Provence & Paris in summer - โพรว๊องซ์ ปารีส เที่ยวเองได้ง่ายๆไม่ง้อทัวร์ ตอน 1
สวัสดีค่ะ มาเรียชวนเที่ยวอีกแล้ว คราวนี้ชวนโกอินเตอร์ไปยังจุดหมายในฝันตลอดกาลคือโพรว๊องซ์ ฝรั่งเศสในช่วงหน้าร้อน 7 วัน 6 คืนเที่ยวเองจริงเหนื่อยจริงกันค่ะ (จริงๆต้องมีทัสคานี่ที่อิตาลีด้วย แต่เวลาจำกัดต้องเลือกซักที่ก่อนล่ะกัน อิอิ) จริงๆอยากจะแบ่งรีวิวออกเป็นตอนๆเพราะรูปเยอะมาก แต่กลัวจะไม่กลับมาตามกันต่อเลยจะขอรีวิวยาวย้วยรวดเดียวจบเลยล่ะกันค่ะ
สวัสดีค่ะ มาเรียชวนเที่ยวอีกแล้ว คราวนี้ชวนโกอินเตอร์ไปยังจุดหมายในฝันตลอดกาลคือโพรว๊องซ์ ฝรั่งเศสในช่วงหน้าร้อน 7 วัน 6 คืนเที่ยวเองจริงเหนื่อยจริงกันค่ะ (จริงๆต้องมีทัสคานี่ที่อิตาลีด้วย แต่เวลาจำกัดต้องเลือกซักที่ก่อนล่ะกัน อิอิ) จริงๆอยากจะแบ่งรีวิวออกเป็นตอนๆเพราะรูปเยอะมาก แต่กลัวจะไม่กลับมาตามกันต่อเลยจะขอรีวิวยาวย้วยรวดเดียวจบเลยล่ะกันค่ะ
การเดินทางไปฝรั่งเศสหน้าร้อนเป็นอะไรที่พิเศษสุด แม้ต้องผจญภัยกับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลเพราะเป็นช่วงพีคของเค้า จะเข้าชมอะไรที่ไหนก็ต้องเข้าคิวกันยาวมากๆๆโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในปารีสเช่นการขึ้นหอไอเฟล เข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ หรือเข้าชมพระราชวังแวร์ซาย แต่การเที่ยวหน้าร้อนก็ทำให้เราได้พบกับทุ่งลาเวนเดอร์อันสวยงาม แต่งตัวก็สบายๆเหมือนอยู่บ้านเรา และกลางวันยาวกว่าจะมืดก็สี่ทุ่ม ได้เที่ยวกันยาวคุ้มแน่นอนค่ะ
ทริปนี้ใช้ Nikon D7100 + 18-105 + 55-300 + 10-22 และสำหรับคนที่สนใจจะติดตามหรืออัพเดททริปต่างๆก็ตามไปได้ที่มาเรียแฟนเพจ http://www.facebook.com/MariaNaKlaibaanTrip เหมือนเดิมจ้า
Aix-en-provence
Sault
Avignon
Nimes
Eiffel tower
Cathédrale Notre-Dame de Paris
Musée du Louvre
Château de Versailles
Arc de triomphe
ทริปนี้ถือว่าต้องฉุกละหุกมาก ขอยืนขอวีซ้าแบบด่วนวันพุธบ่าย ได้หนังสือเดินทางคืนมาวันศุกร์ เดินทางวันอาทิตย์เช้า หายใจหายคอกันแทบไม่ทัน ต้องขอบคุณผู้ประสานงานทุกท่านที่ทำให้ได้วีซ่าเชงเก้นฝรั่งเศสที่ว่ายากภายในชั่วข้ามคืน จุ๊บๆ ส่วนวิธีการยื่นขอวีซ่าให้ทำออนไลน์ที่ https://www.tlscontact.com/th2fr/login.php?l=th ได้เลยค่ะ และการขอวีซ่าฝรั่งเศสต้องทำประกันการเดินทางทุกคนนะคะ ทำกับที่ไหนก็ได้ เลือกแผนคุ้มครองตามสะดวก เราเลือกคุ้มครองแบบเบสิคที่สุด คุ้มครอง 8-10 วันจ่ายไปแค่ 477 บาทเองค่ะ
