Japan trip ... จะครั้งก็ยังรู้สึกดี ที่ ” ญี่ปุ่น ” ว้าวุ่นไม่ว้าเหว่ พาลุยจังหวัด Chiba !
ไม่ว่าจะที่ไหน มุมไหน หรือแห่งหนใด .. ประเทศที่ยังคงอยู่ในใจชาวไทย ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ไม่มีวันเบื่อ คงหนีไม่พ้น..
" ป ร ะ เ ท ศ ญี่ ปุ่ น "
ประเทศที่คงไว้ซึ่งภูมิประเทศที่สวยงาม วัฒนธรรมที่น่ารัก สิ่งปลูกสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ อาหารหร่อย ไปบ่อยๆ ก็ยิ่งติดใจ เพราะแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัดนั้นมีอะไรใหม่ๆที่น่าสนใจ ให้เข้าไปค้นหาและสัมผัสได้ในทุกฤดูกาล
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ผมได้รับเกียรติให้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งที่สามของผม แต่กับจังหวัดนี้ .... " นี่คือครั้งแรก " และมันยังคงสร้างความตื่นเต้นให้กับผมได้เสมอ เพราะแค่ได้รู้ว่าจะได้เจอ ก็เผลอเอาใจไปไว้ที่ญี่ปุ่นตั้งนานแล้ว เอาล่ะครับ ขอต้อนรับทุกคนสู่ ......
" จังหวัดชิบะ ( Chiba ) "
สองเท้า – เกาโลก
Fanpage : https://www.facebook.com/scratchdaworld
โดยครั้งนี้ผมได้รับเชิญจากนิตยาสาร Daco และการท่องเที่ยวจังหวัดชิบะ (Chiba) ให้ไปสัมผัสแบบใกล้ชิด ยิ่งกว่าหนึ่งมิตรชิดใกล้ บนความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีความผสมผสานกันอย่างลงตัว ที่สำคัญคือจังหวัดชิบะ (Chiba) มันอยู่ใกล้ๆ กับโตเกียว และสถานที่สำคัญบางแห่งที่หลายๆคนเข้าใจว่ามันอยู่ในโตเกียว เช่น ดิสนี่แลนด์ หรือสนามบินนาริตะ ... จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ " จังหวัดชิบะ (Chiba) " ตะหากกก !!
ในรีวิวนี้ ผมจะพาทุกคนเดินทางไปสู่จังหวัดชืบะพร้อมๆกัน ! ขอรับประกันว่าอ่านจบแล้ว คุณจะวางชิบะไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของญี่ปุ่นทริปต่อไปแน่นอนน ! ^^
------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นมารู้จักจังหวัดชิบะ (Chiba) กันก่อน
ภูมิประเทศ
จังหวัดชิบะตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบเขตคันโต มีอาณาเขตติดต่อกับโตเกียวและไซตามะทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดอิบารากิ ทางด้านเหนือของจังหวัดชิบะตั้งอยู่บนที่ราบคันโต ส่วนทางด้านกลางและใต้ตั้งอยู่บนคาบสมุทร โบโซ บนมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะที่ทางทิศใต้ตั้งอยู่บนอ่าวโตเกียว จังหวัดชิบะถูกล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำและทะเล ทางด้านตะวันออกอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม สวยงาม
จังหวัดชิบะมีพื้นที่ 5,156.05 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 27 ของญี่ปุ่น และมีขนาดใหญ่กว่าการนำจังหวัดโตเกียวและคานากาวะมารวมกัน ลักษณะภูมิประเทศประกอบด้วยเนินเขาโบโซ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ยาวประมาณ 200 - 300 เมตร ที่ราบสูงชิโมสะและเป็นอ่าวในบางตอน และยังมีที่ราบสูงที่ติดต่อกับชายฝั่งทะเลคูจูคูริเป็นทางยาว ชายฝั่งทะเลนี้มีระยะทางยาวกว่า 500 กิโลเมตร ตั้งแต่ โจชิ จรด อุรายาสึ ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามแปลกตามาก หาไม่ได้ง่ายๆในเขตเมืองครับ นี่คือความแตกต่างของภูมิภาคนี้ เดี่ยวในรีวิวจะเห็นภาพได้ชัดขึ้น
จังหวัดชิบะนี่มีมัสคอร์ตประจำเมืองด้วยนะ ซึ่งออกแบบจากรูปทรงแผนที่ของจังหวัด(พื้นที่สีเหลือง) ลองดูรูปแล้วจินตนาการณ์ล้ำหน้ากันไปก่อน เดี๋ยวระหว่างตอนผมมีเฉลย ว่าเจ้ามัสคอร์ตหรือที่เรียกกันว่า " ชิบะคุง " หน้าตามันเป็นยังไง 555
( CR : http://www.businesssupport-chiba.jp/ )
สภาพอากาศ
จังหวัดจิบะโอบล้อมด้วยทะเล 3 ฝั่ง จึงมีภูมิอากาศอบอุ่นในฤดูหนาว และเย็นสบายในฤดูร้อน ด้วยอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นคุโรชิโวบริเวณชายฝั่ง ส่งผลให้ภายในจังหวัดยังคงอบอุ่นในฤดูหนาว ปริมาณฝนมากในฤดูร้อน และมีหิมะหรือลูกเห็บน้อยในฤดูหนาว แต่เมื่อสามปีก่อนก็มีหิมะตกครั้งแกรที่นี่ ในรอบหลายๆปีเหมือนกัน
เอาล่ะ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องราวสนุกๆ ข้อมูลดีๆ และการเดินทาง เชิญเสพย์ต่อจากนี้ได้เลย !
___________________________________________________________
Day 1
" ระทึก "
แค่เริ่มต้นก็เกือบจะไม่ได้เริ่มม !!
ทริปนี้ผมหนึ่งคน และพี่ๆสื่ออีกสองคน รวมไปถึงน้องๆ วัยทีนแต่สามารถสปีคญี่ปุ่นได้และถูกคัดเลือกโดยนิตยาสารดาโกะกับการท่องเที่ยวชิบะอีกสิบชีวิต เมื่อดีดลูกคิดแล้ว ผลรวมคือทั้งหมด 13 ชีวิตจากประเทศไทย กำลังจะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นโดยการบินไทย เที่ยวบิน TG 640 พร้อมๆกัน ในเวลาสี่ทุ่มครึ่ง
สำหรับผมนี่คือการเดินทางร่วมกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย แน่นอนว่าเราแต่ละคนอาจจะมาจากต่างสถานที่ แต่ที่แน่ๆ เราทุกคน ...
" ชอบประเทศญี่ปุ่น "
หลังจากนั่งสลบไสล และได้ทำความรู้จักน้องๆบางคนบนเครื่องบินไม่นาน เจ้านกปีกเหล็กก็พาเราแลนดิ้งที่รันเวย์ของสนามบินนาริตะในเวลาประมาณเกือบ 7 โมงเช้าา .. ทุกอย่างก็ดูราบรื่น ชื่นมื่นกันทั่วหน้าาา ทุกคนผ่านตอมอกันไปอย่างง่ายดายท่ามกลางรอยยิ้มของกันและกัน ในวันดีๆที่กำลังจะเริ่มต้นน .... และก็ถึงคิวของผม ผู้ซึ่งพกพาพาสปอร์ตชั่วคราวหนึ่งปี ที่ทำมาจากกรุงปักกิ่ง และยังมีอายุมากกว่า 6 เดือนน ยื่นเล่มในตำนานให้เจ้าหน้าที่ด้วยความมั่นใจ
" ขอโทษนะคะ เชิญทางนี้ค่ะ " จนท ท่านนึงที่สปีคอิงลิชได้ เดินมาบอกผม หลังจาก จนท ที่โต๊ะได้โทรไปตาม
" ไปไหนครับ ? " ผมถามกลับไป ใจหล่นไปอยู่ที่ปลายนิ้วหัวแม่โป้งละ
" ตามชั้นมาค่ะ ห้องตรงนั้น " จนท พูดจบ เดินลื่วๆ ติ้วๆ นำหน้าไปที่ห้องสี่เหลี่ยมละแวกนั้น ซักพักเจ๊เค้าก็ปรึกษากับอีกคน พร้อมกับอ่านกระดาษบางอย่าง ทันใดนั้นก็เอานิ้วชี้ไปกระดกแว่นตัวเองขึ้นหนึ่งทีที่ดั้งจมูก แล้วบอกกับผมว่า ..
" คุณต้องสัมภาษณ์นะ " ...
" นานมั้ยครับ ? " ผมถามกลับไป พร้อมกับขมวดคิ้ว ( ห้ามยักคิ้ว ไม่งั้นท่านกริ้ว มึงได้ปลิวกับประเทศแน่! )
" น่าจะนานนะคะ "
เชี่ยยยแล้ววว .... ชั่วโมงนั้นชีวิตตกต่ำ ยิ่งกว่าความเสียวช่วงราคาทองตกหรือหุ้นแดงถือกทั้งกระดาน ทรมานหัวใจโคตระ คือนั่งเฉยๆ แม่งยังเหนื่อย
สักพักก็สัมพาดทางโทรศัพท์กับ จนท ที่พูดไทยได้... และปิดฉากด้วยประโยคที่ว่า
" ขอโทษนะคะ คุณเข้าญี่ปุ่นไม่ได้ค่ะ.. เพราะพาสปอร์ตคุณไม่ใช่อีเลคโทรนิค เล่มแบบนี้ต้องขอวีซ่านะคะ "
สลัดเห็ดเป็ดย่างทางช้างเผือกก !!!! นี่มันไม่จริงใช่มั้ยยย !! พาสปอร์ตเล่มที่พาผมฝ่าฟันมา 102 วัน กำลังจะสร้างปัญหาให้ผมที่นี่
ผ่านไป 15 นาที .. เค้าให้ผมเซ็นกระดาษ 4 ใบ แล้วก็แปะวีซ่าชั่วคราวให้บนพาสปอร์ตต พร้อมกับบอกว่าการท่องเที่ยวจังหวัดชิบะได้ขอให้คุณเข้าประเทศได้ค่ะ !! โอ้ววววว .. สรุปคือต้องเป็นพาสปอร์ตเล่มจริงอีเลคโทรนิคเท่านั้น เผื่อใครยังไม่รู้ ( หรืออาจจะเป้นเมิงคนเดียว! 555 )
ขอกราบขอบพระคุณการท่องเที่ยวแห่งจังหวัด " ชิบะ " มา ณ.ที่นี้ด้วยครับ
และด้วยความที่ผมติดแหง็กอยูคนเดียว เสียวสันหลังไปหนึ่งชั่วโมง ทุกคนได้ออกเดินทางกันไปที่จุดหมายแรกกันหมดแล้วว เหลือก็แต่ผมกับน้องคนไทยที่คอยประสานงานอยู่รอผมอีกคน ความอลวนจึงเริ่มตั้งแต่วินาทีแรก ! 555
รออะไร ... แทกกซี่สิคร้าบบ !!
จากสนามบินนาริตะ ผมรีบนั่งแทกซี่ตามมาที่จุดหมายแรก ซึ่งถือว่าทำเวลาได้ดี โดยที่นี่คือหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจและน่ารักมากของจังหวัดชิบะ ที่นี่คือ ...
" Mother farm " หรือฟาร์มคุณแม่
ที่ Mother farm นี้มีพื้นที่กว้างใหญ่และตั้งอยู่บนเขา ทำให้มีภูมิทัศน์และธรรมชาติที่สวยงาม ท่ามกลางดอกไม้หลากสีสันตามช่วงฤดูกาลแตกต่างกันไป และในช่วงที่ผมไปนั้น ก็เป็นช่วงของดอก Rapeseed หรือที่เรียกกันว่าดอกนาโนะฮานะกำลังบานสะพรั่งเป็นสีเหลืองอร่ามอย่างสวยงามกลางขุนเขากับบรรยากาศที่บริสุทธ์
นอกจากนี้ยังมีสัตว์โลกน่ารักอีกมากมาย เช่น หนูยักษ์ อัลปาก้า แก หมู วัว ม้า และอื่นๆ เครื่องเล่นในสวนสนุกขนาดย่อม กิจกรรมพาหรรษาต่างๆ และอาหารอร่อย ซึ่งผมได้ไปลองมาหนึ่งอย่าง การันตีความอร่อย เดี๋ยวไปดูกัน !
