนะคะ แต่ทางททท.และอบต.กำลังพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ต่อไปเราคงได้ขึ้นไปไปนอนเต็นท์พร้อมห้องน้ำที่สะดวกสะบายมากขึ้นแน่นอนค่ะ
ยอดเขาด้านหลังคือภูลมโลค่ะ แต่ไม่ได้ปีนขึ้นไป สงสารสังขารตัวเอง อิอิ ไปถึงแต่จุดกางเต็นท์ด้านบนแค่นั้นค่ะ
ตอนหน้าจะพาไปชมภาพจากการไปภูลมโลครั้งที่ 2 ช่วงวันคริสต์มาสค่ะ ไปชมกันว่าดอกนางพญาเสือโคร่งบานเพิ่มอีกแค่ไหน จากนั้นไปต่อกันที่เขาค้อเลยค่ะ
ติดตามชมตอนต่อไปได้ที่ http://travel.sanook.com/blog/?p=50935