หลังจากได้วีซ่าและมีตั๋วแล้ว เราสามารถเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าง่ายๆภายใน 30ชม. โดยเข้าไปเช็คอินจากเวบของแอร์ฟรานซ์ www.airfrance.co.th หรือมาเช็คอินที่เครื่องอัตโนมัติที่สนามบินได้เลยค่ะ
และมีข่าวดีคือตอนนี้แอร์ฟรานซ์มีโปรโมชั่น Ready, set, go ไปปารีสด้วยราคาไม่ถึงสามหมื่นด้วยนะคะ สำหรับเดินทางภายในวันนี้ - 31 ธันวาคม 2556 สำรองที่นั่งออนไลน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 2 ตุลาคม 2556 ดูรายละเอียดเมืองต่างๆได้ที่ http://alturl.com/6z8xt หรือติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นอื่นๆได้ที่ http://www.facebook.com/AirFrance ได้เลยค่ะ
พอเช็คอินจากเวบล่วงหน้า 30 ชม.แล้ว ถึงวันเดินทางก็มาโหลดกระเป๋าน้ำหนัก 23 กิโลในวันเช็คอินสบายๆเลยค่ะ
นั่งดูทีวี เล่นเกมส์ อ่านหนังสือและชมวิวดูเมฆดูฟ้าสวยๆ
แป๊บเดียวก็ได้ทานมื้อแรกบนเครื่องกันแล้วค่ะ อาหารรสชาติดีทานง่ายอร่อยดีค่ะ เป็นคนชอบทานชีส ขนมปัง (แต่งานนี้มีเบื่อกันเลย อิอิ) ไปเที่ยวประเทศตะวันตกอยู่สบายเลยค่ะ แถมบินสายการบินฝรั่งก็ดีไปอย่างคือเค้าจะเสริฟ์ไวน์มาพร้อมอาหาร ไม่ต้องขอกันเลย ให้ไม่อั้นแต่ดื่มซักครึ่งขวดก็เมาแอ๋หลับปุ๋ยรอพนักงานมาปลุกทานอาหารว่างมื้อต่อไปแล้วล่ะค่ะ
มีโปรแกรมสอนภาษาฝรั่งเศสแบบเบสิคบนเครื่องด้วย มีทั้งคำทักทายหรือประโยคสั้นๆให้คนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาฝรั่งเศสได้พอเอาตัวรอดระหว่างเดินทางท่องเที่ยวได้บ้าง แถมมีแบบทดสอบให้คะแนนด้วยนะคะ น่ารักดี
เผลอแป๊บเดียวก็จะถึงปารีสแล้ว ได้หม่ำอาหารว่างกันอีกมื้อแล้วค่ะ เย้
12 ชม.บนเครื่อง เผลอแป๊บเดียว ก็ถึงปารีสแล้วจ้า เราต้องไปต่อเครื่องเพื่อไปมาร์กเซย์ Marseille กันต่อเลย
เครื่องจะไปถึง Terminal 2F เดินไปไม่นานก็เจอตม.เราตรวจหนังสือเดินทางกันที่นี่เลยค่ะ
ทริปนี่ค่อนข้างโหดซักนิดเพราะบินยาวต่อไปมาร์กเซย์ Marseille เลยเพื่อจะได้ประหยัดเวลาถึงโพรว๊องซ์เร็วๆ กลัวเค้าตัดลาเวนเดอร์ไปหมดจังเลย คราวนี้เราไปโพรว๊องซ์ช้าไปซักนิด เพราะสำหรับการชมทุ่งลาเวนเดอร์อันโด่งดังต้องไปช่วงกลางเดือนกค.จะสวยที่สุดนะคะ ซึ่งกว่าเราจะไปกันก็เกือบกลางเดือนสค.แล้ว เลยต้องหาข้อมูลกันว่ายังมีที่ไหนบ้างที่ยังพอจะเห็นลาเวนเดอร์บ้าง ก็มาทราบว่าจะมีเทศกาลตัดลาเวนเดอร์ที่เมือง Sault เลยคิดว่าถ้าไปถึงก่อนวันที่ 15 ก็ยังพอมีลุ้น หลังจากนั้นก็มาวางแผนการเดินทางค่ะ และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราเลยบินตรงเข้าโพรว๊องซ์ด้วยสายการแอร์ฟรานซ์ที่มีไฟลท์บินตรงกรุงเทพ-ปารีสตอนเช้าเก้าโมงครึ่งไปถึงปารีสหกโมงกว่าและเปลี่ยนเครื่องไปถึงมาร์กเซย์ตอนสองทุ่มกันเลย