การเดินทาง
Tokyo station – Kimitsu station นั่งรถไฟ JR Sobu Line Rapid (เป็นรถด่วน)นั่งยาวต่อเดียวไปลงสถานี Kimitsu ใช้เวลากันเดินทางไปยังสถานีคิมิทสึประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถไฟก็ประมาณ 1,450 เยนครับ(ต้องเช็คตารางรถไฟก่อนเดินทางนะ เพราะสายนี้จะมีแค่ไม่กี่เที่ยว/วัน)
Tokyo station – Kimitsu station นั่งรถไฟ JR Keiyo Line ไปลงสถานี Soga station แล้วต่อ JR Uchibo Line ไปลง Kimitsu station ไดเลย ค่ารถไฟ 1,450 เยน ใช้เวลาเดินทางไปยังสถานีคิมิทสึประมาณ 1 ชั่วโมง 27 นาที
จากนั้นเมื่อมาถึงสถานี Kimitsu จะมีรถบัสของทางฟาร์มมารอรับฟรีวันละเที่ยว โดยขาไปจะออกเวลาประมาณ 10.40 ในตอนเช้า และขากลับ จะออกจากฟาร์มในตอน 15.30 แนะนำว่าควรโทรไปสำรองที่นั่งก่อนก็ดี เบอร์ 0439-37-3211
ค่าเข้าต่อคนจะอยู่ที่ราว 1,500 เยน
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก! >> http://www.motherfarm.co.jp/en/
นี่เป้นบริเวณทางเข้าครับ
หลังจากซื้อตั๋วกันแล้ว ผ่านเข้ามาสัมผัสแรกก็ได้เห้นภาพนี้เลย ตอนนั้นอารมณ์คือโล่งอกหลังจากผ่านตอมอมาได้ และสดชื่นหัวใจเมื่อได้มาสูดกลิ่นธรรมชาติที่นี่ อากาศดีมากกก บรรยากาศสุดจะชิล หากมาเป็นครอบครัวก็คงสนุก มาเป็นคู่คงจะฟิน แต่ถ้าดิ้นมาคนเดียว ถึงจะเปลี่ยวแต่ก็เปรี้ยวได้อยู่ดี ><
ในช่วงนี้ เป็นนาทีทองของดอกไม้สีเหลืองทองอย่าง ดอกนาโนะฮานะ ที่จับมือกันบานสะพรั่งท่ามมกลางฟาร์มคุณแม่ และขุนเขาอย่างสง่า ... มองไปทางไหนก็เจอแต่สีเหลืองกับสีฟ้า ซึ่งนี่คือความสบายตาจากธรรมชาติที่มอบมาสู่โลกของเราในอีกมุมมองนึง
จากที่นี่ มองออกไปจะเห็นทิวเขาที่กว้างไกล มองยังไงก็หาจุดสิ้นสุดของมันไม่เจอ ผมว่าชีวิตคนเราหากกำลังหายใจอยู่ มันก็ดูคล้ายๆกับธรรมชาติที่มองออกไปไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปจบลงที่ตรงไหน แต่เราทุกคนรับรู้มันได้ว่า
" นี่คือคุณค่าของความสวยงามมม " ชีวิตเราก็ไม่ต่างกัน ไม่มีใครไม่มีค่า คุณค่าอยู่ที่เรามอง ไม่ใช่ใครมอง ^^
มองธรรมชาติ แล้วกลับมามองที่ฟาร์มคุณแม่อีกครั้ง ในวันนี้ผู้คนค่อนข้างบางตา คงเพราะเรามากันในวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุด แต่เมื่ออยู่ที่นี่มันเหมือนเวลาชีวิตของคุณได้หยุดไปชั่วคณะ แล้วดื่มด่ำฉ่ำไปกับธรรมชาติที่สวยงาม
" อยากมีแบบเค้าบ้างงง >< "
เดินชมวิวเพลิดเพลินกับบรรยากาศสองข้างทาง มาตามทางเรื่อยๆ ก็ได้มาเจอกับชาวคณะ ซึ่งจะมีทีมงานเพิ่มเข้ามาคือน้องคนไทยที่เป็นล่ามหนึ่งคน รวมไปถึงสองหนุ่มญี่ปุ่นที่คอยดูแลคณะเราอย่างใกล้ชิด
" ด้านบนมีจุดที่เห็นฟูจิซังด้วยนะคะ " น้องล่ามคนไทยที่มีนามว่าน้องทรายได้บอกผมมา พร้อมกับเพิ่มเติมไปว่า ตรงนั้นคือ 1 ใน 100 จุดชมวิวที่เห็นฟูจิซังได้สวยที่สุดดด
ได้ยินดังนั้น ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอตัวเดินสวนทางกับคณะที่เพิ่งลงมาไปชมวิวฟูจิซัง
แต่บางทีเรื่องแบบนี้ ก้ต้องอาศัยโชคกันิดนึง .. วันนี้ถึงฟ้าจะใส แดดจะดี แต่วิสัยทัศน์การมองเห็นระยะไกลนั้นค่อนข้างขมุกขมัวสลัวๆ ไปหน่อย เลยทำให้มองได้ไม่ชัด แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นนะ
ยอดเขานั่นแหละครับ ฟูจิซังงงที่ใครๆ ก็หลงรัก วันนี้ฟูจิซังคงขี้อาย ไม่พร้อมพบปะสังสรรค์กัน แต่ก็ไม่เป้นไร เร็วๆ นี้เราอาจจะได้เจอกันใหม่ !
จากนั้นผมก็เดินกลับลงมา ระหว่างทางก็ได้เห้นชิงช้าสวรรค์ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ที่นี่ ใจจริงก็อยากจะลองขึ้นไปมองวิวมาจากมุมสูงด้านบนเหมือนกัน ไว้มีโอกาสไม่พลาดแน่
ใจเย็นนนน เห้ยยย ! 555
อิ่มกับวิว ความหิวก็เข้ามาทักทาย แต่ก่อนจะกินของคาว ก็มาเริ่มด้วยการทำของหวานกันก่อน ! อย่างที่บอกไปว่าที่นี่จะมีกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งเก็บสตอเบอรี่ ทำแยม และก็นี่ครับ ....
" ทำไอศครีม ! "
โดยน้องๆ จับกลุ่มกัน และทำไอศครีมด้วยสูตรเฉพาะของที่นี่ มีโค้ชแสตมป์เอ้ย โค้ชชาวยุ่นมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดอีกหนึ่งคน ทำกันอย่างสนุกสนาน อลวนกันน่าดู
และนี่คือผลจากความร่วมมือกัน ... " ความอร่อยย "
มันอร่อยยยจริงๆ นะ ทุกคนนการันตี
ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกับไอศครีมอยู่ น้องล่ามเจ้าเก่า ก็ได้รับข่าวสารมาอีกครั้ง ว่าตอนนี้กำลังจะมีประกวดไล่ต้อนหมูเข้าเส้นชัยย !! แค่ได้ยินชื่อก็ฮาละ จึงไม่พลาดที่จะขอไปดูให้เห็นกับตา
ทุกคนมารวมตัวกัน มุ่งหน้าสู่สนามประลองยุทธ !
น่าร๊อคคคคคอ้าาาา !
กิจกรรมสุดจะฮานี้ คือการปล่อยหมูออกจากเล้า แล้วให้เด็กๆ เอามือตีตรูดดหมูต้อนพวกมันเข้าเส้นชัยที่อยู่อีกฝั่งนึง ใครถึงก่อนจะเป็นผู้ชนะ นี่คือความน่ารักระดับห้าดาวของบรรดาเด็กๆ ที่พวกเค้าสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับทุกคนโดยไม่รู้ตัว
บางคนโดนหมูชนล้มแบบน่ารักๆก็มี บางคนตีก้นมันยังไงก็ไม่ยอมวิ่ง บางคนก็วิ่งตามเจ้าหมูไม่ทันน ไม่มีใครที่ไม่ยิ้ม ไม่มีใครที่ไม่หัวเราะ นี่คือความสดใสบริสุทธ์ที่น่ารักที่สุดเรื่องนึงที่ผมเคยเห็น เค้าเข้าใจคิดจริงๆ ><
" แม่จ๋า ช่วยยหนูด้วยยย มันไม่ยอมวิ่งงง !! " .... และเจ้าหนูนี่แหละครับ คือเดอะวินเนอร์ ! 5555 น่ารักกมากๆ
ดูหมูเสร็จ .. ก็มาดูหนูยักษ์กันต่อออ เจ้านี่ช่างเป้นหนูที่ไม่แคร์สื่อ และมีความอินดี้สูงมาก จะเดินไปไหนก็เดิน ไม่กลัวใคร ใครขวาง กูฝ่า แม่มไม่สนใจอะไรสักอย่าง แต่น่ารักกกและตลกกกมากก ฮ่าๆ
นี่ก็ตัวอะไรจำไม่ได้ คล้ายกระต่ายฟิวชั่นกับจิงโจ้ ที่สงสัยคือขนขามันไปไหนน ดูไม่สมส่วนยังไงชอบกล แต่ก็น่ารักดี
นอกจากนี้ยังมีสัตว์น่ารักมารอต้อนรับอยู่อีกหลายชนิดในบริเวณนี้ ทั้งแกะ แพะ กระต่าว วัว ม้า เป็ด โอ้ยเยอะเลยย
ได้เวลาไปยังกิจจกรรมถัดไป ... ผมชอบบรรยากาศของที่นี่ มันดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร สบายตา เรียบง่าย สงบและชิลลสุดๆ
คงไม่ต้องสงสัยว่าเราจะทำอะไรกัน แน่นอนนว่ามันไม่ใช่การอาบน้ำให้วัว หรือแปรงฟันให้มันเป็นแน่ นี่คงเป็นกิจกรรมที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี นั่นคือการรีดนมวัวนั่นเองงง เอ้าาาลุยย !
คนละไม้ คนละมือ แล้วอย่าลืมล้างมือก่อนกินข้าวนะจ้ะ 555
หลังจากล้างงงมือกันมาเรียบร้อยยย ก็ได้เวลาทานข้าว โดยมื้อนี้จะเป็นบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งแปลกดีเหมือนกัน ที่นี่จะเตาคล้ายๆกับบาบีก้อนน แต่เค้าจะใส่พวกหัวหอม กะหล่ำปลี และถั่วงอกลงไปปิ้งให้หอมๆก่อน จากนั้นจึงเอาพวกเนื้อวัว เนื้อแกะ หรือไก่ไปย่างงงง .... อร่อยยยโคตรรร !
หากได้น้ำจิ้มบาบีคิว สุกี้ หรือจิ้มแจ่วมาสักอย่างงนี่จะเด็ดดดดมากกก พุงแตกแต่หัววันครับ มื้อนี้
พออิ่มหมีพลีมัน ก็ได้เวลาโบกมือล่าฟาร์มคุณแม่ ถึงแม้เราจะไม่ได้เจอคุณแม่ แต่ที่แน่ๆฟาร์มคุณแม่จะอยู่ในใจพวกเราทุกคน ถือว่าเป็น first impression ที่ดีงามมากกับจังหวัดชิบะ และทริปนี้ของผม แม้มันจะเสียววูบวาบในช่วงเริ่มต้นก็ตาม
เอาล่ะ ชักภาพหมู เอ้ยย ชักภาพหมู่กันสักกรอบบบ !
ก่อนจะออกจากฟาร์ม ทางผู้จัดการที่พาเราชม ก็มารอส่งเราขึ้นรถถึงหน้าประตู พร้อมกับของฝากเก๋ๆ ติดไม้ติดมือกลับไปคนละถุงง ... นี่คือวัฒนธรรมที่เราจะพบได้ตลอดในประเทศนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม นั่นคือความใส่ใจในทุกๆรายละเอียดของเค้า
" ขอบคุณครับ "
รถบัสคันโต ที่กำลังแล่นอยู่ในภูมิภาคคันโต กำลังจะโกทูสถานีถัดไป ... สองข้างทางของจังหวัดชิบะนั้นมีธรรมชาติที่ร่มรื่นและสบายตาตลอดเส้นทาง ดูได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ
ไม่นานนัก เราก็มาถึงยังสถานีแห่งความน่ารัก ที่ใครได้มาก็ต้องรัก ...
" Kamogawa Seaworld " ซึ่งเป็น seaworld ที่มีความสมจริงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมันอยู่ติดกับทะเล และนอกจากนี้ มันมียังความสนุกที่พร้อมจะปลุกรอยยิ้มมุมปาก ไปจนถึงยิ้มปากฉีกให้กับทุกคน
เมื่อมาถึงก็ได้กลิ่นอายของทะเล พวกเราก็เฮกันไปที่ชายหาดก่อนเลย จน จนท ญี่ปุ่นต้องตามให้กลับไปเข้าไปดูโชว์ด้านในก่อน เดี๋ยวจะไม่ทันน 555
ได้ตั๋วมาแล้วว ค่าตั๋วประมาณคนละ 2800 เยนน
Kamogawa Seaworld จะอยู่ติดแนบชิดกับมหาสมุทรแปซิฟิค และมีสัตว์น้ำมากมายหลายชนิด รวมไปถึงโชว์ที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งโชว์จากปลาวาฬเบลูก้า (ผมยังไม่ได้ดู) ปลาโลมา ปลาวาฬ หรือแมวน้ำ บรรยากาศโดยรวมของที่นี่ดีงาม คงเพราะด้วยความที่มันอยู่ติดกับทะเล พอผมได้เข้ามา เลยรู้สึกอินกับบรรยากาศมากขึ้น
การเดินทาง
JR train: 2 hours from Tokyo Station
JR Tokyo Station>> (Ltd. Express Wakashio)>> JR Awa-Kamogawa Station>> (approx. 5 min. by free shuttle bus)>> Kamogawa Sea World
Aqua-Line Express Bus: 2 hours from Tokyo Station
Tokyo Station Yaesu exit>> (Express Bus "Aqusea")>> Awa-Kamogawa Station>> (approx. 5 min. by free shuttle bus)>> Kamogawa Sea World
ข้อมูลเพิ่มเติม >>
ความสุขอยู่รอบๆ ตัว .... " แชะ "
เรามาถึงกันเวลาพอดีมาก เพราะโชว์ปลาโลมากำลังจะเริ่มพอดี
ทุกคนเดินตรงไปยังลานโชว์ปลาโลมา โดยทางเดินนั้นจะเรียบชายทะเลไปเรื่อยยๆ
ถึงแล้วววสระน้ำ ของเจ้าโลมาน้อย ที่คอยให้ทุกมาสัมผัส บรรยากาศดีมากกก
ที่นั่งมีให้เลือกตั้งแต่ลิงไซร้ หรือไกลออกไปทั้งซ้ายและขวา เมื่อจับจองที่นั่งกันแล้ว ไม่นานนักเสียงเพลงที่เพลงอารมณ์เชิงบวกก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับ สาวในชุดสีน้ำเงิน 3 คนที่ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มและนกหวีดคู่ใจ 1 ในนั้นคือคนพูดด อีก 2 คนเป็นคอนดัคเตอร์ คอยดูแลปลาโลมาที่มีถึง 4 ตัวด้วยกัน
การแสดงนั้นน่ารักมากก ดูไปยิ้มไป ผู้คนก้มีการปรบมือให้จังหวะตามเสียงเพลง เจ้าโลมนั้นจะมีการกระโดดสูง โลมามูนวอล์คก็มี หรือจะกระโดดขึ้นไปนอนแพลงกิ้งบนฝั่งก็มา ชอบบบบ 555
ไม่นานมันก็กระโดดจุ๊บบลูกบอลลที่อยู่สุงจากผิวน้ำพอสมควรร
ที่เด็ดคือนี่ครับ ปลาโลมาลอดห่วงงง ละห่วงที่นี่อยู่สูงงกว่าที่อื่นที่เคยดู เพลินมาก ทั้งรอยยิ้มของนักแสดง และความพลิกแพลงของเจ้าโลมา ที่เรียกเสียงฮาและเสียงปรบมือได้ตลอดด เพลงก็เพราะ โชว์ก็ดี ไม่รู้จะติอะไรเหมือนกันน
เสร็จจากดูโชว์โลมา ก็เดินมาต่อกันที่ไฮไลท์ของที่ Kamogawa Seaworld แห่งนี้ กับ ...โชว์ปลาวาฬ !
ที่นี่เวทีบาดาลมองออกไปจะติดกับทะเล บรรยากาศอย่างพีค มันให้อารมณ์เราเหมือนกับได้ดูโชว์จากท้องทะเลจริงๆ ทั้งสายลม แสงแดด และกลิ่นอายของมัน ..
นอกจากผู้คนมากหน้าหลายตา ก็ยังมีเจ้านกสองขาสองตาสองสี มาร่วมแจมชมโชว์ปลาวาฬด้วยกัน .. หลังจากนางโฉบขึ้นไปอยู่บนไฟสปอตไลท์ได้ไม่นาน โชว์ปลาวาฬก็เริ่มขึ้น !
