ห ล ว ม ตั ว ไ ป " สั ง ข ล ะ บุ รี " . . . แ ต่ ทุ ก น า ที คื อ ค ว า ม ท ร ง จ ำ
จริงๆ ทริปนี้ .. ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นคนเดี่ยว
แต่ถ้าตั้งใจจะไปแล้ว .. คนเดียวก็ไป
ไม่ได้แพลน ไม่ได้จองอะไรทั้งสิ้น เพราะแต่เดิมทริปนี้จะเป็นผู้ตาม 555 เนื่องจากมาทำบุญบ้านยายที่จังหวัดกาญจนบุรี แล้วแพลนจะยกครัวไปสังขละบุรีกัน ... แต่แล้วเนื่องด้วยความไม่ลงตัวเรื่องเวลาเค้าจึงยกเลิกไป
" เอาไงดีล่ะ ? "
คำถามเพื่อตัดสินใจได้ดังกระหึ่มขึ้นมาภายในใจก่อนวันที่จะไปแค่หนึ่งวัน แต่คำตอบก็เดินทางมาถึงหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาที ... แบกกล้องมาแล้ว ตั้งใจจะไปแล้ว หากว่าเป็นเรื่องเดินทาง และไม่ติดอะไร " คนเดียวก็ไป! "
by สองเท้า – เกาโลก
Fanpage : https://www.facebook.com/scratchdaworld
จริงๆ ผมไม่เคยมีความคิดที่จะไปสังขละบุรีอีกครั้งมาก่อนเลย เพราะเคยไปมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงที่ยังถ่ายรูปไม่เป็น ไปแบบขำๆ เช้าเย็นกลับ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอินเท่าไหร่ และครั้งนี้ก็ไปแบบตามน้ำ อารมณ์ประมาณ เอาว่ะ ไปถ่ายสะพานมอญอีกสักครั้ง
จนในที่สุดครั้งนี้ ผมก็ " หลวมตัว " ไปสังขละบุรีแบบตัวคนเดียว ... หลวมจนเกิดความหลงใหลในสเน่ห์บางอย่างที่เรียกว่าไม่ได้อลังการ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่แฝงไปด้วยความละมุนหัวใจในทุกๆ นาที
เชิญเสพย์ความทรงจำกับเรื่องราวดีๆ พร้อมข้อมูลให้ตามรอยเช่นเคย !
_______________________________________
ก่อนอื่นเรามารู้จักกับสังขละบุรีกันซะหน่อย
“เมืองสามหมอก ดินแดนสามวัฒนธรรม” คือคำขวัญเก๋ๆ ของ " สังขละบุรี " คำว่าสามในที่นี้หมายถึง ไทย มอญ และ กะเหรี่ยง โดยจุดเด่นเป็นสง่าของที่นี่คือ สะพานไม้อุตมานุสรณ์หรือที่เรารู้จักกันในนาม " สะพานมอญ " เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอสังขละบุรี แต่จุดเด่นของที่นี้มีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมต่างๆของชาวมอญ ภาษา ประวัติศาสตร์ รวมไปถึงบรรยากาศอันอบอุ่น และธรรมชาติที่สวยงาม
สังขละบุรี เป็นอำเภอที่ติดกับชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี ไปประมาณ 215 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอ ทองผาภูมิ 74 กิโลเมตร ตะเข็บชายแดนแห่งนี้รายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอันเขียวชอุ่ม โดยมีแม่น้ำซองกาเลียที่ไหลจากต้นกำเนิดในประเทศพม่า พาดผ่านอำเภอสังขละบุรีทำหน้าที่หล่อเลี้ยงผู้คนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำ และเชื่อมสัมพันธ์ชนชาติมอญทั้งสองประเทศมาช้านาน
นี่คือแผนที่ของสังขละบุรีบางส่วน และจุดท่องเที่ยวบางที่ ลองดูจะเห็นภาพมากขึ้นครับ ส่วนตัวผมใช้สะพานมอญเป็นจุดศูนย์กลางแล้วจะดุง่ายขึ้นครับ
ออกเดินทางกันเถอะ
การเดินทางไปสังขละบุรีนั้น ผมขอแบ่งเป็น 3 อย่างดังนี้้
รถส่วนตัว
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่าน จ.นครปฐม ขับมาประมาณ 9 กม.จะพบสะพาน ลอยข้ามไปทาง จ.กาญจนบุรี ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ขับมาประมาณ 7 กม.ท่านจะพบสี่แยกให้ท่าน เลี้ยว ขวา(แยกซ้ายไปบ้านโป่ง ตรงไปคือถ้ำค้างคาว) เพื่อไปยัง อ.เมืองกาญจนบุรี จากนั้นมุ่งหน้าสู่สี่แยกแก่งเสี้ยนให้ขับไปทาง อ.ทองผาภูมิ ซึ่งจะผ่านทั้งไทรโยคน้อย และไทรโยคใหญ่ ( หลักกิโลเมตรที่ 125 ทางหลวง หมายเลข 323 ) ท่านจะพบสามแยก ( ตรงไปไปอำเภอทองผาภูมิ +เขื่อนเขาแหลม ถ้าเลี้ยวขวาไป อำเภอสังขละบุรี)ให้ท่าน เลี้ยวขวามือไป สังขละบุรี
ซึ่งท่านจะผ่าน น้ำตกเกริงกะเวีย+น้ำตกไดช่องถ่อง ผ่านอช. เขื่อน เขาแหลม เมื่อไปถึงแยก ด่านเจดีย์สามองค์ ท่านไม่ต้องเลี้ยวขวา ให้ขับตรงไป ประมาณ 7 กม. จะพบแยก ซ้ายมือไปสะพานอุตตมานุสรณ์ ขับเข้ามาอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบสะพานอุตตมานุสรณ์ หากต้องการไป เที่ยววัดวิเววังการามจากแยกด่านเจดี่ย์สามองค์ไม่ต้องเลี้ยวขวาให้ขับตรงไป ประมาณ 7.4 กม.จะเห็นแยกขวา วัดวังก์วิเวการาม และแยกซ้ายไป เจดีย์พุทธคยา จำลอง ให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปทางเจดีย์พุทธคยา จำลอง
รถโดยสารประจำทาง
จากสถานีขนส่งสายใต้นั่งรถ กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยสามารถนั่งรถปรับอากาศ สายกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี แล้วไปลงที่ สถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรี หรือจะนั่งรถตู้ที่อนุสาวรีย์ไปลงที่ตัวเมืองกาญก่อนก็ได้เช่นกัน
จากนั้นนั่งรถสายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - สังขละบุรี(รถไม่มีแอร์ )แล้วไปลงที่ท่ารถสังขละบุรี ใช้เวลาในการเดินทาง จากตัวเมืองถึงสังขละบุรีประมาณ 4ช.ม. รถจะมาส่งที่ท่ารถ ซึ่งสามารถไปจุดต่างๆ ได้ด้วยวินมอไซน่ะจ้ะ
หรือพอมาถึงกาญจนบุรีแล้ว ไปที่ท่ารถตู้ จะมีรถตู้สาย กาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - สังขละบุรี อยู่แถวๆท่ารถใหญ่ หากหาไม่เจอลองถามคนแถงนั้นดูครับ หาง่ายๆ ซึ่งเวลารถออกตั้งแต่ 7.30-16.30 น ทุกๆ 1 ชั่วโมง หรือบางทีคนเยอะเต็มก็ออกเลย ใช้เวลาประมาณ 3.30 ชั่วโมง ( ค่ารถราวๆ 150 - 180 บาท )
รถไฟ
ขึ้นจากสถานีหัวลำโพง ปลายทางคือ สถานีนํ้าตกไทรโยคน้อย จากนั้นต้องนั่งรถต่อไปยัง สังขละบุรีโดยรถโดยสารภายในจังหวัดกาญจนบุรีสอบถามรายละเอียดรถไฟเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.railway.co.th
การเดินทางท่องเที่ยวในสังขละบุรี
หากขับรถก็จัดไป แต่หากนั่งรถตู้มา ก็ไม่มีอะไรยาก จากสะพานมอญหรือระหว่างทางจะมีวินวิ่งตลอด สำหรับคนที่พักไกลๆ แนะนำว่า อาจจะหาวินคู่ใจสักสองคัน แล้วขอเบอร์ไว้ครับ บางทีหาไม่ได้ก็ลองโทรเรียกดูวิธีนี้ได้ผล ค่าวินจากที่นึง ไปที่นึงจะมีขั้นต่ำคือ 20 บาทครับ ไกลหน่อยก็ 40 เลย ที่ผมเจอ เดี๋ยวมาดูวิธีของผมในช่วงรีวิวกัน
ส่วนที่เที่ยวที่ต้องนั่งเรือไป ก็มีท่าเรืออยู่ตรงสะพานมอญ หาง่ายมากไ คือถ้าไปยังไงก็เห็น เรือพวกนี้จะพาเราไปเที่ยวตามจุดที่รถเข้าไม่ได้ เช่น วัดจมน้ำ วัดสมเด็จ หรือวัดศรีสุวรรณารามเป็นต้น
โดยบทสรุปข้อมูลค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง สถานที่น่าสนใจ จะอยู่หลังจากจบเนื้อเรื่องครับ
เอาล่ะ เริ่มมม !!
ภาพทั้งหมด ถ่ายโดย กล้อง Nikon D810
เลนส์ที่ใช้ ทั้งหมด 3 ตัว คือ 17-35 F2.8 , 58 F1.4 และ 70-200 F2.8
_________________________________________
Day 1 ( ยามเย็นที่สะพานมอญ - ถนนคนเดินสังขละบุรี )
" เอี๊ยดดดดดด .... " เสียงรถค่อยๆ หยุดลง ตรง ........... เอ๊ะ เสียงงี้แม่งเบรคแตกล่ะ เอาใหม่ๆ
" ........ " เสียงรถค่อยๆ หยุดนิ่งที่ท่ารถตู้ใจกลางเมืองกาญจนบุรีในตอนเที่ยงนิดๆ โดยที่บ้านมาส่งผม คนบ้าผู้ซึ่งตัดสินใจออกไปเปรี้ยวคนเดียวที่อำเภอ " สังขละบุรี " ด้วยรถตู้ ไม่ได้จะคูลหรืออะไร แต่ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือขี้เกียจขับรถไปคนเดียว เปลืองน้ำมัน และอย่างน้อยนั่งรถตู้ เราก็มีเพื่อนร่วมเดินทาง ถึงจะไม่ได้พูดไรกันเลยก็เหอะ 555
โชคดีผมมาถึงเป็นคนรองสุดท้าย จึงไม่ต้องรอนาน เพราะไม่นานล้อก็หมุน ปู๊นๆๆๆ ( นั่นรถไฟ! )
ถึงแม้จะเป็นรถตู้ ก็จะไม่ยอมพลาดกับบรรยากาศระหว่างทางแน่นอนน ... ถึงแม้อากาศในรถมันจะน่านอนมากก็ตาม
จะมีการรอคอยอะไร ที่สำคัญไปกว่า การรอคอย " คนข้าง " .... ผู้กองยอดรักมาเองครัชช แหม่
รถตู้ขาวหมวย จะแล่นพาเราขึ้นลงเนินเขาที่ไม่ใช่เนินเธอ แล้วเลี้ยวลดคดเคี้ยวแบบบางเบามาเรื่อยๆ จากตัวเมืองประมาณ สามชั่วโมงครึ่งก็บึ่งมาถึงที่หมายยย ....