ถึง Marseille ประมาณสองทุ่มค่ะ แต่ยังไม่ได้พักนะคะ เพราะต้องออกมารอรถบัสเพื่อไปเมือง Aix-en-Provence กันต่อ ค่ารถไป Aix-en-Provence 7.60 ยูโร ซื้อตั๋วได้ที่คนขับเลยค่ะ
เดินออกมาก็เจอป้ายรถเบอร์ 1 เพื่อไป Aix-en-Provence กันเลย
แผนที่การเดินทางของเราในสองวันแรกของเรา Marseille - Aix-en-Provence - Carpentras - L'Isle-sur-la-Sorgue - Carpentras - Sault
จากสนามบินมาร์กเซย์ เราใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสประมาณ 30 นาทีก็ถึงเมือง Aix-en-Provence แล้ว คืนนี้เราพักที่นีคืนนึงก่อนจะเดินทางไปเมือง Sault ในวันรุ่งขึ้น แต่พอลงจากรถแล้ว ก็มึนเลยเพราะเมืองเงียบมาก ไม่มีรถโดยสารวิ่งเลยและไม่รู้จะไปโรงแรมยังไง เลยเดินลากกระเป๋าไปตามถนนหาโรงแรมกัน ลากไปหลงไปถามไปประมาณครึ่งชม.ก็เริ่มหวั่นไหว เพราะเริ่มมืดแล้วเมืองเล็ก เงียบมาก เลยต้องให้คนแถวนั้นโทรเรียกแท๊กซี่ให้มารับ ยืนรอแท๊กซี่กันตรงนี้เลยค่ะ
เสียค่าแท็กซี่ไป 10 ยูโร ถึงโรงแรมก็เจอเพื่อนอีกคนรออยู่แล้ว เป็นการเดินทางวันแรกที่ยาวนานมาก ตื่นตี 5 เพื่อจะไปเช็คอินไฟลท์ 9 โมงครึ่ง กว่าจะถึงโรงแรมที่ Aix-en-Provence ก็สี่ทุ่มกว่าหรือเวลาประมาณตีสามกว่าเมืองไทย เกือบน็อครอบกันเลยทีเดียว อิอิ อ้อ เวลาที่ฝรั่งเศสจะเร็วกว่าเรา 5 ชม.นะคะ
โรงแรม Campanile Aix-en-Provence Sud - Pont de l'Arc คืนล่ะ 55 ยูโร สะอาดสะอ้านดูดีมากและเป็นโรงแรมเดียวในทริปที่ยังมีแรงถ่ายรูปเก็บไว้ คืนอื่นๆถึงเตียงก็หมดแรงไม่มีรูปเลย อิอิ
จองโรงแรมนี้จาก booking.com ราคาดีและยืดหยุ่นสูง สามารถเปลี่ยนวันเดินทางหรือยกเลิกได้ภายในระยะเวลาที่เค้าำกำหนด แปลนเที่ยวเองใช้ของที่นี่เวิร์คมากค่ะ
ที่นี่ถือว่าเป็นโรงแรมค่อนข้างใหญ่ มีที่จอดรด มีห้องอาหารสะอาดสะอ้านดูดีมากๆ มีอาหารเช้าด้วยแต่เราไม่ไ้ด้จองห้องแบบมีอาหาีรเช้าเลยได้แต่เดินดูเค้าทานกัน อิอิ
ใครที่เช่ารถขับพักที่นี่จะสะดวกมากเพราะมีที่จอดรถเยอะและอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองจนเกินไป ถือว่าโอเคมากๆเลยค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้นก็เรียกแท็กซี่เข้าเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกล เพื่อเข้าไปเดินเล่นชมเมือง (พร้อมกระเป๋าเดินทาง ) ก่อนจะเดินกลับมาขึ้นรถบัสเพื่อไปเมือง Carpentras และต่อไปเมือง Sault อีกที เดินเล่นในเมือง แสงยามเช้านี่มันซ้วยสวย น่าเดินเล่นจริงๆ ยิ่ง่ถ้าสามารถเดินตัวปลิวสะพายแต่กล้องจะยิ่งดีมากๆ แต่บังเอิญเราต้องลากกระเป๋า 2 ใบไปเดินเล่นกับเราด้วย เลยออกจะทุลักทุเลไปซักหน่อย