เสียงเพลงอันแสนไพเราะได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆกับ เหล่าปลาวาฬคอนดัคเตอร์อีกสามคนที่วิ่งออกมาพร้อมกับท่าทางพริ้วไหวและรอยยิ้ม... แค่เห็นหน้านักแสดงเหล่านี้ ผมก็พอจะคาดการณ์ถึงความฟินของโชว์นี้ได้อย่างไม่ยาก
ว่าแต่อะไรคือปลาวาฬคอนดัคเตอร์ ? คืออันนี้ตั้งเองนะ 555 นักแสดงเหล่านี้ เค้ามีหน้าที่ดูแลให้ปลาวาฬอยู่ในจังหวะการแสดงของเค้า กับท่วงทำนองของเพลง ดูไปก็จะคล้ายๆกับคอนดัคเตอร์ของวันออเครสต้า ที่ต้องคอยคุมจังหวะของวงให้สมูท แต่ที่จะต่างกันคือนักแสดงทุกคนจะลงไปมีส่วนร่วมกับจังหวะด้วยย ><
โชว์เริ่มต้นขึ้น อย่างน่ารักและอบอุ่น สักพักเจ้าปลาวาฬก็เรียกเสียงฮาและรอยยิ้มให้กับคนทุกคน เมื่อมันกระโดดและทิ้งตัวลงไปที่น้ำ ทันใดนั้น น้ำจากสระก็กระเด็นยังกับฝนตกตู้มมม ไปที่บริเวณที่นั่ง wet zone !!!!
เปียกกันทั้งแผ่นนดิน ฮากลิ้งกันทั้งสนามมม 5555
เป็นโชว์ที่น่ารักมากก ซึ่งโชว์นี้ปลาวาฬไม่ใช่ตัวเอกของเรื่องแต่เพียงผู้เดียว ....
นักแสดงคืออีกหนึ่งบทนำของโชว์อันแสนจะน่ารัก... ผมสัมผัสได้ถึงความผูกพันธ์ระหว่างคนกับปลา ทุกครั้งที่ปลาวาฬโชว์ได้ดี จะมีการลูบหัววเป็นกำลังใจเสมอ จริงๆ ผมไม่รู้สึกว่านี่คือการแสดง แต่ผมรู้สึกว่านี่คือชีวิตจริงของพวกเค้า ทุกอย่างมันออกมาจากข้างใน ผมเชื่อว่าผู้ชมทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่าาาา ...
สุดดดดดยอดดด !
จบจากโชว์ปลาวาฬ เราก็เดินไปดูโชว์สุดท้ายของที่นี่ทันที เหมือนเวลาเค้าจะ Set มาให้มันต่อๆ กันอยู่แล้ว ฉนั้น มาที่นี่ไม่ต้องกลัวพลาด หากเรามาทันเวลาา
เดินมาไม่ไกล ก้มาถึงสนามสุดท้ายยย กับบโชว์อะไรก็ไม่รู้ น่ารักและตลกกกมาก 555
นี่คือ โชว์แมวน้ำ ครับ !
ผมเพิ่งรู้ว่าแมวน้ำเป้นสัตว์ที่มีพฤติกรรมตลก และน่ารักขนาดดนี้ ให้ตายเหอะ อยากจะเอาไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวว 555 ที่นี่จะมีทั้งแมวน้ำปรบมือ ส่งเสียง ยกมือ ไถลไปตามน้ำ เดาะลูกบอล เล่นมุขกับคน ที่ดูแล้ววอลวนปนความฮาได้ตลอดการแสดงงง
ไหน ขอมือขวาาาาหน่อยยฮะ !
และปิดฉากโชว์ด้วยยยท่านี้ พี่น่าจะฝึกไปทางกายกรรมด้วยนะ น่าจะรุ่งงง ><
จากเวทีโชว์แม่น้ำ ข้างๆกันยังมีบ่อแมวน้ำจากธรรมชาติ ให้ทุกคนได้ไปชมอิริยาบถแบบปรกติของมันอีกด้วยย ว่าแต่ทำไมปรกติพวกแกดูขี้เกียจจังฟระ 555
ก่อนจากลา ก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพด้านหน้าาา ลาก่อนนน Kamogawa Seaworld อีกหนึ่งความประทับใจอย่างต่อเนื่องงของวันแรกกก
และหากใครมาที่นี่ ก็ลองลงไปเดินเล่นชายหาดบริเวณที่จอดรถกันด้วยน้า แสงยามเย็นในวันฟ้าใส มันดูสวยงามแปลกตาดีเหมือนกัน
เช่นเคย กับความน่ารักของทีมงานที่คอยมาส่งงถึงประตูรถ ก่อนจะจบปิดท้ายด้วยรอยยิ้มและหลักฐานของการร่ำลาา ว่า " บ๊าย บาย "
รถบัสของเราแล่นเบาๆ เหงาๆ มาถึงอีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจของจังหวัดชิบะ ...
เมืองง " คัตสึอุระ ( Katsuura ) "
เมืองนี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรคิอิ(Kii Peninsula) จะเป็นเมืองสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม บรรยากาศชิลมากเพราะติดทะเล ที่่นี่มีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมการประมงและบ่อน้ำพุร้อนออนเซ็น บริเวณรอบๆชายฝั่งทะเลก็จะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า โรงอาบน้ำ คาราโอเกะ บาร์ และอื่นๆอีกมากมาย
การเดินทาง
โดยสารรถไฟ JR เคโย มาลงที่สถานี Katsuura ได้เลย
นี่เป้นบริเวณหน้าที่พักของเรา ซึ่งคืนแรกนี้จะได้นอนรังเกียวเรียวกังกันใจกลางเมืองคัตสีอุระ .. เรียวกังที่นี่มีชื่อว่าา
Katsuura Ryokan Matsunoya ... ที่นี่เป็นเรียวกังขนานแท้และดั้งเดิม มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองคัตสึอุระ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองง
แต่เรายังไม่ได้เข้าไป ทางน้องทรายหรือล่ามของคณะได้เชิญพวกเราไปที่ ศาลเจ้าโทมิซากิ ซึ่งอยู่ติดกับที่พักก่อนน นี่เป็นบริเวณด้านหน้าทางขึ้นไปศาลเจ้าครับ ... เราจะเดินขึ้นไปด้านบนนกันน !
เดินตามทาง ปีนบันไดขึ้นไปพอเป้นกระสัยก้มาถึงด้านบนนนในช่วงเวลาพระอาทิตย์อัสดงพอดี ... คือวิวดีงามมาก เห็นเมืองคัตสึอุระทั้งเมือง และยังมองได้ไกลไปถึงชายฝั่ง
เป็นอีกครั้ง กับช่วงเวลาที่โปรดปรานที่สุดของการเดินทาง ... แสงสุดท้ายของวัน ที่ไม่ว่าผมจะทำมากี่รีวิว เมื่อได้มาถึงช่วงโมเม้นนี้ ก็มักจะมีประโยคแห่งความสุขแบบนี้เสมอ ... ทำไงได้ ก็คนมันรักกกก ><
นี่คือชายทะเลประจำเมืองคัตสึอุระ ท่ามกลางแนวเขา และสายสมอกกก
ไม่มีทางรู้ว่าเราจะได้มาที่นี่อีกครั้งหรือไม่ แต่เมื่อได้มาแล้ว ก็จงใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ทุกนาทีคือความทรงจำ ความทรงจำคือเรื่องสำคัญ และเมื่อเป็นเช่นนั้นจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆได้ยังไง ....ภาพถ่ายๆทุกๆใบจึงสำคัญ
ผมเดินต่อขึ้นมาจนถึงตัวอารามวัด ที่ตั้งอยู่บนเนินสุดทาง .. ดูเงียบและสงบ นี่คือสเน่ห์อย่างนึงของที่นี่
ได้เวลาเดินลงกลับไปด้านล่าง ขอชมวิวมุมสูงของเมืองคัตสึอุระอีกสักครั้ง
มาถึงข้างล่าง ผมก็ได้รับสิ่งมีค่าชนิดหนึ่งจากทางญี่ปุ่น ... เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าา
" Goshuin "
Goshuin หรือเจ้าสมุดเล่มนี้จะเป็นที่เก็บรวบรวมตราประทับของวัดต่างๆในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในความมหายของ Goshuin ไม่ใช่การเก็บแต้มเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป แต่มันมีไว้ให้เราระลึกถึง เป็นเกียรติ และเคารพในสถานที่อันศักสิทธ์ของประเทศญี่ปุ่นที่เราได้ไปมาแล้ว โดยสมุด Goshuin นี้เราสามารถซื้อได้ตามวัดต่างๆ และแต่ละวัดแต่ละที่ก็จะมีรูปเล่มที่ต่างกันไป รวมไปถึงตราประทับด้วย
หากใครชอบวัดญี่ปุ่น เรียกว่าควรจะมีเก็บไว้ครับ เพราะตราประทับนั้นมีค่าแก่การเก็บไว้เป็นความทรงจำมาก ส่วนใหญ่จะเขียนด้วยพู่กันจีนและมีตราประทับของวัด ได้ยินว่าคนญี่ปุ่นบางคนมีกันเป็นสิบๆเล่ม ถือว่าเป้นอีก Gimmick นึงที่น่าสนใจมาก
พูดมาขนาดนี้ ... แล้วผมจะพลาดได้ยังไง !! ^^
ได้เวลาเข้าที่พักกก .. บรยากาศในเรียวกังนี่ยังกะนั่งไทม์แมชชีนย้อนยุคยังไงยังงั้น
เก็บของแล้วก็เข้าห้องทานอาหารกันก่อน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี และปราณีตมาก อาหารน่าทาน จัดเรียงสวยงาม ไปดูกันว่าเค้ามีอะไรให้เรากินบ้างงงง
จัดว่าาาเด็ดด !
ซาชิมิปลาสามอย่าง ที่ต้องค่อยๆทานสีอ่อนไปสีเข้ม เพราะว่าสีที่อ่อนจะมีกลิ่นคาวน้อยที่สุดด จานต่อไปหอยยเชลคำตอบบรสกลมกล่อมม ... ไข่ตุ๋นหอมนุ่มละมุนลิ้น ไก่ทอดคาราเกะกรุบกริบ ปิดท้ายด้วยซุบข้นน
ฟินนนนนนโคตรรร :D
มาดูที่ห้องนอนกันบ้างงง นี่คือเรียวกังของผมมม .... น่านอนมั้ยยล่ะ เห็นแบบนี้เตียงและหมอนสบายย ชาหอม ไวไฟพร้อม อุ่นกำลังดี ยุงไม่มี อากาศโคตรดี... คืนนี้สบายยยย !
___________________________________________________
Day 2
กู้ดมอนิ่งเรียวกัง ... และเสียงดังของนาฬิกาปลุกยามเช้าา
วันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสและก่อนเวลาอาหารเช้า ด้วยความตั้งใจที่จะไปเดินเก็บภาพชมเมืองคัตสึอุระในยามเช้าตรู่ ดูวีถีชีวิต ดูเมืองคลาสสิก และทำตัวชิคๆกันสักเล็กน้อย ก่อนเราจะจากกัน
อากาศในวันนี้ ยังคงดีอย่างต่อเนื่อง .. ส่วนตัวแล้วผมเป้นคนที่ชอบอากาศหนาว ซึ่งในตอนนี้นาทีนี้ เรียกว่าหนาวกำลังดี สภาพบ้านเรือนในเมืองคัตสึอุระนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแบบสองชั้นมีทั้งอาคารเก่าและใหม่แต่ดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันในทุกมุม ถนนสองเลนแบบอบอุ่น เดินนเพลินมาก ถึงแม้จะยังไม่ค่อยมีร้านไหนเปิด แต่ด้วยบรรยากาศแบบนี้ แค่นี้ก้พอแล้ว
เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงศาลเจ้าอีกแห่งในเมือง
หิวแล้วว ...
ได้เวลาแล้ววเช่นกัน เดินกลับบสิคับบ !!
อาหารเช้าวันนี้ เริ่มต้นแบบเบาๆ เพราะเราจะไปจัดหนักกันมื้อเที่ยงงง !!
อิ่มแล้ว ก้ยังพอมีเวลาอีกหน่อย ผมจึงรีบเดินไปให้ถึงชายฝั่งง ซึ่งก็ไม่ไกลล จากโรงแรมมาไม่นานก็ถึง และการเดินในบรรยากาศแบบนี้ สิ่งน่ากลัวคือ " เวลา "
ยังไง ?
กลัวลืมมมเวลาาานัดดด !! คือมันชิลล จนอยากจะทำตัวชิลๆ จริงๆ
อย่างที่ได้บอกไปว่า ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องประมง พอผมเดินมาถึงชายฝั่งก็พบเห็นเรือประมงหลายลำ รวมไปถึงโรงงานขนาดย่อมที่ตั้งอยู่ติดกับชายฝั่ง
คุณลุงคนนี้กำลังแล่ปลาหมึก ผมเดินเข้าไปส่งยิ้ม พลางยกกล้องเป็นการขออนุญาติ ก่อนคุณลุงจะพยักหน้ากลับมา เป็นอันตกลงปลงใจว่าา ถ่ายรูปได้ .... นี่คือวิถีชีวิตชายฝั่งของคนในเมืองคัตสึอุระที่ประกอบอาชีพประมง
บรรยากาศโดยรอบบบสุดแสนจะสดชื่นนน
ระหว่างทาง ก็ได้เห็นอุตสาหกรรมการประมงขนาดย่อมแบบสดๆ จริงๆ ที่นี่เค้าจะมีตลาดของสดในยามเช้าเกือบทุกวัน และก้ไม่รู้ทำบุญมาด้วยอะไร เช้าวันที่ผมไปดันหยุดซะอย่างนั้นน 55
เอาล่ะ ได้เวลาเดินกลับ .... เดินคนเดียวอาจจะเหงา แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนร่วมโลกอยู่เป็นนเพื่อน " เมี้ยววววว "
เจอป้ายที่น่าสนใจของเมืองคัตสึอุระ สายตาก็ไปสะดุดที่ภาพด้านขวา นั่นคือบันไดทางขึ้นไปศาลเจ้าโทมิซากิ ที่เราไปเมื่อวานนี่นาา ในช่วงไม่กี่วันที่กำลังจะถึงนี้จะมีงานเทศกาลตุ๊กตาหรือ Doll festival ทั่วทั้งเมือง Katsuura และจุดพีคอยู่ที่ตุ๊กตาที่จะตั้งตามบันไดตรงบริเวณศาลเจ้าโทมิซากิ
งานจะมีวันที่ 26 กุมภา - 6 มีนาคม ดูจากวันที่แล้วว เราคงพลาดดดด !! T_T
ไม่เป็นไร ไว้มาใหม่ ตอนนี้ก็ชมธรรมชาติ เสพย์ความเป็นไปของเมืองไปก่อน
เมื่อกลับมาถึงที่พักก็มีข่าวดี !