สวัสดี " สังขละบุรี " วันนี้อากาศฟ้าใส แดดแรง โดนใจ ไหม้หน้าสุดๆ แต่นี่คือสิ่งที่นักเดินทางและคนที่ชอบถ่ายรูปคาดหวังว่าจะได้เจอ แต่ก่อนจะเจอ ....
" เห้ย ที่พักกกูอยู่หนายยย !? " (มึงยังไม่ได้จอง)
ครับ .. ผมยังไม่มีที่นอน ที่อาบน้ำ ที่ปัสสาวะเลย เมื่อคืนตอนตัดสินใจจะมาคนเดียวก็ไล่โทรเชคหลายๆที่ พบว่าเต็มหมด แต่ตั้งใจแล้วก็ไม่เคยจะหัวหด เอาดิ มันต้องมีสักที่สิฟะ จะใต้สะพานมอญ หรือห้องน้ำในเรือนแพร แค่ที่นอนมันจะไปยากอะไร ... วอล์คอินสิครับรออัลไล
ลงจากรถมา สิ่งแรกที่ผมทต้องหาคือที่พัก ... ซ้ายยก็ถนนยาวๆ ขวาก็ไม่เห็นอะไร ตรงบริเวณท่ารถแทบไม่มีที่พักใดๆ เสนอหน้ามาเลยสักที่
" พักที่ไหนล่ะ พ่อหนุ่ม ? " เสียงแหบสเน่ห์ของพี่ผู้ชายข้างๆดังขึ้น
" ยังไม่มีเลยครับพี่ ... แถวใกล้ๆนี้มีที่พักมั้ยอะครับ ? " ผมถามกลับไป ... ในใจก็ไม่รู้หรอก ว่ามันไกลสะพานมอญมากแค่ไหน แต่ ณ.บัดนั้น การได้ที่พักก่อนทุกสิ่ง คือลาภอันประเสริฐ ที่ลาบหมูน้ำตกก็ไม่อาจสู้ได้
" อ่าวหรอ วันนี่ที่พักจะหายากด้วยสิ .. " จากนั้นพี่เค้าก็ควักมือถือขึ้นมา
" ใช่ครับพี่ ผมจองไม่ได้เลย เลยก็มาหาเอาดาบหน้า " ผมตอบกลับไป
พี่เค้าไล่โทรไปประมาณสามที่ จนมาได้ที่พัก ที่อยู่แถวๆ โรงพยาบาล ราคา 400 บาท ห้องพัดลม ซึ่งบอกเลยวา่ตอนนั้นอะไรก็นอนได้ ขอแค่มีที่เก็บของ อาบน้ำ ที่ซุกหัวแบบหลังคาไม่รั่วก็เพียงพอ ... ขอบคุณพี่ท่านนี้อีกครั้งครับ กราบแบบไทยสามที ปฏิบัติ!
จากนั้นผมก็เดินเอาของไปเก็บที่พัก ซึ่งไม่ได้ถ่ายภาพมา เนื่องจากนี่ก็จะเย็นแล้ว เวลาก็มีน้อย โดยเป้าหมายของผมในเย็นวันนี้คือ สะพานมอญ - ถนนคนเดินสังขละบุรี ( มีเฉพาะวันเสาร์ )
รถไม่มี มาคนเดียว ชายเปลี่ยว เสี่ยวคูณร้อยแบบนี้ ต้องขอฝากชีวิตไว้กับพี่วินแมงกะไซเท่านั้น โดยสนนราคาจากตัวเมืองที่ลงรถตู้ไปสะพานมอญอยู่ที่ 20 บาท .... แว้นๆๆๆๆ
พอมาถึงทางลงสะพานมอญ แนะนำว่าอย่าเพิ่งลง!!
หันไปทางซ้ายยย เพื่อตบเท้าตามหาสามประสบรีสอร์ทกันก่อนน ... และช้าก่อน ผมไม่ได้มาเพื่อรีวิวโรงแรมนี้ แต่ที่นี่ผมลองเดินเข้าไปเล่นๆ แล้วก็มาเจอวิวสะพานมอญกับบรรยากาศแม่น้ำมุมสูงสวยๆ โดยบังเอิญ เพลินตามาก จึงอยากชี้เป้าให้เพื่อนๆครับ ... พอเดินเข้ามา ให้เดินตรงไปหาแม่น้ำ แล้วจะมีมุม กับทางเดิน ให้เดินลงไปได้นิดหน่อย
นี่แหละครับ .. ตรงนี้ถือเป็นจุดชมวิวสวยๆ อีกแห่งของสังขละบุรีเลย .... ท้องฟ้าสีฟ้า แม่น้ำก็สีฟ้า กับทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ที่มีบ้านเรือนแบบโบราณเรียงรายกันอยู่เบื้องล่าง ช่างดูเข้ากันอย่างลงตัว
พอบิดคอไปทางขวานิดๆ ก็จะได้ใกล้ชิดกับความงดงามและคลาสสิคของสะพานมอญ ที่ไม่รู้ว่ามีซ่อนผ้ารึเปล่า แต่ที่แน่ๆ ความสวยงามของที่นี่ ไม่มีทางซ่อนได้แน่ !
บางครั้งเมื่อเรามองว่า ..ก็แค่สถานที่ในประเทศไทย เราจึงมองแบบผ่านๆ แล้วจะรู้สึกแค่ว่า อื่มม บ้านชั้นก็โอนะ
แต่หากเอาความรู้สึกนั้นออกไป แล้วเปิดใจว่านี่คือสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วโลกให้มาสัมผัส มันมีทั้งสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับที่สองของโลก กับวิถีชีวิตมากมายที่น่าสนใจของชาวมอญอยู่บนนั้น ฉากหลังเป็นเนินเขา และเบื้องล่างก็มีแม่น้ำ .. จริงๆ แล้วนี่คือชัยภูมิที่ลงตัวของความสวยงามเลยทีเดียว ไม่ธรรมดาเลยนะ สังขละบุรี ณ. ประเทศไทย
ให้เวลากับมัน ซึมซับประเทศเราให้มากขึ้น ... แล้วคุณค่าของสถานที่มันจะงดงามยิ่งๆขึ้นไป
หมอกยามเย็น ... กับความเป็นไปของชีวิต บางช่วงอาจจะช้า บางช่วงอาจจะไว ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกาลเวลา
ยืนดม ชมวิวเสร็จ ก็เดินไปต่อที่สะพานมอญซึ่งทางเข้าอยู่ข้างๆกัน ...เลทสะโก!!
ลงมาตามทางไม่นานก็ถึง " สะพานมอญ " .. ว่าแต่ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมาาา
สะพานมอญ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยซึ่งมีความยาวถึง 850 เมตร และยาวเป็นอันดับสองของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งที่ประเทศพม่า สะพานนี้สร้างขึ้นเพื่อการสัญจรข้ามลำน้ำซองกาเลียสำหรับประชาชนฝั่งตัวอำเภอสังขละบุรี และฝั่งหมู่บ้านชาวมอญ และบริเวณสะพานแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์ที่สวยงาม สามารถมองเห็นลำห้วยสายต่างๆ คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ที่ไหลมารวมกันเป็นสามประสบได้อย่างลงตัว
สะพานมอญนี้ หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ริเริ่มให้สร้าง โดยใช้แรงงานมนุษย์ประมาณ 1,000 คน และใช้เวลาถึง 10 ปี สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 มาแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2531 เรียกได้ว่าานานพอดูนะครับ 10 ปีกับหนึ่งสะพาน
แสงยามเย็นของสะพานมอญ ในตอนที่อากาศเป็นใจนั้น ถือว่ามีความสวยงามมาก เพราะพี่หลอดไฟของโลก จะเบ่งพลังออร่าอ่อน มาที่เจ้าสะพานแลนด์มาร์คแห่งนี้พอดี ก่อนที่มันจะจรลีจากไป
พอมองลงไปเบื้องล่าง ก็จะเห้นภาพสะพานข้างล่างทอดตัวออกไปถึงกึ่งหนึ่งขอแม่น้ำขนานเคียงข้างไปกับเรือนแพรและฉากหลังที่เป็นธรรมชาติกว้างไกลออกไป
พอปรับองศาขึ้นมามองบนสะพาน ... ก็ได้สัมผัสกับสเน่ห์อีกอย่างนึงของที่นี่
" วิถีชีวิต "
และสิ่งมีชีวิตที่เป็นพะเอกของที่นี่คือ " เด็กๆ " เด็กเหล่านี้เป็นสีสันและความสดใส ที่เข้ามาเติมเต็มให้สะพานมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมเคยได้ยินคนบอกว่า นี่เป็นอาชีพ แล้วเราจะเรียกมันว่า สเน่ห์หรือวิถีชีวิตได้หรือ ....
