ปล่อยหัวใจลอยไปกับสายลม ที่ " ภูเก็ต " 3 วัน 2 คืน สักครั้งกับประสบการณ์ชีวิตเหนือระดับ
เวลาทุกนาทีในนาทีชีวิตของเราล้วนมีค่า .. การจะตัดสินใจไปไหนสักที่ หรือจะทำอะไรสักอย่าง ก็ควรจะคิดให้ดีว่าไปแล้วจะมีความสุขหรือไม่ จะได้อะไรมั้ย หรือจะส่งผลกับชีวิตด้านอื่นบ้างรึปล่าว
ระหว่างที่กำลังนั่งพรึมพรัมอยู่คนเดียว เข็มยาวบนหน้าปัดนาฬิกาก็เดินทางผ่านไปสองบล๊อก หรือเท่ากับ 10 นาที
จากนั้นก็มี Message จากสาวปริศนาเข้ามาทาง Facebook ว่าา ..
สาวปริศนา : คุณฟลุคคะ วันที่ 4 - 6 มีนาคม พอว่างมั้ยคะ
ผม : ผมกลับจากญี่ปุ่นคืนวันที่ 3 ตอน ตี 2 ครับ วันที่ 4 หรอออ .. อื่ม ว่าแต่นี่ติดต่อมาเรื่องอะไรครับ
สาวปริศนา : พอดีอยากจะเชิญคุณฟลุคไปร่วมกิจกรรมของทางโตโยต้าที่ " ภูเก็ต " ค่า ก็จะนั่งเรือยอร์ชไปตามเกาะต่างๆ แล้วก็ไปเที่ยวตามจุดน่าสนใจด้วยกัน
จากนั้นนใน Message ก็ขึ้นว่าเธอกำลังพิมพ์บางอย่างอยู่ .....
ผม : ok ครับ!
เห้ยยยยย! มึงใจง่ายไปมั้ยย ไหนๆ ลองเลื่อนไปอ่านสองบรรทักแรกอีกที ว่าเพิ่งพิมพ์อะไรไป แล้วเค้าไปกี่โมง ไปกับใคร นอนที่ไหน ตารางงานก็ยังไม่ได้เช็คคค ก็ไปตอบบตกลงเค้าซะอย่างนั้นนน !!
จะว่าไปบางครั้งการตัดสินใจบางเรื่อง มันก็มาจากเรื่องเพียงไม่กี่เรื่อง ครั้งนี้ผมแค่รู้ว่าเป็นภูเก็ต ได้ไปทะเล ก็ไม่ยากเกินไปที่จะตอบตกลงใจในทันที จริงๆ เหมือนโชคชะตาแอบรู้ใจ เพราะลึกๆ ข้างใน ก็คิดถึงทะเลอีกแล้วว .... และในส่วนของกิจกรรมครั้งนี้ มีชื่อว่า
" Ultimate Summer Vacation at SALA Phuket "
อ่านให้ถึงตอนสุดท้ายนะครับ เดี๋ยววันสุดท้ายผมจะพาไปเที่ยวที่เที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ของจังหวัดพังงากันนน ใหม่สดๆร้อนๆเลยล่ะ!
__________________________________________________
Day 1
ตี 2 ....
ล้อของเครื่องบินที่ผมนั่งมาจากญี่ปุ่น เพิ่งหยุดหมุน กับความรู้สึกคุ้นๆว่า " พรุ่งนี้กรูต้องตื่นตี 5 ครึ่ง! " เอาล่ะ รอกระเป๋า ซอยเท้ากลับที่พัก และจัดกระเป๋าใหม่ เปลี่ยนคอสตูม จากยกระดับท้าความหนาว ก้าวมาสู่ชุดท้าความร้อนระดับรักแร้ชุ่มฉ่ำ พร้อมกับเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำแล้วเข้านอนน
ตี 5 ครึ่งงง .....
ตั้งปลุกไว้ 5 รอบมือถือดังแล้วดังอีก Snooze แล้ว snooze อีกกกก ... ตาก็ยังคงปิด
6 โมง 5 นาที .....
สะดุ้งงงเฮือก เหมือนมีคนเอาน้ำร้อนมาราด น้ำกรดมาสาด แล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู ... นี่กรูสายยยยแล้ววววว!!! โหว ชั่วโมงนั้นใช้ระบบวิ่งผ่านน้ำอัติโนมัติ แต่งตัวเก็บของ ยังไม่ทันเสร็จดี พี่คนขับรถ Airport ลิมูซีน ก็โทรมาพอดีว่า ถึงสักพักละจ้าาาา 5555
เป็นไงล่ะ แค่เริ่ม ชีวิตก็ไม่ธรรมดาละ มี Airport ลิมูซีน ... แต่จะมัววปลื้มปริ่มอยู่ไม่ได้ ต้องรีบลงไปเจอพี่เค้าด่วนน !!