" วันนี้เค้าจะมีการลองจัดตุ๊กตาที่ศาลเจ้าโทมิซากิ ในเวลาเกือบ 9 โมงครึ่งค่ะ " เสียงจากน้องทราย หรือล่ามของเราได้เขย่าหัวใจผมอีกครั้ง !! ถึงแม้เราอาจจะพลาดงานจริง แต่อย่างน้อยหากได้เห็นกับตา แล้วเก็บมาเป้นความทรงจำก็คงดีไม่น้อยยย .. ไปสิครับบบ
พอเราเดินมาถึง ก็พบว่ารถบรรทุกตุ๊กตากำลังลำเลียงเจ้าตุ๊กตานับพันตัวลงจากท้ายรถ โดยมีคนในหมู่บ้าน อาสาสมัครร่วมแรงใจมาช่วยกันหลายคน เพราะนี่คือเทศกาลใหญ่ของเมืองนี้ ใครมีเวลา ก็จะพากันมาช่วยให้ได้มากที่สุด
Doll Festival หรือ Katsuura Hina matsuri คือเทศกาลที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงต้นเดือนมีนาคม จะเป็นเหมือนการฉลองวันเด็กผู้หญิง อวยพรให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง และโตไปเป็นผู้ใหญ่อย่างมั่นคง ซึ่งจะมีการจัดเรียงตุ๊กตาไปทั่วทั้งเมืองกว่า 30,000 ตัว และที่นี่จะมีถึง 1,500 ในทุกๆ ขั้นบันได
ความน่าสนใจคือตุ๊กตาแต่ละตัวนั้น ได้รับบริจาคมาจากชาวบ้านซะส่วนใหญ่ และเสื้อผ้าจะเป้นผ้ากิโมโนแท้ ในยุคสมัย Heian ผมมีโอกาสได้สัมผัส และดูใกล้ๆ ก็พบว่างานปราณีตมาก
ไม่นานนักชาวบ้านก็เริ่มการจัดเรียง นำทีมโดยเจ๊ใหญ่หัวโจกคนนึง ซึ่งเป็นเสมือนนักออกแบบจัดวางเหล่าตุ๊กตาจนเสร็จไปเกือบครึ่งง .. เสียดายเหมือนกัน ที่ไม่ได้อยู่ถึงตอนมันเสร็จ และในวันงาน ตุ๊กตาเหล่านี้จะไม่ถูกทิ้งไว้ แต่เค้าจะเก็บและตั้งใหม่ในทุกๆ วัน !
หากใครมาญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 26 กุมภา - 6 มีนาคม ก็ลองแวะเวียนมาที่เมือง Katsuura ได้ครับ โดนใจแน่อนน กับความสบาย เรียบง่ายของที่นี่
ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ .. สักพักผมก็มาถึงสถานีรถไฟ .... ฟังไปก็ดูธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาสำหรับผม ก็เพราะว่าเรากำลังจะขึ้นรถไฟชมวิววสายพิเศษ !! ได้ยินดังนั้น ช่างถูกใจผู้ชายที่รักรถไฟคนนี้ยิ่งนักกกก ขอต้อนรับสู่
" รถไฟสาย Isumi หรือบางคนก็เรียกว่า รถไฟสายมุมิน " มารู้จักรถไฟสายนี้กันอีกนิด
รถไฟ Isumi Line ดำเนินการโดยบริษัท Isumi Railway วิ่งในเขต Minamiboso จังหวัด Chiba ตั้งแต่สถานี Ohara ถึงสถานี Kazusa-Nakano ระยะทางรวม 14 สถานี ซึ่งระหว่างทางเราสามารถแวะเที่ยวปราสาท Otaki ที่สถานี Otaki ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราจะทำกันในวันนี้
จริงๆ บริษัทนี้เคยเกือบต้องปิดตัวเพราะปัญหาทางการเงินในปี 2009 แต่ท่านประธานพยายามหาไอเดียที่จะทำให้รถไฟแปลกใหม่ น่าสนใจ และดึงดูดผู้คนให้มาใช้บริการ โดยเลือกคาแรคเตอร์มูมินมาใช้เพราะบรรยากาศในการ์ตูนเต็มไปด้วยธรรมชาติ ดอกไม้ ทุ่งหญ้า แม่น้ำ ที่มีลักษณะคล้ายเส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่าน ซึ่งระหว่างทางจะมีทั้งคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูน และป้ายต่างๆ ตั้งอยู่ตลอดสาย เป็น Gimminck ที่น่ารักมาก
การเดินทาง
– จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟ JR สาย Limited Express Wakashio ลงที่สถานี Ohara ใช้เวลา 72 นาที ค่ารถ 2,590 เยน
– จากสถานี Narita นั่งรถไฟ JR สาย Sobu/Narita Line Rapid ลงที่สถานี Chiba ใช้เวลา 22 นาที และต่อสาย JR Sotobo ไปลงที่สถานี Ohara ใช้เวลา 64 นาที ค่ารถ 1,490 เยน
พวกเรามาเริ่มต้นสายรถไฟกันที่สถานี Ohara ครับ โดยค่าตั๋วรถไฟจะมีทั้งแบบบุฟเฟ่หนึ่งวัน นั่งกี่รอบก็ได้ 1000 - 1500 เยน ถ้าเป็นสถานีก็ 530 เยน .. และหากมาในช่วงมีนา - เมษา จะได้เห็นรถไฟวิ่งผ่านทุ่งดอกซากุระบานเคียงข้างกับดอกนาโนะฮานะด้วยย คงสวยไม่หยอกเลยตอนนั้น
บริเวณหน้าสถานี มีสถานีตำรวจสุดแสนจะน่ารักอยู่ ใครมาอย่าพลาดนะ 5555
ได้เวลาขึ้นรถไฟแล้ววว !!
รถไฟสาย Isumi นี้จะมีแค่สองขบวนหรือบางทีมีหนึ่งขบวนและยังเป็นระบบโบราณใช้น้ำมันอยู่ ซึ่งเป็นความคลาสสิกอย่างนึงของรถไฟสายนี้ เพราะรถไฟ JR เค้าไปใช้ไฟฟ้ากันหมดแล้วว
ขึ้นมาก็พบมุมน่ารักมารอต้อนรับผู้โดยสารทุกคนอยู่ด้านขวา ...
เรานั่งแช่รอเวลารถไฟออกกันสักพัก ไม่นานเครื่องจักรก็เริ่มทำงาน รถรางก็เริ่มเคลื่อนตัวว ... ฉึกฉักๆ
หากจะถามหาวิวอลังการแบบสวิส ... ไม่มี
หากจะถามหาทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างอย่างมองโกเลีย ...ไม่มี
แต่ผู้โดยสารทุกคนจะได้พบกับธรรมชาติที่สวยงาม ในความเป็นญี่ปุ่นขนานแท้ ที่หาดูไม่ได้ง่ายๆในเขตเมือง รถไฟจะวิ่งไปตามทาง ผ่านทุ่งนา ถนนหนทาง บ้านเรือน เนินเขา ภูเขา ดอกไม้ ต้นหญ้า ลำธาร ที่สลับหน้าที่มาทักทายผู้โดยสารทุกคนอย่างต่อเนื่อง
ธรรมชาติอันบริสุทธ์ โอโซนที่สดชื่น รอยยิ้มของทุกคน คือความสดใสที่รถไฟสายนี้มอบให้กับผม
บรยากาศสองข้างและความโบราณยังถูกคงไว้ แต่ก่อนเป็นไง ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไป เราอยู่ในโลกยุคเทคโนโลยี ทันสมัยกันมาตลอดในยุคนี้ บางทีหากเราปลีกตัวออกมาอยู่กับรถไฟที่เหมือนจะธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาตามธรรมชาติบ้างก็ดีเหมือนกัน
เขียวว .. ขาววว และฟ้าาาา
รถไฟยังคงแล่นไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน เช่นเดียวกับวิถีชีวิตของคนที่นี่ ทุกวันนี้รถไฟสาย Isumi ไม่ได้มีแต่นักท่องเที่ยว แต่ยังมีคนพื้นที่ ที่ยังคงใช้บริการอยู่เหมือนเดิม ..
อ๊ะะ !! นั่นนเจ้ามุมินนนน !! รถไฟจะหยุดที่สถานีนี้สักพัก เด็กๆ หลายคนก็วิ่งลงไปถ่ายรูป บ้างก็ลงที่นี่ เพื่อไปวิ่งเล่นในสนามด้านหลังที่มีการจัดฉากให้เหมือนในการ์ตูนก็มี สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเด็ก บางทีแค่ได้ดูพวกเค้า เราก็รู้สึกเด็กลงไปด้วย อาจจะไม่ใช่อายุ แต่เป็นอารมณ์ ^^
ลืมดูเวลาไปเวลา ว่าแล่นไปกี่นาที มารู้ตัวอีกที ก็มาถึงสถานีที่ต้องลองซะแล้วว เราลงกันที่สถานี Otaki เพื่อที่จะไปชมปราสาทโอตากิ ที่อยู่ด้านบนกัน จากตัวสถานีสามารถเดินขึ้นไปได้ โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที แต่โชคดีที่ผมไม่ต้องเดิน 555
เพราะมีรถบัสของชาวคณะ พาเรามาถึงยังจุดจอดรถใกล้กับปราสาท แล้วเดินตามทางขึ้นมาอีกเล็กน้อยก็มาถึงตัวปราสาทโอตากิ
ปราสาท Otaki เคยเป็นศูนย์กลางของชนเผ่า Satomi ในสมัยเอโดะก่อนที่มันจะถูกปล่อยทิ้งร้าง ปัจจุบันตัวปราสาทได้ถูกบูรณะให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีการจัดนิทรรศการต่างๆ และยังเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่การอนุรักษ์วัฒนธรรมอีกด้วย ซึ่งปราสาทนี้เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในเขตจังหวัดชิบะ
ที่นี่จะมีค่าเข้าเพียง 200 เยน ด้านในจะมีทั้งชุดซามูไร ให้ได้ใส่กันฟรี ๆ น่าสนใจมาก รวมไปถึงยังมีของโบราณต่าง ทั้งของใช้หรือแม้แต่อาวุธให้เราได้ดูกันจะๆ
เราอยู่ที่ปราสาทกันสักพัก จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ เพื่อไปยังสถานที่ที่หลายๆคนรอคอยยย .. ชอปปิ้งงง !! ที่
" Mitsui Outlet park "
ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น Outlet ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคันโต ไม่ธรรมดาครับ บรรยากาศน่าเดินมาก มีร้านค้าแบรนด์เนมชั้นนำต่างๆ มากมาย เช่น coach amani burberry หรือแนวสปอร์ตอย่าง New balance Adidas และอื่นๆ มารอให้ทุกคนมาละลายทรัพย์กัน ที่นี่ว่ากันว่าลดบ่อยยย เอะอะลดๆ วันที่ผมไปนี่ป้าย 50% หราเต็มไปหมดดด
การเดินทาง ตามนี้เลยยย !
บรรยากาศบางส่วนจาก Outlet ครับ ผมไม่ค่อยได้เดินมากก แต่ถ้ามีโอกาสมาอีกครั้ง พี่จะเดินให้ขาลากกเลยย ><
จากที่ผมได้เกริ่นไว้ด้านบน ว่าให้ลองจินตนาการณ์ถึงภาพของเจ้าตัว ชิบะคุง มัสคอร์ตประจำเมืองจากแผนที่ดู .. ตอนนี้ขอเฉลยครับบบ !! นี่แหละ หน้าตาของตัวชิบะคุง ซึ่งมันจะเหมือนในแผนที่ก็ตอนมองจากข้างๆ นั่นเองง
หากใครมา Mitsui outlet สามารถแวะมาเยี่มเจ้าชิบะคุงตัวนี้ได้ที่ด้านในสุดของ food court ครับ น่ารักกกกดีแฮะ
หลังจากทีมงานชอปกันเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อออ ... ระหว่างทางของจังหวัดชิบะ ยังคงสดชื่นสบายตาเหมือนเช่นเคย
นั่งมาเรื่อยๆ จนผ่าน Aqual line ... ว่าแต่มันคืออะไร ?
Tokyo Bay Aqua – Line
ที่เมืองคาวาซากิ จังหวัดคานาซาวาจะมีทางด่วนสำหรับรถยนต์ ตัดผ่านอ่าวโตเกียว ไปเชื่อมกับเมืองคิสาราสึ จังหวัดชิบะ มีความยาวประมาณ 15.5 กิโลเมตร ไปมาระหว่างเมืองคาวาซากิและเมืองคิสาราสึ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ทางด่วนเส้นนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมเขตโบโซของจังหวัดชิบะ ซึ่งเป็นเขตที่กำลังพัฒนา กับ เขตเคฮิน ซึ่งเป็นเขตที่พัฒนาแล้ว เข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องที่ ซึ่งเจ้าทางด่วนเนี่ยแหละ ที่เรียกกันว่า " Aqua line "
ซึ่งเป็นทางด่วนที่ทำให้สามารถเดินทางไปยังจิบะจากเมืองใหญ่ได้สะดวกขึ้น ระหว่างทางจะมองเห็นที่จอดรถกลางทะเล "อุมิโฮตารุ PA" เป็นที่จอดรถที่จอดได้ถึง 408 คัน มีร้านอาหารและร้านกาแฟ, ที่พักผ่อน, หอสมุดที่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Aqua Line, และยังมี "ระฆังแห่งความสุข" ที่ตีแล้วความสุขจะมาเยือนอีกด้วย สามารถท่องเที่ยวไปพร้อมกับพักผ่อนหย่อนใจได้ในที่เดียวกัน
ผ่านมาอีกไม่กี่นาที เราก็มาถึงที่ " Ryugujo spa hotel mikazuki " ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของสปาและออนเซ็นในแถบจังหวัดชิบะ แต่ที่นี่มีอะไรมากกว่านั้น ..
สัมผัสแรกเมื่อเข้ามาที่ลอบบี้ ก้รู้สึกได้ถึงความโอ่งโถงและหรูหราของที่นี่ ทุกคนต้องถอดรองเท้าของตัวเอง แล้วนำมันไปฝากไว้ที่ล้อกเก้อ ก่อนจะเหยียบขึ้นมาบนพรมอันแสนไฮไซของโรงแรม
และเมื่อฝากรองเท้าแล้ว ... ทางเจ้าหน้าที่ก็พาเราออกมาด้านนอก !! แล้วรองเท้าาล่ะ !!