ได้สิ ... วิถีชีวิตไม่มีคำจำกัดความว่า คุณกำลังทำอะไร แต่มันคือความเป็นไปของชีวิตบนพื้นที่นั้นๆ จะอาชีพ จะทำไร่ ไถนา นั่งเฉยๆ กินข้าว ยืนเหม่อ เพ้อรำพัน นั่นก็คือ " วิถีชีวิต " ทั้งสิ้น
" เด็กชายขอบ " ..... ผมชอบคำนี้แฮะ
ในบางช่วงของแม่น้ำ ก็จะได้พบกับหมอกยามเย็นฟรุ้งฟริ้งแต่พองาม ตามช่วงเวลา ให้เพลินตาและเพลินใจ
แค่ได้ยืนมองดูความคลาสสิกของสะพาน ดูชีวิต ดูธรรมชาติ และดูความเป็นไป ก็สุขใจแล้วจริงๆ
และตอนนี้ผมกำลังยืนรอส่งเพื่อนเข้านอน ... เพื่อนคนนี้มีชื่อว่า " หลอดไฟ ของโลก ณ.สังขละบุรี "
แต่ก็ไม่ใช่มีคนผมคนเดียว ที่มารอส่งนายหลอดไฟ ... ยังมีคนอีกมากมายบนสะพาน ข้างล่าง ข้างหน้า หรือข้างหลังที่กำลังใช้ชีวิตร่วมกันบนสะพานแห่งนี้ ...
" ตึ่งตึงตึง ..ตึงตึ๊งตึ่งตึง ตึงตึ๊งตึงตึ่งตึงตึ่งตึง .... " เสียงร้องเพลงของเด็กๆ และเสียงกีตาร์ของหนุ่มจากแดนปลาดิบในเพลงหลักของการ์ตูนเรื่องโดราเอม่อน ได้ Featuring กับเสียงของธรรมชาติ ขับกล่อมผู้คนที่ผ่านไปมา อย่างน่ารัก ... นี่คือเรื่องดี ที่ได้เห็นชาวต่างชาติ มาเป็นอาสาสมัครให้กับเด็กๆอยู่ที่นี่
หลายคนร้อง .. หนึ่งคนเล่น ทุกคนยิ้ม รวมกันเป็นความสุขรอบตัว และได้รั่วแผร่กระจายไปถึงคนที่ผ่านไปมาอย่างอบอุ่นละมุนหัวใจ
จากนั้นผมก็เดินลงไปที่สะพานด้านล่าง เพื่อที่จะไปเก็บภาพในอีกมุมมองนึง ... ระหว่างทางก็ได้พบกับแม่ค้าปล่อยนกปล่อยปา ที่เรียกว่ามีอยู่หลายสาขาเลยทีเดียว
อยู่บนสะพานเบื้องล่างแล้ว แสงกำลังสวยย .... แต่เพื่อนของผมใกล้จะเข้านอนน
มองไปข้างหน้า
แล้วหันกลับมามองข้างหลังบ้างง ....
เคยได้ยินคำกล่าวเท่ห์ๆว่า เดินไปข้างหน้าแล้วไม่มีวันหันกลับมามองข้างหลังง .... แต่บางทีของดีอาจจะเป็นอะไรที่คุณเพิ่งเดินผ่านมาก็เป็นได้ ผมเป็นคนนึงที่เชื่อว่าหากเดินไปข้างหน้าแล้ว ถึงจะไม่ถอยหลังแต่อย่างน้อยๆ ต้องหันกลับมาดูมันบ้าง และหากมีอะไรที่เป็นโอกาส จะถอยหลังมาตั้งหลัก เพื่อสิ่งที่ดีกว่า มันก็ไม่ผิด ... และที่สำคัญ อย่าทิ้งคนข้างหลังคุณเป็นอันขาด ^^
ฝันดีนะ ... นายหลอดไฟ หัวใจของโลกมนุษย์
ผมเดินกลับขึ้นมาที่สะพานมอญอีกครั้ง ... ทีมงานสร้างสีสันก็ยังคงอยู่ และส่งต่อความสุขกันอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าคงจากลาไปพร้อมๆกับนายหลอดไฟ
อาชีพรับทาแป้งทานาคา เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ฮอตฮิตติดชาร์ตมากที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวสมัยนี้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมต่างถิ่นกันมากขึ้น คือนอกจากจะทาแป้งทานาคาที่หน้าแล้ว ... หลายคน หลายเพศ หลายวัย ยังซื้อชุดคอสเพลชาวมอญมาใส่กันอย่างน่ารัก
เด็กๆ ก็เช่นกัน ทีนี้ผมนี่แยกไม่ออกเลย ว่าคนไหนมอญ คนไหนไทย 555 คอสเพลเต็มจ้า ทั้งผ้าซิ่นและผ้าถุง
ชาวมอญตัวน้อยบนสะพานนี้ นอกจากจะให้ถ่ายรูป ทาแป้ง ขายของกันแล้ว ... เด็กบางคนยังสามารถเป็นไกด์ผู้น่ารักให้คุณได้ด้วยนะเออ ใครไม่รู้ทาง ไม่รู้ความเป็นมา สามารถเข้าไปคุยกับพวกเค้าได้ ไม่มีค่าบริการ ... แต่เป็นน้ำใจที่เราจะให้มากน้อยก็แล้วแต่ความสมัครใจ
แต่สิ่งที่เราได้แน่ๆ จากเด็กเหล่านี้ คือ " รอยยิ้ม " บ้างก็ยิ้มเพราะจำเป็น บ้างก็ยิ้มเพราะอยากได้น้ำใจ หรือบ้างก็ยิ้มด้วยความเต็มใจ .... แต่ทุกๆรอยยิ้มมันคือ " ความบริสุทธ์ " สดใสของพวกเค้าทั้งนั้น
ท้องฟ้าในวันนี้สวยงามจริงๆ กับสีส้มอมชมพู ... ดูกี่ทีก็ไม่มีเบื่อออ
ผมเดินเลยมาสุดสะพาน และข้ามมาที่ฝั่งมอญ ... บรรยากาศคึกคักพอสมควร มีทั้งร้านขายของฝาก เสื้อผ้า คอสเพล แต่ร้านอาหารเหมือนจะปิดกันหมดแล้ว แต่ได้ยินว่าตอนเช้าจะคึกคักมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้รู้กัน
โปสการ์ดยังคงมีความหมาย ถึงแม้ปัจจุบันมันจะมีอีเมลหรือเทคโนโลยีอะไรก็ตาม ... เพราะความคลาสสิกและแก่นแท้ของมัน ไม่มีอะไรมาทดแทนได้
หากมีคนอยู่สองคน ที่กำลังจีบคุณอยู่ แต่อยู่คนละประเทศ ... คนนึงส่งโปสการ์ดเขียนด้วยลายมือสวยงาม กับข้อความยาวๆ บนความตั้งใจ และเดินเอามันไปส่งที่ไปรษณีย์เพื่อส่งไปหาคุณ
กับอีกคนที่พิมพ์ๆ แล้วกดคลิกเดียวส่งเมลไปหาคุณ .... คุณจะเทใจให้กับคนไหนล่ะ ? ^__^
ลองมาดูมุมสะพานมอญด้านล่างจากทางฝั่งมอญดูบ้าง ... ตอนนี้ความมืดเริ่มเข้าครอบงำ แสงจากโคมไฟจึงต้องเปล่งประกายมาทดแทน
ถึงแม้จะมืดแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคึกคัก คงเป็นเพราะคืนวันเสาร์ด้วย คนเลยเยอะเป็นพิเศษ
และนี่คือแสงทไวไลท์ของสังขละบุรีประจำวันนี้ .... สวยยแท้
หลังจากฟินแบบเกินความคาดหมายที่สะพานมอญ ผมก็เรียกพี่วินเพื่อมาต่อยังถนนคนเดินประจำสังขละบุรี ที่จะมีเฉพาะวันเสาร์เท่านั้นน ค่าวิน 20 บาท โดยถนนคนเดิน จะจัดบริเวณถนนด้านข้างโรงแรมศรีแดง ใกล้ตลาดสดเทศบาลสังขละบุรี ซึ่งจะมีร้านค้า ของกินต่างๆ มากมาย ... ซึ่งหลักๆ เลยจะเป็นของกิน รวมไปถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น และการแสดงน่ารักๆ มาให้ได้ชมกันอีกด้วย
ผมมาลงตรงทางเข้าฝั่งใกล้ๆ สะพานมอญ เพื่อที่จะเดินย้อนขึ้นไปถึงทางเข้าอีกฝั่ง เมื่อมาถึงก็ถูกต้อนรับ ขับกล่อมด้วยบทเพลงร่วมสมัยจากวงดนตรีเด็กน้อยร้อยลีลาเหล่านี้
บรรยากาศชิลลมาก .... และจุดนี้ก็หิวมากเช่นกันนนน !!
คือพี่ไม่ได้มาเล่นนนๆ .... แต่พี่มากินจริงจังมากก !!! พูดเลอออออ
เอ้าร้านแรกก ของกินแลนมาร์คของที่นี่ ใครมาพลาดไม่ได้ กับ " หมูจุ่มพม่า " ซึ่งหากพอเข้ามาและเห็นคนเยอะ ไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะยังมีอีกสามถึงสี่ร้านด้านใน รสชาติของไม่ต่างกันมากนัก ไม้ละบาท .... ไม้ละชิ้น ! 555 หรือชิ้นละบาทท ><
ลักษณะคือจะเป็นเนื้อหมูบ้าง เครื่องในบ้่างง ไม้ละชิ้น จิ้มกับน้ำจิ้มลูกผสมระหว่าง น้ำจิ้มซีฟู้ด กับซอสพริก แต่บอกเลยคลิกมากก น้ำจิ้มดีงามมมม ส่งผลให้ไอหมูจุ่มอร่อยขึ้นตามมาอย่างสบายพุง
ต่อด้วย ยำไก่ทอดดด !! คืออันนี้เด็ดดดเช่นกัน ไก่ทอดกรอบอร่อย ยำรสเข้มข้น เรียกว่าเหนือชั้นกว่ายำไก่ทอดยี่ห้อดังจากอเมริกามากก ร้านอยู่ตรงข้ามหมูจุ่มร้านตะกี้
ของกินเยอะจริงๆ .... ผมได้ยินฝรั่งคุยกันแปลเป็นไทยประมาณว่า ... อร่อยชิบหั้ย ถูกสลัดด และหน้าอย่างฟิน ก็พอเข้าใจว่าของกินบ้านพี่ราคามันแค่ไหน พอมาเจอของอร่อยและถูกมหากาฬแบบนี้ ก็ฟินไปตามระเบียบ บนความเฉียบไปตามระบบ
ร้านถัดไป .... อีกหนึ่งเมนูที่ใครมาสังขละ ก็ต้องกิน เพราะนี่คือขนมจีนซิกเนเจอร์ของที่นี่
" ขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วย "
มีหลายร้านเช่นกัน เค้าว่าร้านอร่อยอยู่ฝั่งมอญชื่อร้านป้าหญิน แต่ตอนนี้ความอยาก ความหิวรอไม่ไหว จัดมันร้านนี้แหละ อร่อยเหมือนกัน โดยขนมจีนชนิดนี้ จะใช้หยวกกล้วยเป็นเครื่องเคียงหลักกับน้ำยารสกลมกล่อมม ใส่ผักชีนิด กระหล่ำปลีซอยอีกหน่อย พริกปรอยๆ อร่อยยยเหาะครับ บอกเลย
ของหวานอย่างนึงที่แนะนำกันมาคือ ไอศครีมลำไผ่ ... จริงๆ มันต้องเป็นแบบปั่น แต่หาไม่เจอ กินไอศครีมในลำไม้ไผ่แทนก็ได้ อร่อยยยอะ
นอกจากของกินแล้ว ถนนคนเดินสังขละยังเป็นแหล่งสร้างอาชีพ และความกล้าแสดงออกให้กับคนพื้นที่ได้ใช้ความสามารถและหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวอีกด้วย
จากประสบการณ์ตรงของผม ... หลายๆเมืองท่องเที่ยวทั่วโลก สิ่งหนึ่งที่มักจะมีให้เห็นเสมอคือ จิตรกรข้างถนน .. คนกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้มีเงินเยอะแยะอะไร ... แต่ความสุขของเค้าน่าจะเพียบกว่าใครๆหลายคน เพราะเค้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
เดินมาเรื่อยๆ ก็มาเจอกับการแสดงพื้นบ้านของเจ้าตัวน้อย ... น่ารักมากกครับ เรียกรอยยิ้มให้กับคนผ่านไปมาได้อย่างดี
มึงยังไม่อิ่ม ?