เมือง Aix-en-Provence เป็นเมืองเก่าเล็กๆที่น่ารักน่าเดินเล่นมากๆ บ้านเรือนสร้างด้วยก้อนหินก้อนใหญ่ ดูทึบๆพอเข้าโซนเมืองเก่า พื้นถนนก็เป็นหิน เดินลากกระเป๋าไปลุ้นไปว่าล้อกระเป๋าชั้นจะอยู่ครบถึงวันกลับมั้ยเนี่ย อิอิ
กระเหรี่ยงไทย ไปไกลทั่วโลกค่ะ เดินลากกระเป๋าไป ถ่ายรูปไป สนุกดี ขำๆ อิอิ
ชมบรรยากาศเมือง Aix-en-provence กันเพลินๆค่ะ
ตลาดขายผลไม้ ข้าวของในเมือง ผักผลไม้สดน่าทานไปซะทุกอย่างเลย
บ้านเรือนน่ารักเชียวค่ะ มีซอกซอยให้ได้สำรวจมากมาย แต่เวลามีจำกัดต้องรีบกลับไปขึ้นรถบัสเลยเก็บภาพมาได้นิดหน่อย
เรานั่งรถไปถึงเมือง Carpentras ค่ารถ 14.2 ยูโรและต้องต่อรถไปเมือง Sault (ค่ารถตู้ 2 ยูโร) ตอนเที่ยง แต่เราอ่านตารางรถผิด ไม่ได้ดูวันซึ่งระบุไว้เป็นภาษาฝรั่งเศส วันที่ไปดันไม่มีรถตอนเที่ยง มีอีกเที่ยวก็หกโมงเย็น งานเข้าเลยทีเลย เอาไงดีล่ะ จะฆ่าเวลายังไงอีก 6 ชม. แล้วไปถึงจะทันดูลาเวนเดอร์มั้ย?? ก็คุยกันสรุปว่า เราทำอะไรกันไม่ได้ ออกไปหาเมืองเที่ยวกันดีกว่า เลยมาลงเอยที่เมือง L'Isle-sur-la-Sorgue (เรียกสั้นๆว่าลาซอร์) เมืองเล็กๆน่ารักที่เราเพิ่งนั่งรถบัสผ่านไปตะกี้ อิอิ
ภายในโบสถ์ประจำเมือง สวยงามมากๆๆๆ
โรงแรมน่ารักมากๆๆในเมืองที่เล็งเอาไว้ ถ้ากลับมาที่นี่อีก จะขอพักที่นี่ล่ะจ้า
ได้อารมณ์โพรว๊องซ์มากๆ
ล็อบบี้จ้า
ห้องอาหารในโรงแรมก็เก๋
ท้องฟ้าหน้าร้อนนี่มันแจ่มจริงๆ
หลังจากแยกย้ายเดินเที่ยวชมบรรยากาศท่องเที่ยวที่คึกคักของเมืองนี้กันพอสมควร ก็นั่งรถบัสกลับมาที่เมือง Carpentras (ค่ารถเที่ยวล่ะ 2 ยูโร) เพื่อกลับมารอรถเพื่อไปเมือง Sault จุดหมายของเรากันอีกครั้ง
ใช้เวลานั่งรถตู้ไปเมือง Sault ประมาณชั่วโมงนึง ระหว่างทางผ่านเมืองเล็กๆน่ารักหลายเมืองและทิวทัศน์สวยงามของโพรว๊องซ์ ใจก็เริ่มเต้นตุ๊บๆและลุ้นกันบนรถว่าจะทุ่งลาเวนเดอร์เหลือให้เราดูอีกหรือปล่าว?? เมือง Sault อยู่สูงบนเนินเขาซึ่งอยู่ในหุบเขาอีกที ที่ผ่านมาเห็นทุ่งลาเวนเดอร์เหลืออยู่บ้างแต่ตัดไปก็เยอะ ปัญหาคือเราไม่ได้เช่ารถขับ แล้วเราจะไปเที่ยวทุ่งกันยังไง? ซึ่งก็เหลือวิธีเดียวคือเดิน ซึ่งดูทำเลแล้ว รับประกันความแฮ่ก งานนี้เหนื่อยแน่ๆๆ
เนื่องจากรูปเยอะมาก เรามาต่อภาค 2 ได้ที่นี่เราเลยค่ะ >> ถึงเมือง Sault เมืองสุดน่ารัก.. คลิ๊ก