ไม่ต้องตกใจไป ทางโรงแรมจะมีรองเท้าให้ใส่แทนครับ เรียกว่าจะมีจอดรออยู่ตามจุดต่างๆ ทั้งด้านในและด้านนอกตามสไตล์ความละเอียดอ่อนของญี่ปุ่นเค้าล่ะ
อีกอาคารจะมีสระว่ายน้ำที่มีทั้งน้ำเย็น และน้ำร้อนให้แขกได้มาใช้บริการกัน อากาศก็หนาวใครจะมาใช้ ... ผมบ่นในใจไม่ทันไร หันไปทางซ้าย โอ้วววว มากันทั้งครอบครัวเลย ถอดเสื้อเล่นน้ำกันอากาศแบบนี้กลางแจ้งเนี่ยยยนะ !! ><
จากนั้นก็ไปดูห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น แต่เป็น Seaview บอกเลยว่า ตอนที่เห็นเตียงนั้น ความง่วงก็คืบคลานเข้ามาครอบงำ จนอยากจะกระโดดทิ้งตัวลงไปซะให้ได้ ><
มาดูห้องรับรองก็เกร๋ไม่หยอกกก
มองออกไปด้านนอกจะเห็นท้องทะเลอันกว้างไกล ในช่วงแสงยามเย็นก็ดูสวยงามตามที่ควรจะเป็นเช่นเคย
ห้องอาหารที่นี่มีบุเฟ่ปู เสียดายที่ไม่ได้ทานน แต่นอกจากอาหารที่น่าทานแล้ว วิววพี่เค้าก็เหลือรับประทานนนเหมือนกันน !!
จากนั้นก็ได้ไปดูสปาที่มีหลากหลายกลิ่นให้ผู้ใช้บริการได้ไปลิ้มลอง รวมไปถึงบ่ออนเซน Indoor สุดจะเก๋ ตอนกลางคืนพี่เค้ามีเลเซอร์ในออนเซนด้วยนะ เอากับเค้าสิ 555
โรงแรมนี้ไม่ได้มีแค่ห้องพักหรือการแช่น้ำ .. ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่นตรงนี้ที่พี่เค้ายกงานวัดของญี่ปุ่นที่คคล้ายๆกับบ้านเรามารวมกัน มีทั้งยิงปีน ปาเป้า ตักกไข่ ใส่หน้ากากก และอีกหลากหลายยอย่างง
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ทำให้ผม ทึ่ง อึ้ง มาก คือ โรงแรมนี้มีพิพิฒพันธ์สามมิติ !! คือคุณสามารถยกครอบครัวมารั่วกันที่นี่แบบไม่ต้องไปไหนได้เลยนะ ครบทุกความสนุก 555
สงครามยังไม่หมด อย่าเพิ่งนับศพทหาร ..
วันยังไม่หมด ก็อย่าเพิ่งนับสถานที่ที่ไปมา !! ถึงฟ้าจะมืดเราก็ยังไม่หยุดเที่ยววว ... เพราะยังมีสถานที่เที่ยวสุดท้ายที่เปล่งประกายรอคอยทุกคนอยู่ จากโรงแรมนั่งรถมาสักพัก ก้มาถึงที่ ...
" หมู่บ้านเยอรมัน หรือ Tokyo German village " ซึ่งคงต้องขอย้ำอีกครั้งว่าที่นี่ถึงชื่อมันจะเป็นโตเกียว แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ในเขตจังหวัดชิบะครับ
การเดินทาง
จากสถานีโตเกียวไปด้วยรถไฟ JR Sobu-Line มาลงที่สถานี JR Sodegaura จะมีบริการรถบัสฟรี วิ่งรับส่งระหว่างสถานีในวัน ศุกร์ เสาร์ และ อาทิตย์ เริ่มตั้งแต่บ่ายสามโมง ทุกๆ 30 นาที จนถึง 19.00 น.ในช่วงที่มีงาน illumination
หากพูดถึงหน้าหนาวที่ญี่ปุ่น ... คุณอาจจะคิดถึง หิมะ คอสตูมแน่นจัดเต็ม รองเท้าบู้ท ออนเซน .. และ ไฟประดับ... ซึ่งคนญี่ปุ่นเค้าจะชอบมากก โดยคนที่นี่เค้าเรียกแบบสำเนียงญี่ปุ่นว่าาา " อิ ลู มิ เน ฉ่ง (ฉ่งจริงๆ) มาจากคำว่า illuminations " ซึ่งที่หมู่บ้านเยอรมันแห่งนี้ ถือว่าฮอตฮิตติดชาร์ท และได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 10 สถานที่ที่ดู อิ ลู มิ เน ฉ่ง หรือไฟประดับได้สวยที่สุดในญี่ปุ่นน !!
เอ้า เสื้อหนาวพร้อม กายพร้อม กล้องพร้อม .. ใจไม่ต้องพูดถึงง นี่พร้อมตั้งกะวันเดินทางงงแล้วว >< ไปกันเลยย
แค่อยู่ด้านหน้า ก็ได้สัมผัสกับไฟประดับประดาทั่วอาณาบริเวณกว้าง พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นสนามกอล์ฟมาก่อนน ใครว่างสามารถเอาไม้กอล์ฟและลูกกอล์ฟมาตีได้ .. เดี๋ยวๆๆ ไม่ใช่ละ 555
แต่เคยเป็นสนามกอล์ฟจริงๆ พื้นที่จึงเป็นทางลาดบ้าง เนินบ้างสลับไป พอมีไฟมาประดับ มันเลยดุมีมิติที่สวยงามม อย่างตรงนี้ก็เป็นจรวด และมีฉากหลังเป็นทุ่งกว้างกับชิงช้าสวรรค์
เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงเจ้านี่ ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับหุ่นยนตร์ครึ่งตัวว .. รึเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆ แต่สวยยยดีครับ ส่วนมากเท่าที่เห้นจะมีคู่รักมาเดินสวีทกันเยอะมากก .. ก็บรรยากาศมันได้อยู่นะ อากาศหนาวๆ เดินกุมมือกัน ในความมืด ที่มีแสงไฟสีสันสวยงามเปล่งประกายทั้งสองข้างทาง ซึ่งบันดาลให้คนโสดที่แต่เดิมมัน แม่มเหงาขึ้นมาจับใจ
เราเดินผ่านเจ้าหุ่นตัวเหลืองเข้ามาด้านในในขณะที่เสียงเพลงแห่งความสุขกำลังดังงไปพร้อมๆกับลูกโป่งที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า .. บรรยากาศดีงามมากกก !! และเจ้าลูกโป่งนี่ ถ้าเราเอานิ้วไปจิ้มมัน ก็จะกลายร่างเป้นควันและส่งกลิ่นอันหอมหวลเข้ามาที่ปลายจมูก
เสียงเพลงป๊อปร๊อคใสๆ .. ลูกโป่งควันที่ลอยอยู่บนฟ้า ... ความรักของคนรักที่ทิ่มเข้ามาที่ลูกกะตา นี่คือเวลาแห่งความสุขของทุกคนรอบข้าง ทุกเพศ ทุกวัยต่างพากันเล่นลูกโป่ง ยืนมองมันลอยไปกับสายลมและเสียงดนตรี ผมเห็นคู่รักด้านหน้าที่กุมมือกันแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราของความสุขของพวกเค้าในช่วงเวลานั้น
" หากเจอคนที่ใช่ .. ก็อย่าปลอยมือเค้าไปนะ "
ไม่นานนักเสียงเพลงก็ดับลง ไปพร้อมๆกับผู้คนที่เริ่มเดินไปจากตรงนั้น ความเงียบได้เข้ามาแทนที่ แต่ความสุขก็ไม่ได้ไปไหนไกล เพราะมันกำลังเดินตามผู้คนที่เคยอยู่ตรงนี้ไปเป็นเงา ^^
เดี๋ยวจะงงว่า ทำไมถึงเรียกว่าหมู่บ้านเยอรมัน .. ก็เพราะว่าสไตล์ของบ้านเหล่านี้เป้นแบบเยอรมันนั่นเองง
และก่อนจะจากลา ผมก็จัดไส้กรอกกระดูกมากินหนึ่งอันนน อร่อยยยยมากกก ขายอยู่ด้านหน้าทางเข้าเลยครับ ราคา 500 เยนน ใครเห็นโปรดดดลองง !!
ในที่สุดถึงเวลาปิดทริปประจำวันที่สอง ถือว่าไปกันมาหลายที่มากกก
เรานั่งรถบัสกันเข้ามาที่ใจกลางเมืองชิบะ โดยคืนนี้เราจะพักกันใจกลางเมือง ที่โรงแรม Mitsui Garden Chiba ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองงเลย ทำเลโคตระดี และมาถึงแล้วจะให้อยู่ห้องรอคอยเวลาหนังตาจะร่วงก็ไม่ใช่เรื่อง
จึงไปเดินเล่นบริเวณโรงแรม และก็ได้เจอราเมนชื่อดังงง !! " Ippudo Ramen !! " ร้านทางขวานั่นแหละครับ เมื่อเราได้พบกัน ในใจก็บอกว่า " เห้ยมึง มาถึงญี่ปุ่น แต่ยังไม่ได้กินราเมนนี่กลับประเทศไม่ได้นะเว่ยยย "
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงไม่รอช้าาา .... พุ่งงงง !!
เมื่อเข้ามาแล้วววเลยจัดเมนูคลาสสิคไป 790 เยน อร่อยยยยยมากกก น้ำซุปกลมกล่อมม เหมือนจะมีที่ไทยนะ ไม่รู้ว่าอร่อยยเท่าหรือเปล่าา
สำหรับวันที่สองนี้ ขอปิดท้ายยด้วยราเมนชามนี้ .... ใครกำลังอ่านรีวิวถึงตรงนี้ตอนดึกๆ ต้องขออภัยด้วยนะครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้หิวนะ 5555
_____________________________________________________________
Day 3
จากเมื่อคืนนอนเรียวกังย้อนยุค .... เช้าวันนี้ตื่นมากับความทันสมัยย นี่เรานั่งไทม์แมชชีนเดินทางผ่านความฝันมาสินะ ( เพ้อแต่เช้านะเมิง )
นี่คือสภาพห้องนอน สดๆ ร้อนๆ ในตอนตื่นน ในวันที่ไม่อยากจะตื่นน เพราะเตียงโคตรสบายย
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก้ลงมาทานอาหารเช้าา ... พอเห็นข้าวแกงกะหรี่เท่านั้นนแหละะะ ฟินนนเลยย นี่คือของโปรดจานโปรด ชอบมากก แกงกะหรี่ที่ญี่ปุ่นมีรสชาติเป้นเอกลักษณ์ที่ผมกินที่เมืองไทยยังไง ก้ไม่เหมือนที่นี่ อร่อยเหมือนกันบนความแตกต่างที่ลงตัว
วันนี้ไม่ใช่รถบัสคันโต แต่เป็นรถตูโก้ๆ คันนี้ ที่จะอยู่กับผมและพี่ๆ สื่อไปตลอดวัน ... วันนี้ฟ้ายังสดใด อากาศยังชื่นใจเหมือนเดิมม ไปกันเลยย !
ที่แรกที่เราจะเริ่มต้นวันใหม่กันคือธรรมชาติใจกลางเมืองง ...
" สวนมิฮาม่า หรือ Mihama-en "
สวนแห่งนี้เป็นสวนญี่ปุ่นที่จงใจสร้างขึ้นมาใจกลางเมือง และมีตึกระฟ้าเป็นฉากหลัง ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างธรรมชาติและความทันสมัยได้อย่างลงตัว มีความร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนของคนเมือง หรือนักท่องเที่ยวก้สามารถเข้ามาชมความสวยงามและวัฒนธรรมอันดีงามของสวนแห่งนี้ได้อีกด้วย ค่าเข้าที่นี่ถู๊กกถูกก อยู่ที่ 100 เยน หรือ 30 บาทท !!!
ถูกกแบบนี้ ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งงงง
การเดินทาง
จากสถานีรถไฟ JR Kaihin-Makuhari เดินต่อมาแค่ 5 นาทีเท่านั้นน
พอเข้ามาในสวน ก็รับรู้ได้ถึงความสดชื่นใจกลางเมือง ... หากมาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี คุณก้จะได้สัมผัสกับสีสันอันหลากหลายจากธรรติ
นี่แหละครับ มุมมต่างๆ ภายในสวน ถูกจัดให้มีความเชื่อมโยงกับตึกสูงโดยรอบ ดูมุมไหนก็สวย เค้าทำให้มันเป็นสิ่งที่ขาดกันไม่ได้ ระหว่างธรรมชาติและตึกระฟ้า
บรรยากาศร่มรื่น และมีพันธ์ไม้นานชนิดอยู่ในนั้น ใจกลางสวนยังมีสระน้ำขนาดย่อมอีกด้วย
งามขนาดดด .. จะขาดก็แต่คนข้างงงกายยย ><
สระน้ำที่นี่ใสมาก มองลงไปจะเห็นเหล่าปลาเล็กปลาใหญ่แหวกว่ายกันอย่างอบอุ่น
ระหว่างทางก็ได้พบเห็นดอกบ๊วยกำลังบานสะพรั่งเต็มไปหมดดด งดงามมแบบหมดจดจริงๆ
ชมสวนกันพอหอมปาดหอมคอ ทางทีมงานก็พาเราเข้าไปสู่เรือนไม้สไตล์ญี่ปุ่นโบราณหลังนึงภายในสวน เพื่อที่จะสัมผัสและลิ้มลองวัฒนธรรมอันดั้งเดิมของญี่ปุ่นกับ " พิธีชงชา "
หลังจากได้ที่นั่งกันแล้วว ชาเขียวก็มาเสริฟพร้อมกับขนมชนิดนึง ซึ่งมีนามว่า " ขนมบ๊วยย " ที่รสชาติไม่ได้เหมือนบ๊วย และก้ไม่ได้สอบได้ที่โหล่ แต่ที่โผล่มาชื่อบ๊วยก็เพราะว่ารูปร่างของมันมีลักษณะคล้ายบ๊วย โดยขนมบ๊วยที่นี่มาจากร้านเก่าแก่ชื่อดังประจำเมืองชิบะ ชื่อร้านโทระยะ ส่วนชาเขียวมาจากเทืองอุจิที่อยู่ในจังหวัดเกียวโต ซึ่งดังมากเรื่องชา
วิธีการทานคือเอาไม้ที่เค้าแจกตัดขนมบ๊วยเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยๆกิน ... ผมอาจจะได้ยินช้าไป เพราะไม่ทันไร ผมจับมันยัดเข้าปากทั้งงลูกกกก !!! โว้ววว 555 ภูมิปัญญาชาวบ้านขนานแท้ #ด่าได้แต่อย่าแรง
จากนั้นจึงค่อยจิบชาตามไป ในขณะที่รสหวานของขนมยังคงอยู่ เพราะมันจะได้กลืนความขมของชาเข้าไป จนกลายมาเป็นความพอดีในที่สุด
ดื่มชาเสร็จแล้ว ก้เปิดประตูออกมาดูความสดชื่นจากพื้นที่ชงชาก่อนจะโบกมือลาที่นี่
จากสวนมิฮาม่าไม่ไกล เราก็มาถึงร้านดังที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยกันดี .. ร้าน " Daiso "
หากมันเป้น Daiso ทั่วๆไป ผมคงไม่พูดถึงและปล่อยผ่านไป ... แต่ที่นี่คงต้องขอพูดถึงซะหน่อย เพราะนี่คือร้าน Daiso ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น อยู่ในเขตจังหวัดชิบะ โดยมีทั้งหมด 7 ชั้น !! ของเยอะมาก มีทุกอย่างง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือโจรสลัด บางอย่างที่คิดไม่คิดว่าจะมีก้มี หลายอย่างก็โคตรจะน่ารักก แฟนพันธ์แท้ Daiso ต้องมา !!