ยังง !
ต่อด้วยขนมเบื้องยวนนน แป้งงหอมมมมม รสกลมกล่อมม .....
และตบท้ายยยด้วยยร้านนี้ เป็ดเค้าเนื้อดีงาม ผมสั่งกะเพราะเป็ดมากินรสเข้มข้นพอดี เป็ดหอมพะโล้นิดๆ หนังนุ่ม โดยรวมอร่อยย ร้านอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลล
นี่แหละ กระเพราะเป็ด ก็แนะนำครับ ว่าอร่อยยยยดีงามม
จากนั้นก็ได้เวลากลับที่พัก นี่คือที่พักคืนละ 400 บาท ... ก็คุณค่าตามราคาครับ นอนได้หลับได้ เตียงแข็งนิดนึง แต่โอเคอยู่
ผมเข้าห้องมาสักพัก ... ตรงแถวๆหน้าห้องจะเป้นเหมือนระเบียงมีพื้นที่กว้างๆ ไม่นานนักก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาตั้งวงกัน เสียงดังนิดหน่อย เนื่องจากห้องนอนไม่มีแอร์จึงต้องเปิดหน้าต่างเพื่อรับอากาศ และนอกจากอากาศแล้ว เราก็ยังต้องรับเสียงเม้ามอยมานอนหลับฝันดีไปด้วยกันอีกด้วย 5555
ก็คิดว่า 400 บาท มีห้องให้นอนก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ถ้ามาสองคนเหลือคนละ 200 บาททท ถูกมาก .. จนในที่สุดก็หลับได้ ... ราตรีสวัสสสส!
_____________________________________________
Day 2 ( ตักบาตรมอญ - สะพานยามเช้า - วัดวังวิเวก (ใหม่ ) - เจดีย์พุทธคยา - จุดชมวิว - ล่องเรือชม 3 วัดเก่า )
ตั้งปลุกไว้ตอนตี 4 ครึ่ง ...
สะดุ้งขึ้นมาตอนตี 4
การตื่นด้วยร่างกายตัวเองคือความสบายตัววขั้นสูงสุดของการตื่นนอน 55 จากนั้นผมก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวว เตรียมพร้อมไปเจอสะพานมอญในตอนเช้า รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ ในวันสุดท้ายที่ สังขละบุรี ...
เริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น ...ด้วยปาท่องโก๋
ตอนนี้เป้นเวลาประมาณ ตี 5 ฟ้ายังมืดแปดด้าน เพราะจากที่เช็คมา พระอาทิตย์จะขึ้นตอน 6.55 โมงเช้า ... ผมลงจากจุดเดิม โดยมีเป้าหมายไปในการไปตักบาตร ทำบุญในยามเช้าที่ฝั่งมอญ
แต่จริงๆ ที่ฝั่งนี้ก็มีตักบาตรเช่นกัน
เช้ามืดดด ... กับความมืดที่ยังไม่เช้าาาา แต่การตื่นแต่เช้าแบบนี้ ท้องงงมันร้องงต้อนรับวันใหม่อย่างรุนแรง ขนาดเมื่อคืนกินเยอะมาก นี่ตื่นมายังหิววว
ผมจึงเดินข้ามไปฝั่งมอญ เพื่อที่จะหาอะไรรองท้อง ... พอพ้นสะพานมา ก็จะเจอร้านโจ้กร้านใหญ่ๆอยู่ทางซ้า่ย แต่ให้ตายเถอะลืมมชื่อ !! 555
และแน่นอนว่ายามเช้า กับท้องที่ว่างเปล่า ... ก้ควรจะเป็นอะไรที่เบาๆ เลยมาจบลงตรงสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนสังขละบุรี
" โจ๊กมอญ "
นี่คือหน้าตาของโจ๊กมอญ .. ก็จะคล้ายโจ๊กทั่วไป จุดแตกต่่างคือเนื้อหมูที่จะเป็นหมูสับปรุงรสมานิดนึง กับกระเทียมเจียวที่มาเพิ่มเติมความหอมและความเข้มข้นของโจ้ก ... ผลสรุปว่าโดนอีกแล้วว !
กินโจ๊กก็แล้วว เดินก็แล้ว ฟ้ายังคงมืดดดด นี่ก็เกือบๆ จะ 6 โมงเช้าละ
ไม่ต้องห่วงเรื่องของหรือเครื่องตักบาตร ตรงถนนเส้นหลักที่จะมีการตักกบาตรนั้น จะมีร้านขายอาหารคาว อาหารแห้ง ดอกไม้ สังฆทานกันมากมายเรียงรายอยู่ข้างถนน
และแต่ละร้านที่ขายก้จะมีพื้นที่ฝั่งตรงข้ามเป็นของตัวเองด้วยนะ 555 เรียกว่าใครมาช้าก้จะโดนบรรดาแม่ค้าจองกันหมด หากใครอยากได้ที่ชัวร์ถูกใจ ก็แนะนำมาก่อนแม่ค้าโลด ... ตอนที่ผมไปยังคงว่างหลายที่ ส่วนใหญ่ใครซื้อร้านไหน ก็จะอยู่แถบๆร้านนั้น
ในยามเช้าของกินจะมีหลายร้านมาก ทั้งร้านที่เป็นร้านจิงๆ กบัร้านค้าแผงลอย ที่รอคอยเหล่านักหิวจากทั่วทุกมุมโลกกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ...
นี่คือขนมถังแตกแบบมอญ อันนี้ไม่ได้ลองครับ แต่น่ากินดีเหมือกัน
และเดินๆอยู่ ก็จัดไอเจ้านี่มาลองแทน เรียกว่าอะไรไม่รู้คล้ายแป้งโตเกียวแข็งหน่อยไส้หวาน มีมะพร้าวสอดแทรกอยู่ อร่อยดี แต่แข็งไปนิดนึง
ผมเดินจนเริ่มเมื่อยก้เริ่มสงสัยว่าพระท่านจะมาถึงกี่โมง ก็ได้ความว่า การตักบาตรจะเริ่มกันตอนประมาณ 6.30 ครับ โดยพระจะเดินมาจากฝั่งมอญแล้วพอถึงแยกจะแบ่งเป็นสองทางคือเดินตรงมากลุ่มนึง และอีกกลุ่มเลี้ยวไปเข้าอีกทาง .. ตอนนี้ผมเลยยังคงเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
และในที่สุดก็ได้เวลา ... บอกเลยว่าคนเยอะมากก เยอะสุดๆ ล้นทะลักไปถึงไหนก็ไม่รู้ แนะนำเลยว่าควรไปแต่เช้าครับ ...
ภาพการตักบาตรในเช้าวันนี้เป็นไปอย่างอบอุ่น มีทั้งครอบครัว คู่รัก เด็กน้อย คนแก่มาใส่บาตรกันอย่างล้นหลาม ... อ่อซอยข้างๆ มีข้าวหลามขายด้วยยย ! ... จริงนะไม่ได้มุขข ><
ง่วง...แต่ยังยิ้มไหวค่ะ!
ผมอยู่เก็บบรรยากาศได้สักพัก ก็ออกเดินเล่นไปตามทางฝั่งมอญต่อ บรรยากาศดี ผู้คนนน่ารักตลอดทาง
ที่เห็นด้านข้างของบ้านชาวมอญตรงนั้นคือหิ้งพระ .. นี่คือสถาปัตยกรรมเฉพาะของชาวมอญที่มักจะสร้างหิ้งพระไว้ที่ตรงนั้น แต่ละหลังก็จะตกแต่งต่างกันออกไป
เดินมาเรื่อยๆ จุดสุดถนนแล้วเลี้ยวซ้ายไปนิดเดียว ก็จะพบกับ " ตลาดวัดวังก์ " ซึ่งนี่คือตลาดสดของชาวมอญแถบนี้ ไม่ไกลครับ เดินมาได้สบายๆ ชิลๆ
การมาดูตลาดสด มักจะทำให้ผมได้เห็นภาพวิถีชีวิตของคนพื้นที่นั้นๆชัดขึ้น ...
รอยยิ้มมจากเจ้าถิ่นนน ....
แต่อาจจะไปสายนิดนึงตลาดจึงวายไปพอสมควร ของสดมีเหลืออยู่ไม่กี่อย่าง แต่พวกของแห้งของใช้และอื่นๆ ยังคงอยู่กันครบ คนเริ่มน้อย แม่ค้าพ่อค้าก็เริ่มนั่งชิลลกันไป
จากนั้นผมก็เดินกลับไปทางเดิม เพื่อที่จะไปดูสะพานมอญกับสายหมอกในยามเช้าาาา ...
เห้ยยยย !! ใจเย็นลูกก !!!
น่านไง ติดใจสินะ ... ผ่านร้านก๊วยเตี๋ยว ว่าจะกินก๊วยเตี๋ยว แต่ปากไปสั่งโจ้กกกกเฉยย เอ้าากินนมันเข้าไป !