ไม่นานเราก็มาถึงสนามบิน สุวรรณภูมิ ทางก็ให้ไปทานข้าวที่ S&P กันก่อน แล้วค่อยไปเชคอิน โดยทริปนี้ทุกคนบินไปกับการบินไทยลำนี้แหละครับ เอ้าได้เวลา ใจนี่เกินพร้อมมมม ก็เตรียมพาร่างที่ไม่ค่อยพร้อมขึ้นเครื่องงโลดจ้า 555
ตกใจเล็กน้อย กับเรื่องน้อยๆที่น่ารัก ทุกที่นั่งของพวกเรามีหมอนคนละใบวางอยู่ ตอนแรกก็นึกว่าให้ถือเป็นพรอพ เดี๋ยวเอาคืน แต่ไม่ใช่ พี่เค้าให้แบกกลับบ้านกันไปเลยยย
ว่าจะหลับแต่ก็หลับไม่ลง แต่จะโทษใครก็คงไม่ลง คงต้องปลงกับตัวเองนี่แหละ ก่อนขึ้นเครื่องซัดกาแฟไปแก้วนึงง ตอนนี้ร่างล้า แต่ตาแข็งโป๊กกกก
มาถึงก็มีรถตู้มารอรับที่สนามบิน จากนั้นรถทุกคัน ก็พาคนทุกคนไปสู่โรงแรมที่พักที่ SALA ภูเก็ต รีสอร์ทระดับ 6 ดาว ที่หากชีวิตธรรมดาของผม คงยากที่จะได้มาพัก แต่วันนี้อย่างที่บอกก มาแบบชีวิตเหนือระดับ ฮ่าๆ อ่ะตามมมา ๆ นี่เป็นบริเวณทางเดินไปสู่ห้องพักกก
มีร้านชอปปิ้งเสื้อผ้าา ยังกะร้านค้าแบรนด์เนมมม เก๋อ่า
แต่เรายังไม่ได้เข้าห้องพัก เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเชคอิน และมีมีตติ้งให้กับทางสื่อมวลชนที่บริเวณห้องอาหารของทางโรงแรมก่อนน ทุกอย่างถูกเตรียมไว้อย่างดี ตั้งแต่คนดูแล มาจนถึงสถานที่ และ ... น้องที่น่ารักคนนั้นนนน! #ไม่ใช่ละๆ 5555
หากใครหิว ก็มีของเบาๆให้กินรองท้องกันก่อนน แต่ผมอิ่มมากกก จึงงขอนั่งงชิลลๆ อยู่เฉยๆ ดีกว่าาา
เมื่อได้เวลา คาราวานนรถก็จรลีออกจากโรงแรม เพื่อที่จะเข้าไปในเขตตัวเมือง โดยครั้งนี้ผมรับหน้าที่เป็นผู้นั่ง เนื่องจาก ผมนั่งกับพี่ๆสื่อนิตยสารรถโดยตรงสองคน จึงให้ทางพี่เค้า Test ไปก่อนน เดี๋ยวผมยังมีเวลาอีกสองวันน แอบเอารถไปซิ่ง หาที่เที่ยววชิลๆ ดีกว่าาา ฮ่าๆ
นี่คือบรรยากาศภายในรถ ดีงาม กว้างขวาง นั่งหลังงคือสบายยมาก ตรงไหนรู้มั้ย ? ตรงที่เบาะหลังมันปรับเอนได้นี่แหละ! ชอบบบ เพิ่งเคยนั่งหลังแล้วนอนนสบายแบบนี้ ปรับอุณหภูมิแอร์แยกก็ได้นะ คือตอนนั้นด้วยสภาพร่างกับกาแฟที่กำลังจะสิ้นฤทธิ์ ... ตาผมก็เตรียมจะปิดดดไปในทันที และมันก็ปิดไปจริงๆ
รู้ตัวอีกที ก็มาถึงที่หมายยย ให้ตายเถอะ อยากจะนอนต่อ แต่ท้องก็หิวเหมือนกันน ... ขอต้อนรับสู่อาหารมื้อแรกของทริปที่ร้านน ข้าวกับตู้ เอ้ยยย ตู้กับข้าววว!!
ร้านนดูดีมากกก บรรยากาศเหมือนเป็นคนในวังกำลังเดินเข้ามารับประทานอาหารร
นั่งกันไม่นาน อาหารก็มาเสริฟ เริ่มจากออเดิร์ฟ ผักสดกับน้ำพริกระกำ รสชาติเข้มข้น ละมุนลิ้นนมากก ต่อด้วยยกุ้งงงและเมนูเด็ดของจังหวัดภูเก็ตและร้านนี้ นั่นคือ หมูฮ้อมม ซึ่งมันอร่อยจริงง ชอบบบบ จริงๆ มีอีกหลายเมนูแต่ผมถ่ายไม่ทัน พี่ๆโต๊ะผมกินกันเร็วมาก 555 มีทั้งหมี่หุ้นแกงปู ปลากระพงทอด และกุ้งผัสสตออีก สรุปว่าอิ่มมมแปล้
ข้างๆร้านก็มีมุมถ่ายรูปสวยๆ อยู่ สไตล์บ้านชิโนโปรตุกีสอันขึ้นชื่อของเมืองภูเก็ตเลย คือการมาภูเก็ตครั้งนี้มีอะไรมากกว่าที่คิดเพราะไม่ได้แค่มาทะเลอย่างเดียว แต่ทางทีมยังพาไปชมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มอบประสบการณ์ล้ำค่าให้แก่ผมกับพี่ๆ อีกหลายคน
เมื่อถ่ายภาพกันเสร็จ เราก็ย้ายถิ่นฐานไปทีฝั่งตรงข้ามที่โรงแรมออนออน ( On On hotel ) ซึ่งเราไม่ได้พักที่นี่ แต่ที่นี่มีความน่าสนใจบางอย่างรอเราอยู่ หนึ่งสองสาม ข้ามถนนได้
ป้ายต่อไป " ออน ออน " โรงแรมแห่งแรกกของจังหวัดภูเก็ตตต!
พอเข้ามาผมก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างและความเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมนี้ คือมันเก่าแบบมีสไตล์จริงๆ เพราะโรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่คงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมโบราณแบบชิโน-โปรตุเกสไว้อย่างลงตัว
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2472 ในยุครุ่งเรืองของการทำเหมืองแร่ดีบุก โรงแรมแห่งแรกของภูเก็ตหรือที่นี่ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยมีชื่อว่า “โรงแรม ออน ออน” ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางของการทำการค้าระหว่างประเทศ ทำให้โรงแรม ออน ออน มีโอกาสได้ต้อนรับทั้งพ่อค้าวาณิชย์ชาวจีน ปีนัง และนักเดินเรือจากยุโรปอยู่เป็นประจำชื่อ โดยชื่อโรงแรม ออน ออน มาจากคำว่า อัน อัน ในภาษาจีน ซึ่งหมายความว่า ความสุขของผู้มาเยือน
เดอะ เทรเชอรี่ วิลเลจ กรุ๊ป ได้เล็งเห็นถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของโรงแรม ออน ออน จึงได้เข้ามาบูรณะและปรับปรุงโรงแรม ออน ออน ใน พ.ศ.2555 วันนี้โรงแรมได้เปิดต้อนรับลูกค้าอีกครั้ง ภายใต้ชื่อใหม่ว่า เดอะ เมมโมรี่ แอท ออน ออน โฮเต็ลนั่นเองง