การเดินทาง
โดย JR Line มาลงที่สถานี Funabashi เดินอีก 100 เมตร ถึงเลย
ช่วงไหนตรงกับเทศกาลอะไร ก็จะมีสินค้าที่เกี่ยวของกับเทศกาลนั้นมาขาย และช่วงที่ผมไปมันคงใกล้วาเลนทไน์พอดี จึงมีของน่ารักๆ เกี่ยวกับความรัก มารอรักกันอยู่เต็มชั้นนน
ของเยอะขนาดนี้ ตานี่จะพลาดได้ยังไง จัดไปพอกรุ้มกริ่มมม 555
เสร็จจาก Daiso ก็เดินไปทางด้านขวาอีก 2 นาที ก็เจอกับอีกร้านสุดฮิตของนักท่องเที่ยววว ..
" ห้าง Don Quijote "
หรือที่คนไทยมักจะเรียกว่าห้างดองกี้ ซึ่งที่นี่จะเป็นห้างปลอดภาษีหากซื้อครบจำนวนที่เค้ากำหนด อย่างที่สาขานี้ หากซื้อมูลค่าถึง 5,000 เยนก็จะ Free tax กันไป ห้างนี้มีสินค้าหลายอย่าง แต่จะต่างกับ Daiso อย่างสิ้นเชิง ที่นี่ขายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ เครื่องไฟฟ้า เครื่องครัว เครื่องประดับ เครื่องสำอางค์ เครื่องดื่ม และสุรา เรียกว่าเดินกันเพลิน
บรรยากาศด้านในของห้างดองกี้ จัดร้านแบบนี้ แค่เห็นก้รู้ว่าถูกกก !
เนื่องจากผมซื้อแค่โฟมล้างหน้าหลอดสีฟ้า ยี่ห้อดังงที่ใครมาญี่ปุ่นก็ต้องเอาติดไม้ติดมือกลับไป จึงใช้เวลาไม่นาน เลยมีเวลาไปเดินเล่นในละแวกนี้อีกนิดนึง ลองให้ภาพเล่าเรื่องดูบ้าง ...
เอาล่ะ เมื่อทุกคนชอปกันเสร็จ ก็ถึงเวลากับสถานที่ที่ผมรอคอยยย
เรากำลังจะไปย้อนวัย ที่สวนสนุกระดับโลกอย่าง Disneyland กันนนนน !! ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งที่สามของผมกับประเทศญี่ปุ่น แต่นี่จะเป็นครั้งแรกของผมที่ Disneyland เพราะครั้งก่อนที่มา ผมตัดสินใจเข้า Disney sea แค่ที่เดียว ตอนนี้เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ ด้วยความที่ส่วนตัวเป็นคนชอบสวนสนุกมากก วู้วววว
อาจจะมีหลายๆคนยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วโตเกียวดิสนี่แลนด์มันไม่ได้อยู่ในโตเกียวนะ ... มันอยู่ในเขตจังหวัด ชิบะ (Chiba) แต่สาเหตุที่ใช้ชื่อโตเกียวนำหน้า เพราะคนรู้จักโตเกียวกันดีอยู่แล้วว
ใกล้เข้ามา เห็นปราสาทอยู่ลิบบๆ ...
การเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ยาก พอมาถึงสถานีรถไฟ Tokyo แล้วขึ้นรถไฟสาย Keiyo (京葉線)ไปลงสถานี Maihama (舞浜)ก็จะถึงเลย
ในที่สุดเราก็ได้เจอกันนน " Disneyland " ดินแดนแห่งความสุข ! ^^
ช่วงที่ผมไปที่ญี่ปุ่น กระแส Frozen ยังคงแรงอย่างต่อเนื่องและยาวนานข้ามปี หลายสิ่งในดิสนี่แลนด์ก็จะมีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มกันตั้งแต่หน้าประตูทางเข้า ... เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคนที่นี่เค้าอินเรื่องนี้ขนาดดไหนน
และครั้งนี้ ผมมาในฐานะสื่อมวลชนจากแดนสยาม ในขณะที่เวลามีค่อนข้างจำกัดพอสมควร แต่ก็ต้องขอบคุณทางดิสนี่แลนด์ที่พาไปจุดสำคัญได้อย่างทันท่วงที ทั้งมุมสวยๆ ดูพาเหรด และได้เล่นเครื่องเล่นอีกกสองอย่าง
พอเดินเข้ามาตามทาง ไม่นานก็จะเจอกับปราสาทดิสนี่ แลนด์มาร์คประจำสวนสนุก พร้อมกับรูปปั้นท่านบรรพบุรุษและมิกกี้เม้าส์คู่ใจมายืนเวลคั่มทุกคนอยูตรงนี้
อากาศที่ดิสนี่แลนด์หนาวใช้ได้เลย ... แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นนนนะ 5555
สวนสนุกยังคงสนุกเช่นเคย .. ผมชอบบรรยากาศ ชอบผู้คน ชอบเครื่องเล่น ชอบเสียงเพลง ชอบขนม ชอบของฝาก ชอบทุกอย่างที่อยู่ในนี้ มันเหมือนกับเราได้หลุดมาอยู่อีกโลกนึง ซึ่งดิสนี่แลนด์ที่ญี่ปุ่นทำแบบนั้นได้ค่อนข้างชัดเจน เพราะหากคุณเข้ามาที่นี่แล้ว คุณจะไม่สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้เลย นี่เป็นสไตล์ของเค้า ที่พอจะสร้างอะไรสักอย่าง ก็จะปราณีตในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
แม้วันนี้จะเป้นวันธรรมดา แต่ผู้คนก็ยังมากหน้าหลายตา ... และขอบอกว่าคอสตูมแต่ละคนแน่นนมาก มิกกี้เม้าเต็มสวนสนุก ทุกคนพร้อมใจกันมาปลอดปล่อยความสุขผ่านช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน ทั้งครอบครัว คู่รัก หรือชาวคณะเพื่อนฝูง
อีกมุมสวยๆ บริเวณด้านข้างของปราสาทดิสนี่
นี่ก็สวยยยย
เจ้าโอลาฟฟฟฟแห่ง Frozen เต็มมมเลยย มองไปทางไหนก็เจอ เผลอไปเมื่อไรก็เห็นนน ! ^^
เครื่องเล่นแรกที่ผมได้เล่นคือ Pirate of the Caribbian เป็นการนั่งเรือแล้วเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโจรสลัดและสายน้ำ ทำออกมาได้ดี ตัวละครดูเนียนน เพลินนดีครับ
จากนั้นเราก็เดินมาชมวิวบริเวณด้านข้างของ Splash mountain ก็ได้เห็นภาพที่ลงตัว เมื่อเรือยักษ์ประจำสวนสนุก ได้เดินทางมาพร้อมๆกับรถไฟ สองพาหนะที่ไม่มีวันจะชนกัน ซึ่งหากเมื่อไหร่เรือสามารถชนกับรถไฟได้ ผมว่าโลกนี้แม่มคงอยู่ยากละ 555
เราเดินกันมาข้างๆ ของปราสาทจะมีมุมหนึ่งที่น่าสนใจ คือครงนี้จะเป็นบ่อน้ำ และเมื่อเราเอาหูลงไปฟังจะมีเสียงเพลงดังขึ้นมาจากข้างใต้ เกร๋ดีอ่าา
ได้เวลาดูโชว์พาเหรดแล้วว !! คนไปรอดูกันเยอะมาก บางคนมารอกันเป็นชั่วโมงเพื่อที่จะได้ทำเลที่ถูกใจ และโดนใจที่สุด บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ พวกเรามายืนดูในพื้นที่พิเศษตตรงสะพานน จะว่าไปบางทีมาในฐานะสื่อก็ดีเหมือนกันแฮะ
ไม่นานขบวนพาเหรดก็เริ่มต้นขึ้นน ... นักแสดงทุกคนออกมาพร้อมกับรอยยิ้มและความสุขในสิ่งที่ทำ เสียงเพลงอันสดใสได้ดังกระหึ่มขึ้นทั่วราชอาณาจักรดิสนี่ ทั้งเสียงจากลำโพงที่กล้องกังวาล รวมไปถึงเสียงจากเครื่องดนตรีของเหล่านักแสดงที่ประสานกันได้อย่างเข้าขา
พวกเค้าไม่ได้มาเล่นคนเดียว หรือมาเล่นกันเอง แต่ที่นี่พวกเค้าจะออกมาเล่น มาสนุกกับทุกคน ให้ผุ้ชมทุกคนมีส่วนร่วมกับการเดินขบวนน ..ส่วนตัวผมชอบอารมณ์ของนักแสดงในขบวนมากกก คือดูออกเลยว่าเค้าแสดงออกมาจากข้างใน ดูแล้ววอินและฟินไปตามๆกัน
และในช่วงที่เพลง " Let it go " เวอร์ชั่นญี่ปุ่นดังขึ้น รอยยิ้มและเสียงร้องเพลงของผู้คนที่มาชมก็ดังคลอไปกับเสียงเพลง นักแสดงทุกคนพร้อมใจกันปลดปล่อยอะดรีนาลีนแห่งความสุขมาถึงผู้ชม ผมยืนถ่ายรูปไปก็มีความสุขตามไปติดๆ
ถือว่าเป้นโชว์ที่ดีมาก ระยะเวลากำลังดี ไม่นานจนเกินไป ไม่สั้นจนเพลียใจ
และในวันที่เราไป เครื่องเล่นสตาร์วอร์สเพิ่งกลับมาเปิดได้สองวัน หลังจากปิดมาสักพัก ผมก็ได้ไปลองมาเหมือนกัน สรุปว่าาสนุกกกอ่าาาาาา น่าจะนานอีกนิด แต่คิดๆไปถ้านานกว่านี้ก้สงสารคนเข้าคิว แถวนี่ยาวยันสุไหงโกลกกกเบย ซึ่งนี่คือจุดสุดท้ายของเรา ก่อนจะแยกย้ายจากกันไป
ฟ้ายังไม่มืด ... แล้วจะกลับกันง่ายก็กระไรอยู่ เราจึงปิดท้ายวันที่กันที่่
" AEON Mall Makuhari New City Chiba "
Aeon Mall ที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่สาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ประกอบไปด้วย 4 อาคาร ที่มีความแตกต่างกันไป มีทั้ง Active mall , Pet mall , Family mall และ Grand mall สาเหตุที่ต้องสร้างให้บิ้กเบิ้มแบบนี้ ก็เพราะว่าเค้าอยากจะให้ที่นี่เป็น one stop center ของการชอปปิ้งและความสนุกที่มีครบครัน สำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยและทุก lifestyle
การเดินทาง
นั่งรถไฟสาย JR Keiyo Line มาลงที่สถานี Kaihin-Makuhari แล้วเดินต่ออีกไม่ถึง 20 นาทีครับ
สำหรับขาชอปแฟชั่น แนะนำ Grand mall ส่วนสายสสปอร์ตลองไปดูที่ Active mall ส่วนงวดนี้ผม ....
หาอะไรทานฟู้ดคอร์ททเบาๆ 5555 สงบเสงี่ยมเจียมตังค์ ><
เมื่อได้เวลาเราก็เดินทางกลับที่พักกก แต่เอ๊ะ อาการคึกคักอยากออกไปเดินเล่นกำเริบอีกแล้วว เมื่อวันก่อนมีน้องบอกว่าร้านตรงข้ามโรงแรมอร่อยชื่อร้านว่าา 24 บลาๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น และเมื่อวานกินราเมนมื้อแรกไป .. วันนี้ก็คิดในใจเช่นเดิมว่า เห้ยยย ยังไม่ได้กินซูชิ ปลาดิบเลยย ... เอ้าจัดดิ !
บรรยากาศในร้านคึกคักกกมากก ที่นี่มีทั้งซาชิมิ ปิ้งย่าง ซูชิ และแอลกอฮอล์ขาย พนักงานเลิกงานมาจับกลุ่มคุยกันเต็มมเลย ผมก็กินด้วยความอยากเฉยๆ เพราะไม่ค่อยหิวเท่าไหร่
จัดไป ! ซาชิมิ กับซูชิ เซทเล็กๆ ... อร่อยยยยก่อนนนอนน หัวถึงหมอนไม่ต้องพูดถึง เข้าเฝ้าพระอินทร์โดยฉับพลันด้วยระบบอัตโนมัติ
________________________________________________
Day 4
วันนี้ระบบขับถ่ายเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนตี 5 !! บ้าจริงงๆ เช้าไปนะ ... เมื่อลุกขึ้นมาจากเตียงนุ่มๆแล้ว ก็ตัดสินใจลุกเลย เพราะถ้าลงไปหลับอีกรอบเดี๋ยวจะไม่ได้ลุก
หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมจนพุงกาง ชาวคณะที่คราวนี้มากันพร้อมหน้าพร้อมตาได้เดินทางมาถึงเป้าหมายแรกประจำวัน ที่มีคำนิยามสั้นๆ จากทางร้องล่ามมว่าาาา
" ไม่อั้น! " สองคำอันทรงพลังนี้คือประโยคที่ถูกใจคนไทยทุกคน และสองคำนี้มันกำลังจะถูกใช้ที่
" Dragon farm " หรือ ฟาร์มสตอร์เบอรรี่สุดฮิตประจำจังหวัดชิบะ
โดยปกติแล้วการเก็บสตอร์เบอรรี่นั้นจะต้องจองกัน และส่วนมากจะเดินทางเข้าถึงลำบากเนื่องจากไม่ได้อยู่ในเขตเมือง จะต้องซื้อทัวร์กันมาหรือนั่งแทกซี่ค่อนข้างไกล แต่สำหรับที่ Dragon farm แห่งนี้ ไม่ต้องโทรจอง และสามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก ช่วงเวลาที่จะเปิดคือ ช่วงเดือนมกราคม - วันที่ 6 เดือนพฤษภาคม
การเดินทาง
นั่งรถไฟมาลงรถที่สถานี Chishirodai-kita แล้วต่อด้วยนั่งสาย Chiba City Monorail จากนั้นเดินต่อ 20 นาที หรือนั่งแท๊กซี่ต่อประมาณ 10 นาทีก็จะถึง
แต่ทั้งนี้ถึงเราจะสามารถกินได้ไม่อั้น แต่หากผลสตอร์มันไม่เพียงพอต่อ demand เค้าก็อาจจะต้องหยุดให้บริการเช่นกัน ดังนั้น ก่อนจะไปลองเข้าไปเชคที่เวบไซท์ได้ครับ จะมีอัพเดทตลอด
>>> http://www.dragon-farm.com/
ตอนนี่เราก็มาอยู่ที่ทางเข้ากันแล้ว โชคดีตะกี้ทานแค่อาหารเช้า ยังไม่ได้เอาของหวานเข้าปากกก เพราะจะมาฝากกท้องสายของหวานกับที่นี่ !!