อิ่มครั้งที่สอง ก็เดินไปตามทาง เลี้ยวไปข้างล่างเพื่อที่จะไปชมสะพานมอญริมน้ำ จากฝั่งมอญดูบ้างง
ถึงงงแล้ววว
หมอกกกกหนาาใช้ได้ ในตอน 8 โมงเช้าา อากาศอาจจะดูเหงาๆ แต่บรรยากาศนั้นตรงกันข้าม คึกคักกมากก เหล่าเรือรับจ้างเริ่มทำงานตรงบริเวณริมน้ำ ซงึ่จะมีบริการทั้งฝั่งไทยและฝั่งมอญในราคาเท่าๆกัน
ส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งเรือไปชม 3 วัดคือวัดศรีสุวรรณาราม , วัดวังวิเวการาม (เก่า) และวัดสมเด็จ ใช้เวลารวมๆ 1.5-2 ชั่วโมง ซึ่งหากมาในช่วงน้ำขึ้นสองวัดแรกจะจมอยู่ใต้บาดาล แต่หากมาในช่วงน้ำลง หรือหน้าร้อนช่วงมีนาคม - เมษายนก็จะสามารถเดินเล่นได้ ส่วนผมมาในช่วงกลางมกราคม .... ไม่บอกหรอก จะเป็นยังไง ตามไปดูกันต่อเลย หุๆ ><
อ่อ ลืมบอกไป ค่าเรือไปทัวร์ 3 วัด ราคาต่อลำอยู่ที่ 500 บาทนะครับ ยิ่งเยอะยิ่งถูก
ภาพนี้ .... พี่ตูน บอดี้แสลม Featuring พีเบิร์ด ธงไชย
ยังไงมึง? ....
เรือเล็กควรออกจากฝั่ง ... หมอกจางๆและควันน (สลัดเห็ด มุขฝืดเป็๋ดมาก 555 )
ยิ่งสาย หมอกก้ยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ จนบางภาพที่ถ่ายออกมาก็รู้สึกว่า ทำภาพขาวดำแม่มเบยละกันนน ><
บรรยากาศยามเช้าของสะพานมอญ ค่อนข้าวจะแตกต่างกับตอนเย็นพอสมควร .. นี่คือสเน่ห์ของสถานที่แห่งนี้ ที่คุณจะต้องพาตัวเองมาทั้งสองวัน เพื่อที่จะได้เข้าถึงความแตกต่างของหนึ่งสถานที่แต่คนละช่วงเวลา
ผมเดินไปอย่างช้าๆ ... จากสะพานไม้ไผ่ข้างล่าง ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมา ... สารภาพเลยว่า แม้แต่เวลาก็ไม่ได้ดู เพราะถูกความฟินมันพรากความสนใจไปหมด
ผ่านไปเห็นเด็กน้อยปล่อยปลา ที่ยังคงนั่งรอเวลาให้ใครมาปลอดปล่อยตัวเองให้ได้กลับบ้านนอนสักที...
นี่แหละครับ ของดีประเทศไทย ... อีกหนึ่งลมหายใจของขอบชายแดน
" สะพานมอญ "
ขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง แต่ก้ยังไม่ได้ข้ามกลับไป เหมือนบางอย่างยังค้างคาใจ เพราะว่ายังไม่ได้ไปเห้นหมู่บ้านมอญตามซอกซอย ... ผมเลยเดินขึ้นมาแล้วตัดสินใจเลี้ยวขวาซอยที่สอง จนได้พบกับแถวตอนหน้ากระดานเรียงหนึ่งที่น่ารัก ^^
รวมไปถึงเด็กน้อยหน้าแฉล้มแก้มน่าหยิกนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว ผมก็เลยเหลียวไปเล่นเป็นเพื่อนซักหน่อย
เดินมาจนสุดทาง ก็เจอสะพานมอญจูเนียร์ 555
ต้องเดินลงไปตามทางลาดสักนิดถึงจะเห็น สะพานนี้จะทอดยาวข้ามแม่น้ำไปฝั่งนู้น
ด้วยนิสัยนักเจาะลึก ลุยสุดซอยย เห็นสะพานมอญจูเนียร์ ก็ไม่รีรอที่จะข้ามไปอีกฝั่งง อยากรู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้างมั้ย เผื่อจะได้มาบอกต่ออ ...
แต่อีกสิ่งที่น่าสนใจ ได้อยู่ตรงหน้าผมนี่เองง .... " วิถีชีวิต " ของชาวมอญ ที่มาให้ได้ใกล้ชิดในรูปแบบ ครอบครัวหรรษา และอารมณ์ดีมากๆ เราทักทายกันด้วยรอยยิ้มม ผมแจกหนึ่งยิ้ม แต่ได้กลับมาสามยิ้ม ... บางทีแค่ยิ้ม เราก็สุขและอบอุ่นไปถึงข้างในโดยไม่รู้ตัว
จากสะพานมอญจูเนียร์มองย้อนกลับไปจะเห็นสะพานมอญลูกพี่ใหญ่อยู่ตรงนั้น ผมว่าวิวจากตรงนี้สวยงามทีเดียว หากใครมีโอกาสแนะนำให้ลองมาเดินเล่นดูนะ
ผมเดินข้ามไปจนสุดสะพานมอญจูเนียร์จนได้พบกับลุงสองคนกำลังปิ้งย่างอะไรสักอย่างอยู่ ..
" ตัวอะไรครับ ลุงง " ผมถามด้วยความสงสัยพร้อมมองไปที่สิ่งมีชีวิตที่กำลังถูกหมุนด้วยกิ่งไม้อยู่บนกองไฟข้างถนน
" เราว่าตัวอะไรล่ะ " ลุงคนนึงถามกลับมา
" น่าจะ ... กระรอกรึปล่าวครับ ฮ่าๆ " ผมเดามั่วๆไป แต่พอเดาไปก็อดคิดไม่ได้ว่า .. .ใครจะไปกินกระรอกฟะ
" หนู .... หนูย่างงงง อร่อยยยยนะ! " ลุงตอบกลับมาพร้อมกวักมือเรียกผมเข้าไป
" สักชิ้นมั้ยย ? " ลุงอีกคนเชิญชิม !!
" เอิ่ม ยอมครับ ลุงงง ไม่ไหวๆ ! ฮ่าๆ " พระเจ้า หนูย่าง !! เพิ่งเคยเห็น หรือเค้ากินกันเป็นปรกตินะ แต่สภาพตอนมันเกรียมนี่ดูไม่ออกเลยว่าตัวอะไร ที่สำคัญมาชวนผมกินอี้กกกก .. บรัยส์ 555
หนูย่างตัวนั้นเป็นชนวนที่ทำให้ผมหยุดสำรวจหมู่บ้านมอญ แล้วกลับหลังหันเดินข้ามสะพานมอญจูเนียร์กลับไปทางเดิมดีกว่าา ..... พอขึ้นมาาาาาตรงเนินน
เจอเด็กย่างงงงอีก !! ...
อ่อ น้องเค้าย่าง เผาไม้ไผ่น่ะ แล้วไปๆ ><
นี่แหละพม่าสไตล์ !!
ภาพวิถีชีวิตชาวบ้านที่นั่งล้อมวงคุยกันบนพื้นถนนหน้าบ้านของตน นุ่งสะโหร่ง ทาแป้งทานาคา ... มันใช่มาก นี่คือพม่าสไตล์ที่ผมได้ไปเห็นมาในชนบทหลายๆเมืองที่ประเทศพม่า
ทุกวันนี้ใครจะนัดคุยงาน คุยเล่น นั่งชิล ก็จะต้องหาร้านดีๆ เก๋ๆ ได้บรรยากาศ อาหารอร่อย กาแฟนเลิศรส ... แต่ในทุกวันนี้เช่นกัน อีกโลกหนึ่งที่คนบางกลุ่มต้องการแค่พื้นถนนกับคนรู้ใจ นั่นก็เพียงพอสำหรับเค้าแล้วว
ปล.แต่ถ้าฝนตกนี่ตัวใครตัวมันจ้า 555
ฝั่งตรงข้ามที่เห็นนั่นคือจุดชมวิวและลานกางเต้นประจำสังขละบุรี ... เดี๋ยวเจอกันนนะ รอให้หมอกจางๆ จนหายไปก่อน
นอกจากการตักบาตรที่ฝั่งมอญแล้ว ข้างล่างก็เช่นกัน
และสิ่งที่ขาดไม่ได้ เมื่อมาชมสะพานมอญคือนวัตกรรมการเอาของไว้บนหัวของชนพื้นเมืองชาวมอญ ที่แต่ก่อนนั้นจะเป็นคนแก่หรือผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันนี้ร้อยละ 80 บนสะพานจะเป็นเด็กๆ ที่ทั้งขายของ และเป็นนางแบบเพื่อที่จะได้ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆไปใช้สอยรายวันเพื่ออยู่รอด ... บางคนอาจจะได้เยอะกว่าที่เราคิดก็ได้
เด็กมอญเหล่านี้ฉลาดไม่ธรรมดานะ 55 ผมเห็กเด็กคนนึงตามเจ๊ที่ดูเงินหนาไปตลอดทาง พูดยกยอและอ้อนจนได้แบ้งร้อยมา 3 ใบ !!! นั่นคือค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน แต่เด็กบางคนใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ได้มาแล้ว จริงๆ ผมว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดหรือไม่ดีเลย มันเหมือนกับการทำบุญช่วยเหลือกันมากกว่า หากใครมีให้ได้ก็ให้ไป สุขใจทั้งสองฝ่าย ใครจะรู้ น้องบางคนอาจจะต้องหาเลี้ยงครอบครัวอีกหลายคนก็ได้ ..