วันที่ผมไปนั้นก็มีการแสดงภาพเขียนที่มีคุณค่าในรูปแบบต่างๆ อีกด้วยย น่าสนใจมากครับ ที่นี่เค้าจะมีประกวดด ให้เราส่งภาพถ่ายเข้าไปได้ .... ว่าแต่เจ๊คนนนั้นเค้าจะอินไปมั้ยนะ ( จริงๆพี่เค้ายืนถ่ายรูปครับ มาด้วยกัน 555 )
จากนั้นก็มีผู้ใหญ่ของทางโรงแรมมาอธิบายความเป็นมาที่นี่ให้ฟังง แล้วก็ชักภาพหมู่เป็นที่ระลึก
นี่คือบรรยากาศด้านในครับ สงบและคลาสสิกมาก
จากนั้นพี่เค้าก็พาผมและชาวคณะขึ้นไปสำรวจชั้นบน เพื่อที่จะไปดูห้องต่างๆ ว่าน่าพักแค่ไหน ที่สำคัญมีไฮไลท์อยู่นะ เดี๋ยวรู้ๆ
ห้องแรกที่พาชมคือห้องนี้ครับ น่าอยู่มากกกก กำลังอิ่มพอดี นี่ถ้าไม่เกรงใจ จะทิ้งตัวลงไปกองอยู่ตรงนั้นเลย 555
แต่เชื่อว่าสาวๆ และสาวกหลายคน คงอยากทิ้งตัวลงที่ห้องนี้มากกกว่าาาาา ... เพราะะะะ
นี่คือห้องที่ลีโอนาโด ดิคราปริโอ หรือเฮียที่เพิ่งได้รางวัลออสการ์เคยมาพักกกกก !! เรียกได้ว่าได้รับความสนใจจากทุกคนมากกกก เพราะกระแสเฮียเค้ากำลังดี เนื่องจากเพิ่งได้ออสก้ามาหมาดดๆ
และเพื่อเป็นการยืนยัน น้องคนสวยยจึงโชว์รูปเป็นหลักฐานตอกย้ำความใทรงจำให้ชัดเจน
หลังจากชมโรงแรมแห่งแรกในภูเก็ตเรียบร้อย ชาวคณะก็เดินทางมาถึงสถานีถัดไป เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักที่นี่ดี
" บ้านชินประชา "
บ้านนนี้เป็นบ้านหลังแรกของภูเก็ตที่สร้างขึ้นตามแบบ “สถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีส” หรือที่เรียกกันว่า “อังม่อเหลา” ซึ่งปัจจุบันลูกหลานพระพิทักษ์ชินประชาผู้สร้างบ้านหลังนี้(ตระกูลตัณฑวณิช) ได้อนุรักษ์ตัวบ้านและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆไว้เป็นอย่างดี และเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อให้ได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนภูเก็ตในอดีต อายุของบ้านหลังนี้ยาวนานกว่า 100 ปี ของภายในบ้านยังคงรักษาไว้เป็นอย่างดี
ที่นี่อาจจะไม่ได้มีความสวยงามอลังการเลิศหรูมะแนแตน แต่แฝงไปด้วยคุณค่าของเรื่องราวต่างๆในอดีต
และทางผมและทีมงานได้รับเกียรติจากทายาทรุ่นที่ 6 ของบ้านชินประชา ที่จะนำพาเราไปชมบ้านกัน
เข้ามาถึง แล้วซ้ายหันหนึ่งตลบก็จะพบกับโต๊ะทานข้าวจากปีนังทันที ทุกอย่างยังคงเดิม ในอดีตเป็นยังไง เวลาผ่านไปก็ยังเป็นเช่นนั้น
พอเดินเข้ามายังตัวบ้าน ส่วนกลางบ้านจะเปิดโล่ง เราเรียกว่า “ฉิ่มแจ้” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านคนภูเก็ตสมัยก่อนที่จะมีแบบนี้แทบทุกบ้าน จริงๆผมชอบนะ รู้สึกพอเราเข้ามาแล้วมันสดชื่นดี อากาศก็จะไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป
ข้าวของเครื่องใช้ในยุคโบราณต่างๆ ยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
ลอดช่อง แล้วมองขึ้นฟ้า ... ตรงนี้ดูมีสเน่ห์ดีเหมือนกัน หน้าต่างๆทุกบานที่กำลังเปิดอยู่ สามารถได้รับแสงและอากาศโดยตรงจากภายนอกได้ ผ่านช่องนี้ ถึงแม้อากาศข้างนอกจะร้อนล่อนจ้อนแค่ไหน แต่ภายในตัวบ้านยังคงไว้ซึ่งความสบาย คือไม่ได้เย็นน แต่ก็ไม่อบอ้าวเหมือนข้างนอก
ตอนนี้ทางคุณหญิงก็เล่าให้ฟังถึงประวัติความเป็นมาของแร่ดีบุกในสมัยนั้น ที่หาได้ยากในสมัยนี้ ว่าซื้อมาได้ในในราคาถูกมากกกก และมีคุณค่ามาก ยังเก็บรักษามาจนถึงทุกวันนี้
จากนั้นเราก็มาดูห้องนอนที่มีเตียงนอนโบราณอายุกว่า 100 ปี กันต่ออ
และในส่วนของหัวเตียงนั้น จะมีมุขฝังอยู่ด้วยนะครับ ไม่ธรรมดา
เราเดินกันมาจนถึงครัวซึ่งเป็นรูปแบบของครัวสำหรับชาวภูเก็ตในอดีต
ออกมาก็โดนให้ขึ้นไปใส่ชุดโบราณด้านหน้า 555
จริงๆ ใครมาก็ไม่ควรพลาดที่จะใส่ชุดโบราณที่เรียกว่าเป็น การแต่งกายแบบบาบ๋า ย่าหยา นะ เพราะนี่คือรวมอยู่ในค่าเข้าแล้ว แถมมีเกี้ยว มีหมวกเป็นพรอพอีกด้วย คิดดูแล้วกันว่าในหนึ่งชีวิต เราคงไม่ได้หาโอกาสใส่มันง่ายๆ
เอาล่ะ จากนั้นก็กลับมาที่โรงแรมออนออนอีกครั้ง เพื่อมาร่วมพิธีจิบชายามบ่ายที่นี่
ที่โต๊ะจะมีของกินเล่นหลายอย่าง ก่อนจะได้จิบชากัน
ก่อนจะจิบชา ผมก็ขอดื่มชาเย็นๆ สักแก้ว อันนี้เรียกว่าเชล้อง หรือจริงๆ ก็คือชาเย็นนนนสไตล์เมืองเก่าภูเก็ตนี่แหละ อร่อยยครับ คอนเฟิร์มมม
และเมื่อถึงเวลา ก็จะมีพิธีชงชา โดยพี่พิธีกรชุดดำ กับสาวชงชาชุดขาวว ค่อยๆบรรเลงเพลงชาอยู่ตรงนั้นนน อย่างละเมียดละไม และละมุนน .... แต่ไม่มีละมุดให้กินนน (เกี่ยวไหมเมิง)
ชาที่นี่หอมจริงๆ จิบจริงๆ อยากจะขอเพิ่มแต่ก็เกรงใจ
จากนั้นก็ได้เวลากลับที่พัก ด้วยรถที่เรามากัน คราวนี้ผมย้ายมานั่งด้านหน้าบ้าง แบทมือถือก็กำลังจะหมด สายชาร์จก็ไม่ได้เอามา แต่รุ่นนี้ดีงามตรงที่มีระบบ Wireless charger นี่แหละ ไม่ต้องใช้สายชาร์จก็ชาร์จได้ แค่เอามือถือที่เพิ่งตกจนจอร้าวจากญี่ปุ่นไปวางตรงนั้น ก็ได้แล้ววว 555 จากนั้นก็เลทสะโก!