ทางเดินเข้าไปในตัวอาคารก็จะมี Gimmick น่ารักๆ มาต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น
หลังจากฟังอธิบายถึงข้อห้ามทำ และกฎกติกามารยาท รวมไปถึงวิธีเก็บสตอเบอรี่แล้ว เค้าก็จะให้กล่องมาอันนึง มีสองรูด้านซ้ายไว้เก็บก้าน รูกลมๆด้านขวาจะเป็นช๊อคโกแลตเอาไว้จิ้มม
จากนั้นก็ได้เวลาเข้าสวนนนชวนฝันนน !!
ที่นี่จะมีสตอร์เบอรรี่หลายพันธ์มาก ทั้งแดงและขาว ให้สาวกันได้ไม่อั้นน ลูกเล็กลูกโต หอมหวานอร่อยกันถ้วนหน้าา ช่วงที่ไปมีรายการมาถ่ายทำพวกน้องๆพอดี
ณ.จุดดนี้เข้าใจแล้วว่า ความฟินของการเก็บสตอเบอรี่กินสดๆ กับไปซื้อกินข้างนอกกมันต่างกันยังไง ที่นี่เราจะสามารถเด็ดได้ด้วยตัวเอง เลือกแบบพิถีพิถันทีละลูก แล้วเอาจุ้ม ต่อด้วยจุ่มเข้าปากกก จากกว่า 10 สายพันธ์ ความฟินมันอยู่ตรงนั้นน !!
อยากกิน อยากได้ฟีลลิ่ง อยากฟิน ก็เชิญมาชิมได้เลยยยฮะ ^^
บรรดาน้องๆ คนเก่งที่ไปด้วยกันนน ในมือทุกคนอาจจะมีแค่คนละลูก แต่ในพุงนั้นคงไม่ต้องนับ น่าจะระดับสิบลูกขึ้นไปเป็นอย่างน้อยยยย ฮ่าๆ
จากนั้นก็กลับมาแถวๆโรงแรมอีกครั้ง ด้านหน้าขอโรงแรมคือหนึ่งในแลนมาร์คของชิบะ เป็นรางรถไฟโมโนเรลรูปทรงแปลกตา ใครผ่านไปมาเป็นต้องสงสัยว่ามันคืออะไร
นี่คือโรงแรมที่เราพักครับ .. ระหว่างนี้ผมก็เดินเล่นรอเวลาไปเรื่อยๆ
ดูนาฬิกาอีกทีก็ใกล้จะเที่ยงพอดี ไม่นานรถบัสคันโต ก็กลับมารับเราอีกครั้งงง เพื่อไปยังจุดทานอาหารเที่ยง ซึ่งมื้อนี้พุงของพวกเรายังคงถูกตอกย้ำด้วยคำว่า " ไม่อั้น " อีกครั้งง ... มาเลยยย กลัวที่ไหนนน ชอบบ 55
มื้อนี้เรามาทานกันที่ย่านจุดพักรถ Dorakuen ที่ร้าน Amagoya ซึ่งเป้นบุฟเฟ่ปิ้งย่างทะเล และมีซาชิมิไม่อั้นนนน ... พีคตรงนี้ ><
เข้ามาแล้ว เค้าก็จะให้เรามาตักของสดไปที่โต๊ะ มีทั้งหอยเชล์ตัวโต ปลา ปลาหมึก กุ้ง ไก่ หมู และผักต่างๆ มาให้ได้ลิ้มลองง
เมื่อได้ของที่ถูกใจแล้ว ก็ปิ้งงงโลดดด
บรรยากาศความหิววโหยยยย 55
ผมไม่เน้นของปิ้งงง เน้นนของสดด เพราะมันสดได้ใจ ไร้กลิ่นคาววว ... ฮ่าา ฟินนนนนนไปอีกมื้อออ
ทะเลก็แล้ววว เมืองคลาสสิกก็แล้ว วัดก็แล้ว สวนสนุกก็แล้วว ยังขาดอะไรนะ .... อ่าาาา ปีนนเขาา !! จากร้านอาหารเรานั่งรถบัสกันมาอีกสักพักก้มาถึงอีกสถานที่ที่ผมชอบมากของจังหวัดชิบะ
" เขา Nokogiriyama "
ที่นี่เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาของอ่าวโตเกียว ถ้าอากาศเป็นใจจากจุดนี้จะสามารถมองเห็นไปถึงฟูจิซังได้เลยทีเดียว Mt.Nokogiriyama นั้นได้ตั้งชื่อตามสภาพของภูมิทัศน์ของภูเขาที่มีหน้าผายื่นออกไปคล้ายใบเลื่อยและด้วยความสูงของหน้าผาทำให้เมื่อมองลงมาดูเบื้อล่างนั้น จะมีความงดงามแบบไม่ธรรมดา นอกจากนี้ที่นี่ยังมีองค์พระใหญ่สลักจากหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นประดิษฐานอยู่ด้วย
การเดินทาง
จากสถานี Chiba ใช้รถไฟ JR สาย Uchibo ลงที่สถานี Hama Kanaya เดินอีก 8 นาที ถึงเชิงเขา จะใช้บริการ Ropeway ที่สถานี Nokogiriyama Sanroku (900 ¥)
ทางขึ้นกระเช้ามีเวลาเปิด-ปิดคือ : 09.00-16.00 น. (16 พ.ย.-15 ก.พ.), 09.00-17.00 น. (16 ก.พ. -15 พ.ย.)
รถบัสมาปล่อยให้พวกเราลงตรงสถานีกระเช้าขึ้นเขาา จริงๆ ที่นี่สามารถขึ้นได้สองทาง คือฝั่งพระใหญ่ที่ต้องเดินขึ้น กับที่นี่ ที่กระเช้าจะพาเราไปส่งที่จุดชมวิวได้เลย
มาแล้วววว นี่แหละครับบ กระเช้าที่จะพาเราค่อยๆไต่ระดับขึ้นไป แนะนำว่าฝั่งวิวสวยจะอยู่ทางขวามือ
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน จะเป็นจุดชมวิว 360 องศา กว้างขวางมาก มองลงไปเบื้องล่างจะเห็นอ่าวโตเกียว ท่าเรือ และเมืองชายฝั่งอย่างสวยงามม
อีกด้านของจุดชมวิวก็จะเห็นส่วนว้าวส่วนโค้งของชายหาดด สวยเกินคาดใช่มั้ยยล่ะ!
จากจุดชมวิวแรก เดินต่อไปอีกนิด ก็จะได้ใกล้ชิดกับรูปสลักหินขององค์เจ้าแม่กวนอิม อลังงงใช้ได้เลย
จากนั้นเดินออกมาเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดไปจนสุด จะเป็นจุดชมวิวที่น่าจะสวยที่สุดของที่นี่ ... สวยจริงงๆ
ตรงนี้เราจะเห็นแง่งที่ยื่นออกมาจะมีลักษณะคล้ายๆรูปหัวสิงห์ ถือว่าเป็นมุมที่สวยมากก กับเบื้องล่างที่เป็นแนวเขาสลับกันไป เห็นได้ไกลไปถึงท้องทะเลอันกว้างใหญ่ และในวันที่ฟ้าเป็นใจแบบนี้ คือดีงามมาก
จากนั้นเราก็ออกเดินกันต่อ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่องค์พระใหญ่ไดบุทสึ ระหว่างทางก้จะผ่านองค์พระเล็กกันก่อน
เดินกันมาสักพักก็ถึงงง ..
องค์พระใหญ่ไดบุทสึที่สลักจากหิน และมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความสูงถึง 31 เมตร สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยเอโดะ ที่ญี่ปุ่นจะมีพระใหญ่แค่ 3 องค์เท่านั้น คือที่ นารา คามาคุระ และ ที่นี่ " จังหวัดชิบะ "
คือใหญ่จริงๆ ยิ่งพอได้ไปยืนดูใกล้แล้วอลังมาก สวยงามมมใหญ่โตและน่าเกรงขามสุดๆ
สิ่งนี้เรียกว่า ตุ๊กตาจิโซ .. ซึ่งมีขายอยู่ตรงด้านหน้า ผู้คนที่มากราบไหว้จะนำไปขอพร แล้วมาวางกองกันไว้ที่นี่ ที่เห้นด้านหลังนั่นแหละครับ น่าจะหลายพันนเลย กองกันอยู่ภายใพระสลักหินองค์นั้น
แล้วก็ได้เจอกับดอกบ๊วยอีกครั้ง สวยงามเหมือนเคยย
จาก เขา Nokogiriyama .. เราจะตรงเข้าเขตเมืองนาริตะกันเลย ซึ่งคืนสุดท้ายเราจะพักกันที่นั่นน
" อ่าววว นาริตะไม่ได้อยู่โตเกียวหรอแกร "
" นาริตะอยู่ที่จังหวัดชิบะจ้าา " .. ถามเอง ตอบเองง ย้ำเองอีกสักครั้ง จะว่าไปก็น่าเห็นใจจังหวัดชิบะเหมือนกัน มีสถานที่หลายแห่งที่ผู้คนคิดว่าอยู่โตเกียว ทั้งที่จริงๆแล้วมันอยู่ในเขตจังหวัดชิบะ 555
คืนนี้เราจะฝากแผ่นหลัง ลำตัว หัวและลำคอกันที่ โรงแรม Mercure Narita ทำเลโรงแรมนี้ดีมา ติดกับสถานีรถไฟ JR นาริตะ และยังสามารถเดินไปวัดนาริตะซังได้อีก ประมาณ 800 เมตร
สวัสดีคืนสุดท้าย ... ขนาดคืนก่อนๆ เรายังไม่เคยอยู่เฉยๆ แล้วนับประสาอะไรกับคืนสุดท้ายแบบนี้ !
หลังจากเก็บของเสร็จผมก็ลงไปเดินเล่นต่อทันที
จากโรงแรมเดินมาไม่กี่ก้าวก็มาถึงสถานีรถไฟ JR Narita ผมก็เดินไปเรื่อยๆ ดูอาคาร ดูชีวิต ดูแสงไฟ จนตาซ้ายก็เหลือไปเห็นป้ายตัวโตๆ ว่า " Narita temple 800m " !!!
ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ... ตอนนี้ทุ่มครึ่ง ได้อยู่ 800 เมตรมันไม่ได้ไกลอะไรสำหรับนักเดินทางอย่างเราอยู่แล้วว ถึงแม้พรุ่งนี้จะมีคิวมาที่วัดนี้ แต่การได้มาเห็นวัดเงียบๆ กับแสงไฟในยามค่ำคืนก็คงดีไม่น้อย อย่างน้อยๆ นี่คือกำไรของการเดินทาง
ผมเดินตามทางมาเรื่อยๆ ละแวกนี้จะเป้นอาคารเก่าๆ ชั้นเดียวบางสองชั้นบ้าง แต่ปิดหมดแล้ว เดาได้ไม่ยากว่าช่วงกลางวันมันจะคึกคักแค่ไหน แต่ในเพลานี้มันเงียบเหงาอย่าบอกใคร มีแค่แสงไฟรายทาง เป็นเพื่อนร่วมทางระหว่างใจ... (มาเป็นกลอนเลยเมิง)
ถึงจะค่อนข้างมืด แต่การหาวัดที่มีขนาดใหญ่โตแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องยากก... และไม่นานก็ถึงงง ขอต้อนรับสู่วัดนาริตะซังในยามค่ำคืนตอนนี้จะยังไม่เล่าถึงที่มา ขอยกยอดไปเล่าทีเดียวในช่วงกลางวัน
ผีหลอกก .... ไม่ได้มีผีจริงๆหลอกก แค่มันเงียบเหมือนผีหลอกก ไม่มีใครอยู่ที่นี่สักคน จนกระทั่งผมเดินไป ถ่ายรูปไปก็ได้เจอยามคนนึงเดินเข้ามา ไอเราก็นึกว่าจะไล่ แต่เค้าแค่มาตรวจความเรียบร้อยเท่านั้น
ดวงดาวสุดท้ายของการเดินทาง ... ในคืนที่เรื่องจริงกำลังจะเลือนลาง และกำลังจะกลายเป็นความทรงจำในที่สุด ขอบคุณโลกมนุษย์ที่สร้างสิ่งสวยงามอย่างมากมายหลายขนาน ทั้งจากธรรมชาติหรือมนุษย์สร้าง
ในช่วงเวลาอันแสนเงียบเหงาที่วัดนาริตะซัง มันมีมีความสเน่หาอยู่ไม่น้อย แค่ได้แหงนหน้ามองดูท้องฟ้า แล้วเลิกมองเวลาไปสักพัก ก็ทำให้ผมเหมือนหยุดมาอยู่อีกโลกนึงที่มีแต่ความสงบ
ฝันดีนะ จังหวัด " ชิบะ " ... พรุ่งนี้พบกัน
__________________________________________________
Day 5 สุดท้ายนี้ ....