ฉนั้น ผมขอสนับสนุนการให้บนสะพานมอญแห่งนี้ ให้แต่พอดี ให้เท่าที่ไหว ให้แล้วสุขใจก็ทำไป ^^
นอกจากนี้ อีกหนึ่งสีสันบนสะพานมอญ คือพ่อหนุ่มเซเลบนักกระโดดน้ำผู้นี้ ที่มีอาชีพหลักคือกระโดดน้ำโชว์ ทำจนโด่งดัง บางคนถึงกับมาขอเซลฟี่ด้วย เรียกว่าสามารถเรียกความสนใจได้ตลอดเวลา เจ้านี่ไม่ธรรมดา
" เอ้า ใครอยากให้โดด ขอเสียงกรี๊ดหน่อย!! " พ่อหนุ่มตะโกนสุดเสียง ระหว่างที่พาตัวเองข้ามไปอยู่อีกฝั่งของสะพาน
" ไหนๆ ใครขออยากให้โดดด มายืนตรงนี้ (ประมาณว่าเตรียมจ่ายเงิน) 555 "
ผมก็เลยไปยืนข้างหน้า พร้อมกับทำท่าควักกระเป่าหาแบ้งที่เหมาะสม โดยมีเด็กมอญลูกน้องเจ้านี่ยืนถือกล่องใส่เงินรออยู่
" สีอะไร สงสัยจะสีแดงง " เซเลบคุยกับเด็กถือกล่อง
" รุ่นนนี้สีม่วงชัวร์ "
" มึงไปดูถูกพี่เค้า ระดับนี้ต้องใบสีเงินเท่านั้น "
กดดดดดันกรูมากกก!!! 555
สารภาพครับ ว่ากดดันนนิดหน่อยยย ... แต่ต้องขอภัยน้องจริงๆ พี่มีสีเขียวววสามใบ !! ><
ผมก้เลยควักแล้วเอาไปใส่กล่อง คือนอกจากนี้มีแบ้ง 500 แล้ว ซึ่งคงไม่บ้าจี้หยอดแบ้ง 500 ตามที่มันกดดันเป้นแน่ ฮ่าๆ
" แหมมมม ควักตั้งนานน ได้สีเขียวว เดี๋ยวตีมือเลยยย " เจ้าเซเลบแซวแบบขำๆ ... กรุก็เขิลนะ ><
" เอ้าาา จะโดดละนะ ขอเสียงอีกสักครั้งง !! " ........... ผมมมคิดในใจ " มึงโดดได้ละ 55 " หาเสียงงตลอดเวจริงๆ แต่ก็นี่แหละครับ สีสัน จนได้ชื่อเสียงแบบไม่ธรรมดา
3...2....1 โดดดดดด!!!
60 บาทกรูหมดไปภายในสองวิ ... ไม่เป้นไร ได้ภาพดีๆ และก็ได้่เวลาไปยังสถานีต่อไปละ
ผมเดินย้อนกลับมาทางฝั่งมอญอีกครั้ง เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังง " วัดวังวิเวการาม ( ใหม่ ) หรือที่เรียกกันว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ " .... เดินจนขาลากแล้วว จุดนี้ต้องพี่วินเท่านั้น
แว้นนกันต่อ กับราคาจากแถวๆหมู่บ้านมอญไปก็ 20 บาท
แปปเดียวก็มาถึงวัดหลวงพ่ออุตตมะแล้วว
เอ้า สาระมาเต็ม .. ใครไม่ใฝ่หาสาระ เลื่อนลงไปถัดไปรูปที่สองเลยจ้า 555
วัดนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรีแล้ว ยังเป็นวัดที่ถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับคนท้องถิ่น และยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอสังขละบุรี ทั้งชาวไทย และกะเหรี่ยง โดยเฉพาะสำหรับชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่เปรียบหลวงพ่ออุตตมะเป็น "เทพเจ้าแห่งชาวมอญ" วัดนี้จึงเกิดจากพลังศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อ และเป็นวัดที่เคยเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" วัดจึงเป็นเสมือนตัวแทนหลวงพ่อ และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมอญ ในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีของมอญ และจัดงานอื่นๆ เช่น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีการจัดงานคล้ายวันเกิดของหลวงพ่ออุตตมะ มีงานกิจกรรมต่างๆ พิธีกรรมทางศาสนา งานแข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่นการรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และมีการแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมชาวไทยรามัญ
ตรงนี้คืออารามหลัก 2 ชั้น ที่ด้านหน้ามีซุ้มทางเข้า และประดับประดาด้วยหลังคาเรือนยอดเป็นชั้นๆ สีเขียวตัดขอบทอง ปลายยอดมีด้วยกัน 3 ยอด ตามลักษณะสถาปัตยกรรมของมอญ ชั้นบนเป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บพระพุทธรูป และอัฐบริขาร เครื่องใช้ต่างๆ เช่นคัมภีร์ใบลานอักษรมอญโบราณ ตาลปัตร
เมื่อเข้ามาภายในศาลาหลังนี้ จะได้เห็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวัดวังก์วิเวการาม นั่นก็คือปราสาทเก้ายอด โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางโดยมีรูปเหมือนของหลวงพ่ออุตตมะนุ่งห่มจีวร ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ ตอนแรกผมก็ตกใจเหมือนกัน นึกว่าท่านนั่งนิ่งๆ ..
ด้านหน้ามีปราสาทองค์เล็กมี 5 ยอด คล้ายบุษบก 2 หลัง มีรูปของหลวงพ่ออุตตมะอยู่ภายใน ดอกไม้สดที่ศิษยานุศิษย์นำมาเปลี่ยนทุกวันในช่วงเทศกาลต่างๆ ของวัด เช่น การทอดกฐิน ผ้าป่า ฯลฯ แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาอย่างมากที่มีต่อหลวงพ่ออุตตมะ ปราสาทหลวงพ่ออุตตมะทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานศิลปะ วัฒนธรรมและความเชื่อของชาวมอญหลายกลุ่มที่แยกย้ายกระจายกันอยู่ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย หลอมรวมเป็นโอฬาริกบูชา แด่หลวงพ่อผู้เป็นที่เคารพสักการะของศิษยานุศิษย์ หงส์ทองคู่เป็นสัญญลักษณ์ของชาวมอญที่มีมาแต่โบราณกาล ภายในปราสาทเก้ายอดเป็นที่เก็บสังขารหลวงพ่ออุตตมะ ไว้เป็นที่สักการะของศิษย์และประชาชนทั่วไป
Cr.ข้อมูล : http://www.touronthai.com/
หลังจากกราบไหว้หลวงพ่ออุตตมะเสร็จ ก็เดินมาด้านขวาของอารามจะพบกับ พระอุโบสถของวัดวังก์วิเวการาม ด้านในจะมีบ่อน้ำเล็กๆ ล้อมรอบพระอุโบสถอยู่
ประตูไม้ที่พระอุโบสถถูกแกะสลักอย่างปราณีตและสวยงามม
ผมเดินวนอยู่รอบนึง แล้วก็จากมา จริงๆ ยังมีวิหารหินอ่อน กับหอระฆังที่น่าสนใจเช่นกัน หากมีเวลาก็สามารถแวะเวียนไปได้ ...
จากวัดหลวงพ่ออุตตมะ ผมเดินย้อนกลับมาตามทางเรื่อยๆ ตามถนนเส้นหลักเพื่อไปยังที่หมายถัดไป แดดเริ่มร้อนแผดเผาจริงจังอีรุงตุงนังมากขึ้นเรื่อยๆ จนร่มไม้แทบจะเอาไม่อยู่ ... ตอนที่เดินนั่นก็ไม่รู้ว่ามันไกลแค่ไหน รู้แค่เพียงหลวงพี่ที่วัดบอก " เดินได้โยม "
โยมผู้นี้ จึงเดินมาเรื่อยๆ ผ่านโรงเรียนที่ว่างเปล่าในวันอาทิตย์ ไม่มีคู่คิด ไม่มีคู่ใจ มีแต่ไหล่ของตัวเองเป็นที่พักใจ และยกมันขึ้นมาซับเหงื่อเป็นระยะ ... ร้อนโคตร!
แต่ก็ไม่ได้ไกลอะไรมาก ... จะรู้สึกไกลก็ไอตรงอากาศร้อนนี่แหละ
ในที่สุดผมก็ถึงที่หมาย " เจดีย์พุทธคยา " ตรงนี้เป็นบริเวณลานจอดรถ และมองตรงไปด้านหลังจะเห็นหอคอยที่สามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงได้ เดี๋ยวจะพาขึ้นไปครับ
แต่ก่อนอื่น ขอมาสัมผัสกับเจดีย์พุทธคยาก่อนน
พระเจดีย์พุทธคยาเป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่กับวัดวังก์วิเวการาม เป็นเจดีย์องค์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ มีสีเหลืองทอง สามารถมองเห็นได้จากแม่น้ำซองกาเลียเลย ภายในองค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงเป็นเจดีย์ที่มีผู้คนมาสักการะ บูชาองค์เจดีย์ที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ฟินจากวิวด้านล่าง ก็เดินขึ้นบันไดมาตามทาง .. แต่เราไม่สามารถขึ้นไปที่ด้านบนเจดีย์ได้ ตอนแรกผมนึกว่าขึ้นได้ เพราะเคยเห้นภาพคนไปถ่ายคู่กับเจดีย์นี้ในระยะใกล้ๆ อยู่ แต่พอเดินขึ้นไปทาง ทางขึ้นบันไดถูกปิดไป .. จากในรูปก้ที่เห็นด้านขวาสีเขียวนั่นแหละ บันไดที่ถูกปิดด เสียดายยอดขึ้นเลยย .. จึงเดินรอบด้านล่างแทนน
จากนั้นก็ได้เวลาขึ้นไปที่หอคอยชมวิว .... พอขึ้นมาก็จะได้เห็นวิวมุมสูงแบบนี้ เสียดายที่วิวฝั่งแม่น้ำโดนบดบังด้วยต้นไม้และพุ่มไม้ต่างๆ แต่ก็ไม่เสียดายที่ขึ้นมา เพราะลมโกรกมากกกก สบายยยยแฮร์สุดๆ ฮ่าๆ
และความยากมาถึง เมื่อตรงนี้ไม่มีวินแมงกะไซ .... เอาล่ะไง กรูจะไปต่อยังไงเนี่ยยย
อากาศก็ร้อน ใจก็ร้อนรนเล็กน้อยย .. แต่ทุกอุปสรรคมักจะมีแสงสว่างเสมอ โปรดเชื่อประโยคนี้ เพราะมันจะทำให้คุณมีสติ ถึงจะไม่มีสตางค์ก็เถอะ!