จากตัวเมือง เรากลับไปที่โรงแรมฐานที่มั่น " SALA Phuket " อีกครั้ง ตอนเช้ายังไม่ได้เข้าห้องเลยย คราวนี้จะได้เข้าห้องพักแล้วว อยากกกจะเก็บของ ทิ้งตัวววมากกก อีกใจก็อยากเห็นห้อง ว่าสถานที่ที่ผมต้องอยู่คนเดียว เปลี่ยวเปล่าถึงสองคืนน มันหน้าตาเป็นยังไง
งวดนี้เลขท้ายสองตัวของผมออก 50 ... มาอยู่หน้าห้องละ ทำไมมันใหญ่แบบนี้ !
เปิดประตูเข้ามา ก็หลงรักตั้งแต่แรกเห็นนน สวยยยยยย เสียอย่างเดียว ไอตรงที่มาคนเดียวนี่แหละ การใช้ชีวิตอยู่ในห้องแบบนี้คนเดียวมันก็เหงาไม่ธรรมดาเลยนะ
สระว่ายน้ำกว้างมากกก และที่สำคัญห้องพักที่นี่เค้ายกห้องน้ำทุกอย่างมาไว้ข้างนอกกครับ มองตรงไปนั่นคือกระจกและโซนแต่งตัวว
นี่คือห้องอาบน้ำที่จะทำให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ .... มันสดชื่นจริงๆ นะ ที่สำคัญคือห้องส้วมอยู่ทางด้านซ้ายมือ เมื่อเราไปนั่งแล้วปล่อยทุกข์ในยามค่ำคืน เราจะกลืนเป็นส่วนหนึ่งของหมู่ดาว ... อะไรจะสุนทรีย์ขนาดนี้
กับคนอื่นผมไม่รู้นะ แต่ส่วนตัวผมโคตรชอบบบบ ลองงทำแบบด้านบนมาแล้วว กลางดึก ดาวเต็มฟ้าาาาเลยยยย 5555
มาดูห้องนอนกันบ้าง กว้างขวางบานตะไท และมีหมอนไม่น้อยกว่าสิบใบ ท้าให้นับบบ!
เตียงนอนที่นี่สบายครับ เป็นห้องนอนที่มีความพร้อมที่โรงแรมระดับท็อปควรจะมี ฟินมากกก
เก็บของ กระโดดทิ้งตัวลงบนที่นอนได้ 20 นาทีผมก็ออกมาเดินเล่นด้านริมทะเลดูบ้างงง นี่คือบรรยากาศสระว่ายน้ำกับห้องทานอาหาร
โต๊ะกินข้าวสุดสวีทจี๊ดหัวใจ หากอยากจะขอใครเป็นแฟนให้ควงแขนมาที่นี่ หรือหากอยากจะขอใครแต่งงานก็มานั่งทานข้าวกันตรงนี้ แล้วค่อยยๆ คุกเข่าลงบนพื้นทราย จากนั้นก็เอามือขวาไปสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ ..... เขียนอยู่ดีๆ ก็เพ้อซะอย่างนั้นนน
จากภาพพพ ...
พี่ตากล้อง : น้องๆ ไปยืนเป็นแบบหน่อย
ผม : เอาท่าไหนดีพี่
พี่ตากล้อง : เอาที่คิดว่าดีที่สุดอะ จะไปลงหนังสือ
ผม : เอาจริงหรอพี่ ไม่ไหวมั้ง
พี่ตากล้อง : ไปลงสันปกขอบล่าง เซนเซอร์หน้า เอาแต่รถ .....
เอ่อ เอาที่พี่สบายใจครับ ขอบคุณที่ไม่ให้ผมหันหลังนะ ซึ่งจริงๆหันหลังน่าจะดีที่สุด 555555
นี่เป็นหาดของทางโรงแรม ซึ่งตรงนี้เป้นส่วนหนึ่งของหาดไม้ขาวนั่นเองงง บรรยากาศดีมาก
และในที่สุดก็ได้เวลากินนนนนนน !!!
ปรับโหมดกินให้อิ่มมม แล้วเตรียมนอนกลิ้งงงยาวๆ
โดยอาหารวันนี้หลากหลายมาก เป็นบุฟเฟ่ต์ มีทั้งของคาว ของทอด อาหารทะเล และขนมหวานแบบไทย กินกันให้ไส้ทะลักกก อิ่มมมกันไปข้างงนึงเลยยยยย
ระหว่างทานอาหารก้มีน้องๆ มารำไทยให้ดูกันเพลินนๆ .... หลังจากอิ่มท้อง และอิ่มน้องๆ ที่ร่ายลำกันอย่างสวยงาม ก็ได้เวลาตามใจตัวเองไปเข้านอนเสียที
พอเข้ามาเจอบริเวณสระว่ายน้ำที่ห้องนอนเปิดไฟ ก็เลยจัดการโดดลงไปสักหนึ่งที ก่อนจะขึ้นมาอาบน้ำและเข้านอนไปตามสภาพ .... คร่อกกกก!