โอฮาโย โกไซมัส ..... คำทักทายสวัสดีตอนเช้าจากทีมงานญี่ปุ่นได้ส่งผ่านมาถึงเราอย่างสดชื่นในเช้าวันใหม่ และจะเป็นเช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง
หลังจากเขมือบอาหารเช้าเสร็จ รถบัสคันเดิมกำลังพาเรามุ่งหน้าสู่เมืองที่รับฉายาว่า Little Edo
" เมือง Sawara "
เมืองซาวาระ(Sawara) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองนาริตะ ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการขนส่งข้าวในช่วงสมัยเอโดะ(1603-1867) เนื่องจากเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างคลอง มีชื่อเรียกว่าเอโดะน้อย”Little Edo” ได้รับการรักษาและบูรณะที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิม ร้านค้าต่างๆ และคลังสินค้าที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมต่างๆ ให้เราได้สัมผัสกันหลายอย่าง เห็นทางญี่ปุ่นบอกว่า เร็วๆ นี้ที่นี่กำลังจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ Unesco อีกด้วยย
นอกจากนี้เมืองซาวาระยังเป็นโลเกชั่นถ่ายละครดังๆ หลายเรื่อง อย่างของไทยเราก็มี Rising sun ที่ณเดช ยาย่า มาริโอ้ เล่นน รวมไปถึง หนังเรื่องฟัดจังโตะ ส่วนของทางญี่ปุ่นนั้นมีซีรี่ส์หลายเรื่องมาก ล่าสุดก็เรื่อง Tokyo Bandwagon ที่โด่งดังมากในญี่ปุ่น
การเดินทาง
สามารถเดินทางได้โดยรถไฟ JR Narita Line ไปลงที่สถานี Sawara Station แล้วเดินต่อไปประมาณ 10-15 นาที ซึ่งสามารถเที่ยวแบบไปกลับจากโตเกียวได้่สบาย
อรุณสวัสดิ์ซาวาระ และวาระฟ้าครึ้มแห่งชาติ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำลายบรรยากาศสุดคลาสสิกละแวกนี้ลงไปได้
เราเดินกันมาจนถึงคลองสายหลักที่ไหลผ่านกลางเมืองเก่าซาวาระ ต้องบอกว่าสวยงามและคลาสสิกกมากอีกแห่ง บ้านเรือนที่เก่าแก่ได้ขนาบข้างสองฝากฝั่งคูคลองอย่างเข้ากัน ยังกับย้อนมายุคโบราณยังไงยังงั้น
ทุกคนเดินไปถ่ายภาพไปตลอดทาง ผมก็เช่นกัน เพราะบรรยากาศมันได้ อากาศเกือบจะได้ แต่โดยรวมแล้วคือได้! ดีงามตามท้องเรื่องง
โอ๊ะ ตรงนี้จะมีบริการล่องเรือด้วยยย !!! แต่หนาวแบบนี้จะไหววววหรอเนี่ยยยยย สนนราคาก็ผู้ใหญ่ 1,300 เยน เด็ก 700 เยน ถือว่าไม่แพงครับ
มาถึงที่แล้วว จะไม่นั่งก็กระไร จัดไปสิครัชช .. ตอนแรกก็ห่วงว่าจะหนาวไปมั้ยย อากาศก็หนาวอยู่แล้ว แต่พอมองลงที่เรือก็พบว่ามันมีโต๊ะโคทัตสึสำหรับกันหนาวพร้อมผ้านวมอุ่นๆ ให้เอามือซุกลงไป ลำแรกผ่านไป .. ถึงเวลาของลำต่อไป
คนขับเรือของผมเป็นสาวญี่ปุ่นนหน้านิ่งๆ แต่ผมก็รู้ว่าเธอยิ้มจากข้างใน ^^
การล่องเรือจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงไปตามลำคลองง เแล้วก้คอยแอบมองเมืองเก่าาระหว่างทาง บรรยากาศสุดแสนจะชิล หากได้กาแฟร้อนๆ ซักแก้วว หนังสือสักเล่มมคงจะดี (นอนอยู่บ้านมั้ยเมิง) ไปชมบรรยากาศล่องเรือกันเลยยย
ระหว่างทางก็จะมีการประดับประดาด้วย Gimmick ต่างๆ เช่นตรงนั้นก็จะมีตู้ตุ๊กตาญี่ปุ่นอยู่ เก๋ไม่หยอกก
หลังจากล่องเรือเสร็จเราก็มีโอกาสได้มาเดินดูซื้อของ หรือจะมองเฉยๆก็ไม่ว่าอะไรที่ร้านค้าโบราณและเก่าแก่ที่สุดร้านหนึ่งในเมือง Sawara แห่งนี้ มีของน่ารักมากมาย หลายแขนงทั้งเครื่องประดับ ของใช้ ภาชนะ พัด ผ้ากิโมโน ยันรองเท้าเกี๊ยะ
ของเยอะจนตาลายยย จึงออกมาเดินเล่นเก็บภาพด้านนอกต่ออีกสักแปปป เพราะเวลามีค่อนข้างจำกัดด
ส่วนตัสผมชอบที่นี่มากเหมือนกัน รู้สึกมันมีมุมให้ถ่ายภาพสวยๆเยอะ หากมีเวลา ครั้งหน้าจะมาอยู่สักวันนึงเลยย
ในเมืองซาวาระนี้ระหว่างคลองจะเชื่อมต่อด้วยสะพานหลายแห่ง สะพานที่น่าสนใจที่สุดคือ Ja Ja Bridge ซึ่งจะมีน้ำไหลออกมาจากสะพานทั้งสองด้านคล้ายน้ำตก แนวดี หากเรือแล่นผ่านตรงนี้คงฮาาาา 555
เดินเล่นชมเมือง หาอะไรทานไปเรื่อย เจ้านี่ก็อร่อยดี ไส้ถั่วแดงงงง
ซอฟครีมชาเขียวก็โซกู้ดดดดด !
อื่มมม ... อันนี้อาจจะไม่ได้ถ่ายของงงกินนน แต่เค้ากำลังขายของกินอยู่นะ รู้สึกจะเป็นแป้งอะไรสักอย่าง น้องที่ทานบอกว่าอร่อยดี
พวกเรายังมีโอกาสได้แวะไปที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งตอนนี้กำลังมีจัดนิทรรศกาลตุ๊กตาอยู่พอดี น่ารักมากก ๆ
ฟินจนได้ที่ เราก็ออกเดินทางกันต่อ นี่จะเป็นที่สุดท้าย จุดหมายปลายทางของทริป ซึ่งเป็นที่ที่ผมเคยมาแล้วว ... เมื่อคืนนนี้ ....
" วัดนาริตะซัง " แต่เรายังไม่ได้เข้าตัววัด
บริเวณถนนและอาคารโดยรอบช่างต่างจากความเงียบสงบตอนกลางคืนอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้มีผู้คนมากมาย ทั้งนักท่องเที่ยว คนพื้นที่ ร้านขายของที่ส่วนใหญ่จะขายของสด คึกคักกมากก
ได้เวลาอาหาร ... และนี่ก็จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของทริปเช่นกันนน เราฝากท้องกันที่ร้านข้าวหน้าปลารสเด็ดชื่อดังละแวกนี้
ร้านโอโนยะ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัดนาริตะเลย เจ้านี้อร่อยครับ เสียดายมันน่าจะเป็นบุฟเฟ่นะ 5555
ได้เวลาแล้ว ขอต้อนรับสู่สถานีสุดท้ายของทริป !!
" วัดนาริตะซัง "
วัดแห่งนี้มีประวัติศาสตร์มายาวนานถึงกว่า 1,000 ปีตั้งแต่สมัยเฮอัน และพอถึงวันขึ้นปีใหม่ก็จะคลาคล่ำไปด้วยคนกว่าสามล้านคนที่มาสักการะขอพรปีใหม่ที่วัดแห่งนี้ทุกปีอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งวัดนี้ถือเป้นวัดที่มีชื่อเสียงมากสำหรับคนญี่ปุ่น
ก่อนเข้าวัดก็เลยขอถ่ายภาพน้องๆ ทั้ง 10 คนเป็นภาพสุดท้ายเพื่อเป็นความทรงจำก่อนจะจบทริป .. ให้รู้ว่าอย่างน้อยๆเราก็ได้รู้จักกันผ่านการเดินทางที่สนุกสนานครั้งนี้
ตรงทางเข้าด้านข้าง จะมีร้านขายของน่ารักๆ อยู่ อารมณ์เหมือนงานวัดญี่ปุ่นอะไรแบบนั้น
สายไหม ในตอนสาย ... แล้วสายมั้ยย ? ><
ก่อนเข้าวัด ก็จะมีพิธีตักน้ำชำระล้างเช่นเดียวกับหลายๆ วัดในญี่ปุ่นน
ที่ประตูทางเข้าก่อนจะถึงอารามหลักจะมีโคมแดงขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูไปก็คล้ายๆกับวัดอาซากุสะในกรุงโตเกียวเหมือนกัน โคมแดงที่ประตูคือของคู่กัน อยู่ตรงไหน ตรงนั้นก็ดูดี ><
หลายๆคนอาจจะคิดไม่ถึงว่าใกล้ๆ สนามบิน ที่เมืองนาริตะจะมีวัดที่สวยงามแบบนี้ตั้งอยู่ นอกจากตัวอารามหลักดูดูสง่าแล้ว ด้านข้างยังมีเจดีย์แดงสามชั้นมาเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวอีกทาง
ตอนกลางวันสวย .. ตอนกลางคืนก็สวย ความสวยงามบางทีมันไม่ได้มีคำนิยามอะไรมากมาย เรื่องง่ายๆ แค่เรามอง แค่เรารู้สึกว่ามันเป็นแบบไหน แล้วมันก็จะเป็นแบบนั้นน เมื่อก่อนผมไม่เคยเข้าใจ คิดว่าต้องแบบนี้ถึงดี ต้องแบบนั้นถึงสวย จนกระทั่งได้เห็นโลกกว้างมากขึ้น ถึงได้เข้าใจว่าสวยไม่สวยมันเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่สถานที่ ....
บริเวณด้านในอารามหลักกำลังจะมีพิธีกรรมอันโด่งดังของวัดนี้พอดี ... เจ้าหน้าที่จึงชวนเราเข้าไปดู
พิธีกรรมนี้เรียกว่า พิธี " โกะมะ (Goma) "
พิธีสวดมนต์ 'โกะมะ' คือพิธีสวดมนต์หน้ากองไฟซึ่งเป็นการสวดมนต์ต่อเทพเจ้าแห่งไฟ มีชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า 'ฟุโดะเมียวโอะ' (Fudomyoo) หรือเทพ ‘อาจลนาถ’ เทพผู้รับใช้ของพระพุทธเจ้า เพื่อความเป็นศิริมงคลของผู้ร่วมพิธี ..
จริงๆด้านในห้ามถ่ายภาพครับ แต่ผมมาในฐานะสื่อ ซึ่งทางวัดได้อนุญาติและยินยอมให้ถ่ายภาพได้เพื่อให้ทุกคนได้เห็น
พิธีกรรมนี้มีขึ้นในตัวอารามหลักทุกวัน วันละ 2-4 รอบ
โดยตรงกลางอาคารจะมีพระสงฆ์ผู้ใหญ่รูปหนึ่งนั่งทำพิธีอยู่หน้ากองไฟที่สว่างจ้า เบื้องหลังท่านมีพระสงฆ์ 3-4 รูปนั่งสวดมนต์อยู่ เสียงสวดมนต์คล้ายๆ กับเสียงสวดมนต์ที่เมืองไทย ผมว่าน่าจะเป็นภาษาบาลีเหมือนกัน แต่ต่างกันคือ ที่นี่จะมีการตีกลองให้จังหวะในการสวดมนต์ เสียงกลองทุ้มๆ เข้ากับเสียงสวดมนต์เป็นเมโลดี้เดียวกัน
ระหว่างพิธีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ที่นั่งทำพิธีอยู่หน้ากองไฟ จะเอาอะไรสักอย่างใส่ลงไปในกองไฟ ทำให้บางครั้งก็สว่างจ้าขึ้นมากว่าธรรมดาและมีควันฟุ้งกว่าปรกติ ในขณะเดียวกันก็มีพระอีกสองรูปคอยรับกระเป๋าจากผู้คน แล้วนำมาแกว่งเหนือกองไฟเพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไป และเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต
เป็นพิธีกรรมที่น่าดูมากครับ .. ลึกๆข้างในก็อยากจะส่งกระเป่ากล้องไปด้วยเหมือนกัน พักนี้งานเข้าาบ่อยแท้
จบพิธีเราก็เดินดูวัดด้านใน แต่เวลาที่มีไม่มาก เพราะต้องรีบไปสนามบิน จึงทำให้ยังฟินไม่สุด แต่เอาจริงๆ แค่ได้มาทริปนี้ก็สุขสุดๆแล้ว !
อีกหลากหลายมุมสวยๆภายในวัด
และปิดท้ายด้วยการปั้มม ๆๆๆ ... ตอนนี้ทั้งเล่มมีสามตราปั้มแล้ว เร็วๆ นี้อาจจะได้ไปญี่ปุ่นอีก จะไปเอาปั้มมาเพิ่มมม พอได้ดูมันรู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก รู้แค่ว่าต่อไปนี้จะติดไปด้วยทุกทริปที่ไปญี่ปุ่นน !
ได้เวลาไปสนามบิน ... หลายๆครั้งเรามักจะเดินทางจนอยากกลับ้าน และหลายๆครั้งเช่นกันที่เรายังอยากอยู่ต่อ
และครั้งนี้ ... ผมยังอยากอยู่ต่อ เป็นทริปที่สนุกและได้เห็นอะไรใหม่เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นหลายอย่างบนความประทับใจเช่นทุกครั้งที่ได้มาที่นี่
สุดท้ายนี้ ... ขอขอบคุณนิตยาสารดาโกะที่เชิญไป
ขอขอบคุณการท่องเที่ยวญี่ปุ่นจังหวัดชิบะที่ไว้วางใจและช่วยเคลียร์ปัญหาให้
ขอบคุณพี่ๆสื่อทุกคน
ขอบคุณน้องที่คอยสร้างสีสันนตลอดการเดินทาง
และอีกสุดท้าย .. ขอบคุณทุกคนที่รับชม ฝากจังหวัดชิบะ (Chiba) ไว้ด้วยนะครับ จากที่ผมได้สัมผัสมา ที่นี่น่าสนใจหลายอย่าง และไม่ไกลจากโตเกียว
ขอบคุณครับบ ! ^^
สองเท้า – เกาโลก
Fanpage : https://www.facebook.com/scratchdaworld
Instagram : https://www.instagram.com/scratch_da_world/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCza3CAqJyecM2AGjxiV_pSQ
Line@ : http://line.me/ti/p/%40oye2005h หรือ ID : @scratchdaworld ( ต้องพิมพ์ @ ข้างหน้าด้วยครับ )