เอาล่ะ ... สถานการณ์แบบนี้ คนพื้นที่คือกุญแจสำคัญ ... ผมเดินไปที่ซุ้มขายของ และตรงไปซื้อ Sponsor 1 ขวดดับกระหาย ... อื่มมอร่อยยดี เห้ย!! มึงมีปัญหาอยู่ๆ
ซื้อของแล้ว ก็ได้เวลาถามหาความช่วยเหลือ เพราะเราจนหนทางจริงๆ .... หากรอก็อาจจะมีวินหลุดมาบ้าง แต่ไม่มีใครบอกได้ว่านานแค่ไหน จะไปรอเฉยๆก็ไม่ใช่ อย่างน้อยๆทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน
" พี่ครับๆ แถวนี้มีวินมั้ยครับ " ผมถามไปอย่างไว
" ไม่มีเลยน้อง ต้องรอสักพักกกแหละ "
" นานมั้ยอะครับบ ? " ..
" ไม่แน่ใจนะ ... เฮ่ยยๆ (เรียกพี่ร้านข้างๆ) มีเบอร์วินมอไซมั้ยย " เจ๊ตะโกนถามพี่ร้านข้างๆ
" เอออ มีๆ แปปปนะ " .... นี่คือเสียงสวรรค์ที่เหมือนเอาน้ำเย็นมาดับความร้อนไปชั่วขณะ จากนั้นพี่เค้าก็โทรตามวินที่รู้จักให้มารับผมไปส่งในที่หมายต่อไป นั่นคือ จุดชมวิว ซึ่งอยู่ฝั่งมอญนี่แหละ ... ขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสองท่าน มา ณ.ที่นี้ จากสถานการณ์ที่ผ่านไป ยังถือเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า " ทุกปัญหามักจะมีทางออกเสมอ "
แว๊นมาสักพักก็มาถึงจุดชมวิว .. จากเจดีย์พุทธคยา มาถึงจุดชมวิวก็ประมาณ 40 บาท นี่เป็นทางเข้าด้านหน้า ซึ่งตรงจุดชมวิวด้านล่างสามารถกางเต้นท์ได้ครับ น่าสนใจ เพราะบรรยากาศดีมาก
เดินลงบันไดมาตามทางก็จะมาเจอกับจุดชมวิวแล้ว ข้างล่างนั่นไงง ที่มีสองแง่งงงง ><
มองออกไปที่สะพานมอญ ...โอ้ววว สวยยยยยยอ่าาา
และเมื่อชมวิวเสร็จ .. ความยากแบบเดิมก็ก่อเหตุขึ้นอีกครั้งงง จากจุดชมวิวนั้นไม่มีวินหรืออะไรทั้งนั้น ผมต้องเดินข้ามสะพานซองกาเลียซึ่งอยู่ข้างๆ ไปตามทาง แล้วจะมีวินมอไซที่นั่น ... ผมไม่รู้หรอก
นั่นคือสิ่งที่วินคนตะกี้บอกผมมา หลังจากผมถามว่าจากที่นี่ จะกลับไปฝั่งไทยได้ยังไง
ผมก็เดินไปตามที่วินคนนั้นบอก ข้ามสะพานไปเรื่อยๆ แวะถ่ายภาพบนสะพานสักหน่อย แล้วค่อยเดินต่อไปจนถึงฝั่งไทย ... " ไหนวินวะ! "
ข้ามมาแล้ว ไม่มีวินอะไรทั้งนั้น ... ระหว่างผมกำลังยืนปาดเหงื่อเก้ๆกังๆอยู่ ก็เห็นมอไซคันนึงมีเบอร์ 9 แบะอยู่กลางหลังขับผ่านไปแบบไม่เร็วมากนักก
" เชี่ย นั่นพี่วิน โชคดีละ " ทันใดนั้นผมมมตะโกนสุดดเสียงงงงเลย ว่าา " พี่คร้าบบบบบบบ จอดค้าบๆๆ !! " แล้วพี่มอไซก็จอดดด โอ้วมายก้อดด กรูรอดแล้ววว!!
" ไปสะพานมอญครับพี่ " .... หากไม่รู้จะไปลงไหน แนะนำว่า เอะอะๆ ให้ไปสะพานมอญก่อนนนโลดดด
" ขึ้นมาเลยหนุ่ม " พี่ทำหน้างงๆเล็กน้อยก่อนเรียกให้ผมขึ้นมา
เราแว้นกันไปเรื่อยยๆ ไม่ใกล้และไม่ไกล ก็มาถึงบริเวณด้านล่างของสะพานมอญ .. " เท่าไหร่ครับ " ผมถามราคาไป
" แล้วปกติเคยไปเท่าไหร่ล่ะ ? " พี่เค้าถามกลับมา .... ผมก็งง
" ไม่แน่ใจอ่าครับ ปกติพี่วิ่ง......... " พูดยังไม่ทันจบ สายตาก็ไปพบกับความจริงว่า นั่นมันไม่ใช่เสื้อวิน แต่มันเป็นเสื้อบอลทีมอาเซน่อลลโว้ยยย !!! .งามหน้าเลยกรุ 55555 ฮาแตกครับ
" เอ้าพี่ ขอโทษคร้าบบ แล้วก็ไม่บอกกผมมมม เห็นเบอร์ที่เสื้ออ ผมเลยเข้าใจผิดเลยย ฮ่าๆ "
" ไม่เป็นไร แถวนั้นหาวินยาก ดีแล้ววๆ "
" อ่ะนี่ครับ 60 บาทท " ผมรู้ว่าราคาจริงไม่ถึงหรอกน่าจะสัก 40 แต่สถานการณ์แบบนี้ก็ช่วยค่าน้ำมันพี่เค้าไว้เป็นน้ำใจ แทนน้ำใจที่เค้าช่วยเหลือเราแล้วกัน ... ผมขอบคุณเค้าอีกครั้งก่อนจากลา นำ้ำใจคนที่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ อีกหนึ่งความละมุนหัวใจที่สังขละบุรีหยิบยื่นให้กับผม
ระหว่างที่ซื้อไอติมกิน ก็มีนายหน้ามาถามว่าล่องเรือมั้ยยย ..ผมเลยบอกว่าผมมาคนเดียวนะ เค้าก็บอกไม่เป็นไร เดี๋ยวหาคนแชร์ให้่ พูดจบบปุ๊ป ก็มีคู่รักเดินมาพอดี นายหน้าก็เข้าไปขายตรงอย่างทันท่วงที และไม่กี่นาทีเค้าก็ตกลง ผมก็ปลงใจ เราเลยได้ลงเรือลำเดียวกัน กับการไปทัวร์ 3 วัดด 500 บาทไทย แล้วหารกันสามคน ....
หนึ่งคู่ .... กับหนึ่งคี่ ไม่สิ จริงๆ บนเรือยังมีคนขับเรือกับเจ้าไกด์ตัวน้อยอีกคน!
การล่องเรือนี่ได้อารมณ์กว่าที่คิด บรรยากาศและธรรมชาติระหว่างทางค่อนข้างดีงามทีเดียว อากาศดีเย็นสบายๆ ชิลเป็นที่สุดดดด
ที่เห็นไกลๆ ออกไปนั่นคือ วัดวังก์วิเวการาม(เก่า) ซึ่งเราจะแวะกันเป็นที่สุดท้าย
และตอนนี่ก็มาถึงวัดแรกกันแล้วว .... นี่คือ วัดศรีสุวรรณ
ซึ่งตอนนี้กำลังจมน้ำอยู่ครึ่งนึง เราจึงทำอะไรไม่ได้มากนักนอกเสียจากแล่นเรือเข้าไปใกล้ๆ อย่างช้าาา แล้วค่อยๆ แล่นผ่านไป ... แค่นั้นจริงๆ หากใครมาช่วงน้ำลง ก็จะได้ลงไปเดินชิลๆได้ โดยเจ้าไกด์ตัวน้อยได้อธิบายอย่างน่ารักว่า
" นี่คือวัดศรีสุวรรณครับ ตอนนี้กำลังจมน้ำ ในช่วงหน้าร้อนจะสามารถไปเดินเล่นได้ " .. จบบ อื่มมม กระชับไปนะ 555
จากนั้นเรือแล่นต่อมาสักพักก ก็เข้าเทียบท่าที่อยู่ไม่ไกลกัน
นี่คือวัดที่สอง ที่มีชื่อว่า วัดสมเด็จ ....
บริเวณทางเดินขึ้นไปสู่ตัววัดถูกประกบด้วยร้านค้าต่างๆ ทั้งขายน้ำ ของกิน ดอกไม้ธูปเทียน และปล่อยปลาก็ตามมาถึงที่นี่เช่นกัน เจ้าไกด์พาเราไปซื้อดอกไม้ ธูปเทียนร้านเพื่อนของแกก่อน จากนั้นก็เดินนำขึ้นโบสถ์ไป คู่รักด้านหน้าผมก็เดินกระหนุงกระหนิงกันไปตลอดทาง .. แหม่
วัดสมเด็จเป็นวัดถูกทิ้งร้างเมื่อคราวย้ายเมืองสังขละบุรี ตอนเริ่มสร้างเขื่อนเขาแหลม ภายในอุโบสถมีพระประธาน สภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์
นี่คืออารามแห่งเดียวของวัดนี้ที่ยังเหลืออยู่
มองผ่านหน้าต่าง ก็จะเห็นพระพุทธรูปอยู่ด้านใน ... อีกใจก็พลอยให้นึกถึงจังหวัดสมุทรสงครามเหมือนกันน ^^
สวยยยย .. สงบบบบ
ผู้คนเข้ามากราบไหว้กันทุกคน ที่แวะเวียนมาา
ในที่สุดก็ได้เวลาไปที่วัดสุดท้าย ซึ่งเป็นวัดที่ผมชอบมากที่สุด
วัดวังก์วิเวการาม(เก่า) หรือเรียกอีกชื่อว่า วัดบาดาล ...