__________________________________________________
Day 2
ตื่นเช้ามาอาบน้ำท่ามกลางธรรมชาติ และแสงอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์ สดชื่นนมากกก
ได้เวลาอาหารเช้าาา นี่คือบรรยากาศสบายๆ ในห้องทานอาหารครับ
เค้กหน้ากินหลายอย่างงเลยย
แต่อาหารเช้าที่นี่ ไม่ใช่ให้เราไปตักแบบบุฟเฟ่ต์ แต่เค้าจะมีเมนูให้สั่งได้คนละสองอย่างงง แล้วทำมาให้สดๆ อย่างแรกที่ผมสั่งคือ โจ๊กไก่ ซึ่งเครื่องเคียงถูกแยกเอาไว้ พอใส่ลงไปมันจะพอดีมาก อร่อยยยแบบคาดไม่ถึงครับ โจ๊กรสกลมกล่อม กับไก่เนื้อนุ่มชิ้นกำลังดี
จานต่อไปคือ Sala breakfast สาเหตุที่ผมสั่งก็เพราะว่าถ้าสั่งจานนี้ จะได้ขนมหวานนด้วยย นี่ก็อร่อยดีครับ
ในส่วนของขนมหวาน ผมเลือกแพนเค้กมะม่วงงง นี่ก็ไม่ธรรมดา เด็ดตรงวิปครีมอันนุ่มและหอมมากนี่แหละ ชอบบบบบ
สำหรับกิจกรรมในวันนี้ เราจะไปล่องเรือสุดหรูที่ทางทีมงานเค้าเตรียมไว้กัน ตามมาเลยยย !!
จุดขึ้นเรือจะอยู่ที่ ท่าจอดเรือยอชอ่าวปอแกรนด์มาริน่า จุดนี้กำลังเดินตากแดดไปท่าเรือกัน ร่มคนละใบ กับหัวใจที่รักทะเลกำลังมุ่งหน้าไปหาเป้าหมาย
แดดดวันนี้ไม่ธรรมดา หากจำไม่ผิด อากาศราวๆ เกือบ 40 องศาาาา มันร้อนโคตร แต่ก็ดีกว่าฝนตกฟ้าหม่นนแน่อนนนน
ถึงเรือแล้ววววว นี่คือเรือของทางโตโยต้านามว่า Ocean Emerald ที่มีมูลค่ากว่า 450 ล้านบาทททท !! พระเจ้าช่วยทองม้วนนิ่มม!! อะไรมันจะแพงระยิบระยิบขนาดนี้... แต่ก่อนอื่นขอถ่ายรูปกับน้องเต้ยจรินพร เอ้ยย น้อง MC เป็นที่ระลึกหน่อยนะครัชช
จากนั้นก็มารวมพลถ่ายรูปหมู่ก่อนจะขึ้นไปฟินบนเรือออกันนน
ทีมงานดูแลดีมาก ทุกฝีก้าว ตั้งแต่ก้าวแรกกกที่ขึ้นเรือกันเลยทีเดียววว
โดยเรือจะมี 4 ชั้นนนน ชั้นล่างสุดจะเป็นห้องนอน ชั้นบนต่อมาอีกสองชั้น จะเป็นบริเวณห้องนั่งเล่นสุดสบายยย และด้านนอกก็จะเป็น Zone outdoor ให้เรานั่งชิลไปกับสายลมและแสงแดด
บรรยากาศอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ เมื่อไรก็ตามที่โอกาสแห่งความทรงจำดีๆ ได้วิ่งปรี่เข้ามาหาเรา ก็จงคว้าเอาไว้ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะมีมาอีกไหม
ตรงนี้ก็จะมีเป็น Zone ของกินเล่น ผลไม้ และเครื่องดื่มต่างๆ
ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นดาดฟ้า มีคอกเทลบา รวมไปถึง Zone ชมวิวและชิลเอ้าท์อีกด้วย ที่พีคอีกอย่างคือด้านหน้าของเรือจะมีอ่างจากุชชี่ให้ลงไปแช่น้ำได้แบบฟินๆ เอาให้ความสุขทะลุมิติไปเลยยยย !
อากาศร้อนๆ แบบนี้ ความกระหายย่อมมาเยือนนน ไม่นานนักทางทีมก็เอาน้ำมมะพร้าวมาป้อนนนนน ลงตัวมาก น้ำมะพร้าว กับน้ำทะเล อร่อยยยลื้มมมม
จุดด้านหน้าของเรือนี่ถือว่าเป็นจุดถ่ายรูปที่พีคสุด มีนางแบบนายแบบมากหน้าหลายตาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาเฉิดฉายบนนี้อย่างต่อเนื่องงง 555
บริเวณรอบๆ เรือก็ยังมีเรือเล็กคอยดูแลอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ อีกด้วย อบอุ่นและปลอดภัย สบายใจหายห่วงง
เหล่าบาร์เทนเดอร์ที่มาคอย Mix เครื่องดื่ม Non alcohol ให้กับทุกคนน
พอหันออกไปมองทะเล ถึงแม้จะร้อน ถึงแม้จะไหม้ แต่ความสุขสดใสก็ไม่เคยจางหายไป มันยังละมุนอยู่ข้างในทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับทะเล ....
ร้อนกับซับ เหนื่อยก็นั่งพัก ไม่นานก็มีมอคเทลมาเติมความสดชื่นให้อีกด้วย คือผมก็แปลกก ร้อนนนมากนะ แต่ก็ไม่ยอมไปนั่งข้างใน ถึงแม้มันจะสบายกว่า แต่มาถึงทะเล ก็ต้องได้ฟีลลิ่งและดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัวให้มากที่สุด ดำก็กลัว แต่กลัวไม่สุด!
ดับร้อนกันให้ฉ่ำปอดดด มอคเทลหมด แล้วมาซดไอศครีมเย็นๆ กันนนต่ออ !
ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี ระหว่างทางกลางรีวิวสักครั้งง วิวสวยยยมากกก เรือก็โคตระสวยยย
ทะเล ... คือสถานที่ที่ไม่เคยเกเรต่อความสุข
ทุกครั้งที่ได้เห็นคลื่นซัดไปที่ชายฝั่ง
หรือทุกครั้งที่ได้ฟังเสียงของมัน
เหมือนกับว่ามันกำลังส่งพลังงานบางอย่างมาถึงเรา
พลังที่ทำให้เราคิดในเรื่องที่อยากคิด
พลังแห่งความสงบ พลังที่ถึงแม้จะไม่ได้ฟังแต่ก็ยังได้ยิน
ซึ่งมันได้ทำให้เรามีอารมณ์เป็นบวกเสมอ
อาจจะไม่ต้องสุขถึงขั้นยิ้มจนปากฉีก
แต่ก็จะฉีกยิ้มได้อย่างไม่ยาก โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก
แค่ได้มองอยู่ห่างๆ แค่ได้สัมผัสเพียงนิดหน่อย
แค่ได้ปล่อยหัวใจลอยไปกับน้ำทะเล
หรือแค่รับรู้ว่าเราอยู่ตรงนั้น นั่นก็เพียงพอแล้ว
เมื่อหลายปีก่อน ผมเฉยๆกับทะเลมาก แต่พอได้มาบ่อยๆ ผมรู้สึกเข้าถึงมันมากขึ้น เหมือนเราได้รู้จักใครสักคนมากขึ้น และตกหลุมรักเค้าในที่สุด นี่สินะ ที่เค้าเรียกว่า " ทะเลบำบัด "
และเมื่อถึงเวลา การทำ " กระเพาะบำบัด " ก็จำเป็นเช่นกัน เที่ยงแล้วววว !! โดยอาหารเที่ยงนี้มีให้เลือกสองอย่าง หรือถ้าไม่อิ่มก็เบิ้ลลลซะ จานแรกคือสปาเกตตี้ซีฟู้ดดด รสกลมกล่อมมมมหอมเครื่องงง
อีกจานคือข้าวอบสัปปะรด อันนี้ไม่ได้ลอง เอาของชาวบ้านมาถ่ายยยย 555 แต่พี่เค้าบอกอร่อยยยยย
ไม่นานหลังจากอิ่มท้อง เรือยอชลำหรูก็ปล่อยคนที่อยากจะไปเก็บบรรยากาศชายหาดไปที่ฝั่งงงงที่เกาะตรงนั้นน ขอต้อนรับเข้าสู่ ....
" เกาะนาคาใหญ่ "
โดยจะมีเรือลำเล็กมารับเราเข้าฝั่ง ส่วนเรือลำใหญ่จะจอดได้อยู่ไกลๆ
ถึงชายหาดแล้วววววว !!! ร้อนสุดๆ แต่สุขมากกว่า สดชื่นมากกก ที่นี่หาดกว้างมากครับ น้ำทะเลก็อาจจะไม่เนี้ยบเหมือนละแวกสิมิลัน แต่ก็ถือว่าโอเค แค่ได้สัมผัสผืนทราย ก็สบายหัวใจ
และก็ไม่ลืมที่จะชักภาพเป็นที่ระลึกกก ให้รู้ว่ามาถึงแล้ววว พอมาเห็นรูปตัวเอง ก็แอบตกใจเบาๆ .... นี่กรูดำมาถึงจุดนี้ได้ยังไงกันนนเนี่ยยย !! คงสั่งสมมาหลายทริป Sunblock ก็ไม่เคยทาาาา ไหม้สิคับบบ !
หาดที่นี่ ดูเผินๆแล้วละม้ายคล้ายกับหาดตาชัยพอสมควร จะต่างกันก็ตรงที่่ทรายไม่ขาวเท่า และน้ำทะเลไม่ใสเท่า ดูสิขนาดชิงช้าาที่นี่ก้มีเหมือนกัน หากมีปูไก่สัญลักษณ์ของเกาะตาชัยเดินออกมาขันนี่ตกใจเลยนะ 555
ผมเดินไปเรื่อยๆ หายใจลงพื้นแล้วพ่นลมขึ้นฟ้า จนมาถึงที่สุดขอบชายหาดอีกฝั่ง ตรงนี้จะมีหินเปน Foreground สวยๆ รวมไปถึงน้ำทะเลที่ใสกว่าตรงกลางหาดเล็กน้อย มีพื้นที่ร่มๆ ให้นั่งปล่อยใจ และชิลไปกับน้ำทะเลพร้อมๆกับเสียงคลื่น ...
สดชื่นเนอะ .. ว่ามั้ยยย ? ^^
มองออกไปก็เห็นเรือลำหรูยืนเท่ห์อยู่กลางทะเล คิดเหมือนผมมั้ยครับ ว่าพอเห็นรูปทรงของเรือลำนี้ แล้วมันทำให้เรานึกถึงความหรูหรา
ทะเลเป็นสิ่งไม่มีชีวิตที่แปลก .. แค่เรานั่งมองมัน อารมณ์ก็เปลี่ยนได้ แค่เราเข้าใกล้มัน เราก็ยิ้มได้
เมื่อถึงเวลานัดหมาย เรือเร็วลำน้อย ก็มารอคอยเราอยู่ที่หาด เช่นเดียวกับที่แม่นาค ที่รอพี่นาคอยู่ที่ท่าน้ำทุกวัน ... บรึ๋ยยยยย
พอขึ้นเรือมา ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ได้ชมห้องนอนของเรือลำนี้เลย ขอไปเห็นเป็นบุญตาซะหน่อยเถอะ ระหว่างทางเดินไปก็ผ่านห้องฟิตเนสเกร๋ๆ ออกกำลังกายไป แลขวาก็ดูน้ำทะเลไป อะไรมันจะฟินขนาดนี้คร้าบบบ
ด้านล่างจะมีห้องนอนเล็กแบบนี้สองห้องงนอนนนติดกันน ... ครับ ฟังไม่ผิด นี่คือห้องนอนเล็กก เดี๋ยวเราจะขึ้นไปดูห้องนอนสุดหรูของเรือลำนี้
นี่แหละห้องนอนนนหลักของเรืออ สุดดดดมากก น่านอนโคตร พื้นปูพรมอย่างดี มีทีวีจอยักษ์ เตียงนุ่มสบาย หรูหรามีระดับจริงๆ ... ขออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนแล้วได้มั้ยครับบ ? 5555
ห้องน้ำก็กว้างมากกก มีทั้งชักโครก และอ่างล้างเท้าให้ด้วย
สักพักกกเรือก็แล่นมาถึงฝั่งงงงที่อ่าวปอที่เดิมที่เราขึ้น ... ตอนนี้ก็เป็นเวลาลงของเรา อ่ะลงได้!
ระหว่างทางก็เจอแมงกระพรุนตัวเบ้อเริ่มมมเลยยย !! เกิดมาเพิ่งเคยเห้นตัวเป็นๆ ผิดกับที่คิดไว้มากกก ของแปลกยามเย็นนน ยังกะนายแบบ มีตากล้องมารัวชัตเตอร์เพียบบบ
เมื่อถึงโรงแรมผมและพี่อีกคนขออาสาไปเก็บภาพเครื่องบินแลนดิ้งที่หาดไม้ขาวกันสักกหน่อยย เห็นภาพในอินเตอร์เนทที่เครื่องบินลำโตๆ บินเลียบกับชายหาดก่อนแลนดิ้งสู่สนามบิน พร้อมกับมีภาพคนทำท่าฟินๆถ่ายรูปกันอย่างสวยงาม ด้วยความที่มันใกล้ขนาดนี้ จะให้พลาดได้ยังไง ไปสิครับ !!
การเดินทางไปก็ง่ายมากครับ ไปให้ถึง Centara grand หาดไม้ขาว แล้วข้างๆ โรงแรมจะมีทางเข้าอยู่ ก็ตรงเข้าไปเลยย มีที่จอดรถพอสมควร จากที่พักผมไม่ไกล ก็มาถึงงงงแล้วว " หาดไม้ขาววว "
GPS : 8.113600, 98.302421
จากจุดจอดรถเดินเข้าไปไม่ไกลก็จะถึงบริเวณชายหาดซึ่งแทรกกลางระหว่างน้ำทะเลกับรันเวย์ของสนามบินภูเก็ต แนะนำว่าก่อนมาควรจะเช็ครอบบินจาก แอพ Flightradar24 จะมีเครื่องบินลงจอดในช่วงเวลานั้นหรือไม่ จะได้ไม่ไปเสียเที่ยว ... เพราะวันที่ผมไป คือไปแบบฉุกละหุก ไม่ได้เช็คมาก่อน ส่วนจะเสียเที่ยวมั้ยยย ตามมดูครับ !
เอาล่ะ มาถึงกันแบบงงๆ ว่าเครื่องบินจะมาเมื่อไหร่ สายตาก็ชะเง้อไปที่สนามบินบ้าง ทางฝั่งทะเลบ้าง เพราะภาพที่ต้องการคือภาพเครื่องบินที่บินมาจากทะเลเพื่อที่จะลงจอดที่รันเวย์สนามบิน หรือ " Landing " นั่นเองง มีคนมารอชมเยอะพอสมควร
หลังจากชะเง้อดูสนามบินก็เหลือบไปเห็นหางสีแดง เป็นของเจ้าไหนเดาได้ไม่ยาก กำลังออกตัว เท่านั้นแหละ หามุมแทบไม่ทัน ล่กมากกก และบินไปเร็วม้ากกก เก็บได้แค่ภาพจากไกลๆ จะถ่ายอีกที ก็หนีไปไกลซะแล้ว
กำลังรออยู่เหมือนกันสินะ ...
เป็นภาพที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ยามที่มีแววว่าเครื่องบินจะขึ้นหรือลง ก็จะมีคนไปยืนแอคท่าเท่ห์ๆ กันตามจุดต่างๆ เห้ยๆๆ มาอีกลำแล้วๆๆๆๆ
โอ้วววว ทันนนนนนนน !! แต่มันเป้นการบินขึ้นอีกแล้ววว เมื่อไหร่จะมีบินลงมาจอดเสียทีนะ ... น้องคนนี้แอคติ้งได้อินไปถึงสีหน้ามากก ประหนึ่งว่าเป็นหนุ่มแจ็คจากเรื่องไททานิค หากข้างหลังมีสาวมายืนชูแขนเป้นโรสอีกคน นี่น่าจะเป็นรูปที่เพอร์เฟคค 55
ช่วงที่ไม่มีเครื่องบน ก็ฟินไปกับหาดทรายและน้ำทะเล รอเวลากันต่อไป มาแบบไม่มีแผน มันก็ลุ้นดีเหมือนกัน ต้องพยายามฟังเสียงจากฟากฟ้าหรือเสียงจากสนามบินตลอด
หนึ่งมุม I สองลำ I กับเราสามคน .... รวมคนถ่ายด้วยก็เป็นเราสี่คน ^^
ความพยายามในการรอเครื่องบิน landing ของเรา ก็หมดไปพร้อมๆกับแสงตะวัน ซึ่งเป้นความสว่างสุดท้ายของวัน ภารกิจวันนี้อาจจะไม่สุด แต่อย่างน้อยการได้มาเห็นสถานที่ใหม่ๆ อะไรใหม่ๆ ล้วนแล้วแต่คือความสุข
ระหว่างกำลังจะกลับ ก็มีเครื่องบินออกจากสนามบินไปอีกลำ ถ่ายไม่ทันน พอหันมาอีกที หยิบกล้อง กดชัตเตอร์ ก็บินนไปไกลแล้ว ... ได้วลาที่เราต้องกลับโรงแรมเช่นกัน
เย็นนี้มี Dinner ให้กับทุกคนอย่างอบอุ่น นั่นเป้นอีกเหตุผลนึงที่ผมกับพี่อีกคนรีบกลับมา
เรากลับมากันช้ากว่าชาวบ้านเค้าพอสมควร จนไม่ทันถ่ายรูปหมู่ 555 งานเลี้ยงเพิ่งเริ่ม บรรยากาศอบอุ่นและน่ารักมากครับ จัดภายในห้องอาหารของโรงแรม มีแต่พวกเรา ของกินมีทั้งซีฟู้ดย่าง อาหารไทย ส้มตำ และอีกหลายอย่างง มากกว่านั้น ยังมีการเชิญสองนักร้องจาก The voice น้องหนอยแน่ กับ คุณแบงค์มาขับกล่อมเสียงเพลงเพราะๆ อีกด้วย ฟินมากก เป็นคู่ที่ร้องสดได้เนียนนนสุดๆ ....
หลับฝันดีกันเลยทีเดียว ได้ฟังเสียงเพลงดีๆก่อนเข้านอน
_____________________________________________
Day 3
เช้าวันนี้เราตื่นกันแต่เช้า เพราะทีมงานสื่อมวลชนทุกคนจะไปสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ของจังหวัดพังงากัน ที่นี่ค่อจุดชมวิวที่สวยไม่ใช่เล่นนเลยครับ ตามมาๆ !
แต่ก่อนอื่นๆ อาหารเช้าคือเรื่องสำคัญ นอกจะจะให้พลังงานและฟรีแล้ว มันยังอร่อยยยอีกด้วยยย ไม่พลาดดด จัดไป Sala breakfast กับ Waffles รสดี
และในที่สุดผมก็ได้ลองขับเสียที จริงๆ เมื่อวานลองไปรอบนึง แต่ระยะทางมันสั้น เลยยังไม่ได้่ลองฟังชั่นนต่างๆ จนวันนี้ที่ผมต้องขับไปสถานที่ท่องเที่ยวใหม่แห่งจังหวัดพังงาา
" จุดชมวิวเสม็ดนางชี " ที่ต้องใช้เวลากว่าา 45 นาที และทางมีหลายรูปแบบ ทำให้ได้ลองสมรรถนะอย่างเต็มที่ เอาล่ะ เมื่อทุกคนพร้อมเราก็ออกเดินทางกันเลยยย !
การเดินทาง
จากสนามบินภูเก็ต ใช้เส้นทางที่จะเดินทางสู่จังหวัดพังงาระยะทางราว 35 กม. จะถึงตำบลท่าอยู่ สังเกตจะมีสะพานลอยคนข้าม ให้ชิดขวาเพื่อกลับรถที่จุดกลับรถถัดไป จากนั้นขับย้อนมาเลยสะพานลอยนิดเดียวจะมีซอยด้านซ้ายมือเขียนว่าทางไป “ท่าเรือบ้านหินร่ม” ใช้ถนนนี้ขับไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางหลักราว 13.5 กม. ก็จะเห็นที่จอดรถบริเวณทางขึ้น “จุดชมวิวเสม็ดนางชี” อยู่ทางขวามือ จากที่จอดรถเดินขึ้นเนินไปอีกราว 300 เมตรก็จะถึงจุดชมวิวครับ
พิกัดของปากซอยเข้าจุดชมวิวคือ 8.281244, 98.371559
พิกัดของที่จอดรถทางขึ้นจุดชมวิวคือ 8.240564,98.449013
สักพักเราก็มาถึงที่ทางขึ้นจุดชมวิววเสม็ดนางชี ที่เพิ่งจะเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนกุมภานี่เองงง
ช่วงนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะมาก ร้านค้าการค้าต่างๆจึงเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะชาวบ้านแถบนี้จะได้มีที่ทำมาหากินเพิ่มขึ้นน รายได้จะได้กระจายเข้าสู่ชุมชน ... ว่าแต่รู้มั้ยครับว่า " เสม็ดนางชี " ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมาา
ไม่ได้มีแม่ชีมาจากเกาะเสม็ด หรือไม่ได้มีแม่ชีที่ชื่อเสม็ด และเกาะเสม็ดก็ไม่มีแม่ชี แต่ชื่อนี้มาจากคำว่า เหม็ด ภาษาใต้แปลว่า เหม็ดผ้า เหมือนกับการยกผ้าขึ้น แล้วเมื่อก่อนคลองตรงนั้นจะมีน้ำขึ้นน้ำลงบ่อย และมีพระกับแม่ชีเดินผ่าน ซึ่งถ้าเดินโดยที่ไม่เหม็ดผ้า ก็จะเปียก ตอนแรกก็เรียกเหม็ดนางชี แต่ไม่รู้ไปมายังไง เลยกลายมาเป็น " เสม็ดนางชี " ผมเดาว่าคงเป้นเรื่องของการง่ายต่อการจำ และพอออกเสียงมันดูดีกว่าา เดานะ ฮ่าๆ
จากด้านล่างเราต้องเดินขึ้นเนินกันไปนิดหน่อย ชันเหมือนกัน ราวๆ 10 - 15 นาที เพื่อไปที่จุดชมวิววด้านบนนน
แต่ก่อนขึ้นจะต้องซื้อตั๋วกันก่อนน ราคาก็ไม่ได้แพงเลย หากเทียบกับสิ่งที่เราจะได้เห็น เพียง 30 บาทเท่านั้น เป็นการช่วยชาวบ้านแถบนี้ได้อีกด้วย
ค่าธรรมเนียมการเข้าชมของที่นี่ครับ คนไทย 30 บาท ต่างชาติ 50 บาท เด็กเล็กฟรี ค่าเช่าเต็นท์พร้อมอาหารเช้า 400 บาทต่อหลัง (นอนได้ 2 คน) ค่าเช่าพื้นที่กางเต็นท์ 100 บาท
ทางเดินขึ้นมาจะเป็นลักษณะนี้ครับ ขึ้นมานิดเดียว ก็เริ่มมมองเห้นวิวหลักกล้านแล้วววว !!!
ถึงแล้ววววว จุดชมวิวที่ 1 !! สวยยยอ่าาาาา นี่ถ้าหากมาทันพระอาทิตย์ขึ้น แสงและความงดงามมันจะสวยกว่านี้อีกหลายขุมม จากจุดชมวิวนี้จะสามารถเห้นความงดงามของอ่าวพังงา และเขาหินปูนได้จากมุมสูงกำลังดี และมันไม่ต้องปีนป่ายมากมายจนเกินไป
บริเวณลานกลางเต๊น ซึ่งตอนกลางคืนหากวันไหนฟ้าเปิดฤกดี ก้จะได้เห็นทางช้างเผือกกันด้วย จริงๆ การจะมาให้ฟินที่นี่ควรจะมาค้างคืนดูดาว แล้วเก้บแสงเช้าสวยๆ จะดีงามมาก เสียดายที่เวลาของผมมีไม่มาก เนื่องจากต้องกลับไปเช็คเอ้าท์
แต่แค่ได้มาก็คุ้มแล้วครับ วิวสวยจริงๆ ติดอยู่อย่างเดียวคือหากอากาศเย็นๆ มันจะพีคกว่านี้มากกก จุดนี้ร้อนนโคตร!
ขอส่งไม้ต่อให้ภาพถ่ายได้ทำหน้าที่เล่าเรื่องราวด้วยตัววมันเองบ้างงง
เมื่อฟินจนได้ที่ ก็ขอขึ้นไปดูจุดชมวิวที่ 2 กันต่ออ ไหนๆ ก็มาแล้ว ต้องไปให้สุดดด ! จุดนี้วิวจะคล้ายๆกัน แต่ผมว่าถ่ายรูปได้สวยกว่าข้างล่างนิดนึงง แถมมีเก้าอี้สีเปรี้ยวให้เป็นพรอพอีกด้วย 555
ฟินจนได้ที่ ก็เตรียมย้ายที่กลับที่พัก ! ไปเชคเอ้า แล้วเตรียมเก็บกระเป๋าที่ไม่มีปลาเก๋ากลับบ้าน!
ขากลับผมยังรับหน้าที่พลขับเหมือนเดิม เพราะทั้งรถมีแต่สื่อผู้หญิงที่ขาล้ากันหมดดด หลังเดินขึ้นไปชมวิว 555
พอมาถึงโรงแรมก็ไปเก็บของ จากนั้นก็เดินทางสู่สนามบินกันโดยสวัสดิภาพ !