นี่คือ วัดวังก์วิเวการาม(เก่า) ครับ ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางและสวยที่สุดในสามวัด ตามความคิดของผม แต่วัดนี้ด้านในจะไม่มีพระพุทธรูปเหมือนวัดสมเด็จ
วัดวังก์วิเวการามเดิมนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2498 เป็นวัดที่เกิดจากพลังความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงพ่ออุตตมะ จุดที่ตั้งของวัดนี้ อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือบริเวณเนินที่มีแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี มารวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย
แต่แล้วในปี พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีโครงการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อเขื่อนเขาแหลม เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเมื่อเก็บกักน้ำหลังเขื่อนแล้ว ระดับน้ำเพิ่มขึ้นจนท่วมตัวอำเภอเก่า ในพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ หมู่บ้านชาวมอญอีกกว่า 1,000 หลังคาเรือน รวมถึงวัดวังก์วิเวการามเดิม ทางการจึงได้อพยพชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ออกจากบริเวณที่น้ำท่วม และย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขาด้านฝั่งตะวันตกของลำน้ำแควน้อยในปัจจุบัน ที่ผมได้ไปมาในช่วงเช้านั่นแหละครับ ทำให้บริเวณวัดเดิม ถูกปล่อยให้จมอยู่ใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันในนามของ "วัดใต้น้ำ" หรือ เมืองบาดาล ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแบบ Unseen Thailand เลยนะ ธรรมดาที่ไหน
สวยแปลกตาดีที่นี่ มีเด็กมาวิ่งเล่นกันเยอะมากกกก คือไม่ได้เล่นเพื่อขอเงิน แต่เล่นกันจริงๆ ตามประสาเด็กกๆ บรรยากาศดีมาก ถึงแม้จะร้อนมากด้วยก็ตาม
ผมเดินด้านนอกอยู่สักพัก ก็ขอไปดูด้านในอารามหลักบ้างง ... มันโล่ง และว่างเปล่าจริงๆ ตรงสุดอารามจะมีจุดให้เราเอาดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาหรือไปปิดทองได้ จะมีน้องขายทองอยู่ ชุดละ 10 บาท ผมก็ช่วยน้องเค้าไปหนึ่งชุด
นี่ครับ ปิดทองแผ่นละ 10 บาทท
" หากถูกใจ ฝากแชร์รีวิวนี้ให้คนอื่นได้อ่านกันต่อด้วยนะคะ อยากให้คนมาเที่ยวบ้านหนูเยอะๆ " ... น้องเค้าฝากบอกมาครับ (มึงมากกว่ามั้ง) 55555
เมื่อก่อนนั้น ผมมักจะไม่ค่อยได้ให้เวลากับการซึมซับสถานที่สักเท่าไหร่ คือไปถึงปุ้ป ถ่ายรูปๆๆ แล้วก็ย้ายยที่มั่น ... แต่หลังๆมานี่ หากที่ไหนที่ผมชอบ ผมจะให้เวลากับมันมากกว่าเดิมพอสมควร ทั้งนิ่งๆ ซึมซับกับภาพตรงหน้า หรือไม่ก็เดินลัลล้าไปตามมุมต่างๆในพื้นที่ตรงนั้น ...
มันทำให้ผมค้นพบว่า .. เมื่อเราได้ให้เวลากับมันมากขึ้น เราก็จะรู้สึกหลงมันมากขึ้น คล้ายๆกับการที่เราอยู่กับใครสักคนไปนานๆ ตอนแรกก็อาจจะเฉยๆ หรือบางคนอาจจะเบื่อขี้หน้า ขี้แมลงวันกัน ... แต่พอเวลาผ่านไป บางคนก็อาจจะตกหลุ่มรักกันไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ .. ผมว่าการเดินทางก็คล้ายกัน
" เห็นด้วยกับผมมั้ยย พี่สองสาวถือร่มมม ? " ^____^
บางทีการยืนดูเด็กๆ เล่นกันแม่งก็เป็นความเพลิดเพลินที่ประหลาดๆ ดี 555
ระหว่างที่ผมรอคู่รักถ่ายรูป ผมก็เดินวนเวียนดูเจ้าเด็กกลุ่มนี้เล่นกัน ... ตอนนั้นมันเหมือนผมนั่งไทมแมชชีนไปเห็นภาพตัวเองตอนเด็กๆ สมัยยอยู่บ้านนอก จับกลุ่มไปตามวัดเก่าๆ แบบนี้เลยย
จะว่าไปก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกสักครั้ง ...
จากตรงนี้มองออกไป ก็จะเห็นเจดีย์พุทธคยาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนั้นนน ....
มองความศรัทธาผ่านหน้าต่าง ....
ส่วนอีกคนก็กำลังเก็บความทรงจำที่ล้ำค่าา .....
ในขณะที่เจ้าเด็กน้อยคนนี้ก็เดินก้มหน้ามองพื้นดิน
กับสองสาวเจ้าถิ่นที่ทั้งนั่งและยืนรับลมชมวิว ชิลกับแสงแดด
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก้ได้เวลาที่พวกเราทั้ง 5 คนต้องกลับเข้าฝั่งงงสักที แล้วก็ได้ผ่านเจดีย์ก่อนจากลาอีกสักหน
กลับมาปิดฉากทริปที่สะพานมอญอีกครั้ง กับทรงผมสุดเซอร์ ที่ถูกเซทโดยลมจากธรรมชาติ หลังจากแว้นมาตั้งแต่เช้า ไปจนถึงนั่งเรือเมื่อตะกี้ อยู่ทรงกันไปยาวๆ ><
หากใครที่มีปัญหาเรื่องถ่ายภาพบนสะพานมอญตอนเช้าหรือเย็นแล้วคนเยอะมากกก แนะนำให้มาตอนเที่ยงหรือบ่ายครับ รับประกันความโล่งงงงง 555 แต่แสงอะไรจะสู้เช้ากับเย็นไม่ได้ .. บางทีเราก็ต้องเลือก แต่ถ้าใครมีเวลาก็มามันทุกเวลาก็ไม่เสียหาย จะว่าไปผมนี่ครบเลย เช้า สาย บ่าย เย็นนน เต็มอิ่มกับสะพานมอญเป็นที่สุด!
แต่ท้องนี่ไม่อิ่มมม ... ตั้งแต่โจ้กถ้วยสุดท้าย ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องงงง ได้เวลาจัดอาหารมื้อสุดท้ายที่สังขละ ก็ร้านนี้เลยครับ ใกล้ๆดี วิวก็น่าจะดีด้วยย อยู่ด้านขวาของสะพานมอญและมีแง่งยื่นออกมาา ... ป่ะ!
ไม่ผิดหวัง... นี่คือวิวจากร้านอาหารร้านนี้ มองออกไปจะเห้นสะพานทอดตัวเป็นเส้นนำสายตา ไปสุดสายตาที่ฝั่งมอญ
และก็ไม่ผิดหวังอีกครั้ง .... จานนี้พริกแกงหมูกรอบไข่ดาว 55 บาททท อร่อยยยจัดจ้านนนมาก และ ณ.ตอนนี้ที่ผมกำลังเขียนรีวิวอยู่คือตอนเที่ยงคืนนิดๆ ... หลังจากได้โพสภาพนนี้
หิวสิครัชชช !!!!
อิ่มของคาว ก็ไปต่อของหวาน
ผมเลือกร้าน Blend cafe ที่อยู่เยื้องๆ กับ 7-11 ตรงข้ามตลาดสังขละ ด้วยสาเหตุที่เค้าก็แนะนำกันมา และมันอยู่ไม่ไกลจากที่ผมพักก บรรยากาศร้านน่ารัก น่านั่งใช้ได้ทีเดียว แนวๆ Vintage เก๋ไก๋ จาไมก้า ที่สำคัญ แอร์เย็นนนสบายบรืวววววว
สั่งเค้กสตออมากินนรสชาติโอเค แต่ยังไม่สุดด หากปรับอีกนิดนี่อร่อยเลยย ส่วนกาแฟคาปูชิโน่นี่อร่อยยครับ มาชิลๆได้ โดยรวมโอเค จริงๆมีอีกร้านที่แนะนำกันคือ Graph cafe แต่อีนี่ขี้เกลียดดจ้าา 55 ใครว่างลองดูครับ
ถึงเวลาต้องลาจากกันอีกครั้ง ... สังขละบุรี ผมกับที่นี่ เราร่ำลากันมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีครั้งที่สามอีกหรือไม่ แต่ความประทับใจในครั้งนี้ มันมีมากกว่าครั้งแรกเยอะมาก
ประทับใจทั้งความสวยงามของสถานที่ ผู้คน อาหาร และวิถีชีวิตของคนที่นี่ เรียกได้ว่ามันทำให้การเดินทางครั้งของผมดูอบอุ่นและละมุนหัวใจแบบไม่ธรรมดา
ผมเชื่อว่าใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ .. หากเคยไปแล้ว ก็อาจจะอยากไปอีก และหากใครยังไม่เคยไปจะต้องเทใจเลือกที่นี่ในทริปถัดไปอย่างแน่นอน ยังไงก็ขอฝากสังขละบุรี ผ่านรีวิวนี้ด้วยนะครับ
หากถูกใจก้ฝากแชร์ให้คนได้อ่านกันเยอะๆน้าา ขอบคุณมากครับ ^^
ไปแล้ววนะ สะพานมอญ ... ลาก่อนนสังขละบุรี!
________________________________________________________________
บทสรุปค่าใช้จ่ายและสถานที่เที่ยว
Day 1 ( ยามเย็นที่สะพานมอญ - ถนนคนเดินสังขละบุรี )
นั่งรถตู้จากเมืองกาญราวๆ 175 บาทรอบเที่ยง ไปถึงสังขละบุรีประมาณเกือบ 4 โมงเย็น
นั่งวินไปสะพานมอญ 20 บาท - นั่งวินไปถนนคนเดิน 20 บาท
จากนั้นปฏิบัติการกินแหลกก ประมาณ 200 บาท รวมค่าขนม น้ำ ก่อนเข้าที่พัก โดยที่พักราคา 400 บาท
Day 2 ( ตักบาตรมอญ - สะพานยามเช้า - ตลาดวัดวังก์ - หมู่บ้านมอญ - วัดวังวิเวก (ใหม่ ) - เจดีย์พุทธคยา - จุดชมวิว - ล่องเรือชม 3 วัดเก่า - Blend cafe - คิวรถตู้ )
นั่งวินไปสะพานมอญตอนตี 5 ราคา 20 บาท
ค่ากินตอนเช้าทั้งหมดราวๆ 100 บาท
นั่งวินไปวัดวังวิเวก 20 บาท - นั่งไปจุดชมวิว 40 บาท - นั่งกลับไปสะพานมอญ 60 บาท
หารค่าเรือทัวร์ 3 วัด 500 บาท กับอีกสองคน จ่ายไป 170 บาท
ค่าข้าวมื้อสุดท้าย + จิปาถะ + เค้ก กาแฟ ประมาณ 300 บาท
ค่ารถกลับ 175 บาท
ทริปนี้ใช้ไป 1,700 บาท หากมากันหลายคนก็อาจจะถูกลงพอสมควร ไม่ก็แพงโดดไปเลย เพราะกินหนักมากกแน่นอนน 555
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ !