"ม่อนจอง" ไปแล้วคุณจะหลงรัก
ทุกครั้งที่ญิ๋งยิ้มได้ออกเดินทาง เรามักจะบอกกับตัวเองเสมอว่า อย่าคาดหวังกับธรรมชาติมากนัก สิ่งไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ทุกเวลา วันนี้เราเจออะไร สิ่งนั้นแหละคือของขวัญที่ธรรมชาติให้เรา ดั่งคำพูดที่ว่า "จุดหมายปลายทาง อาจจะไม่สำคัญไปกว่าความงดงามระหว่างทาง"
เห็นนักเดินทางหลายกลุ่มได้ไปสัมผัสบรรยากาศที่นี่กันมาหลายปี และทุกปีที่นี่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ ที่นักเดินทางไปสัมผัสลมหนาวกัน หลังจากที่ญิ๋งยิ้มพลาดโอกาสนั้นมาหลายต่อหลายครั้ง ครั้งนี้แหละด้วยข้อมูลรูปภาพ กับการไปสัมผัสจริงมันจะเป็นอย่างไรบ้างน๊า (>__<)
ทริปนี้รวมกลุ่มแบบงง ๆ พี่ที่รู้จักประกาศหาเพื่อนร่วมทริป "ไปม่อนจอง 2 วัน 1 คืน" ใครสนใจลงชื่อ..... ได้เห็นเท่านั้นแหละลงชื่อทันที ยก BIB งานวิ่งให้เพื่อนไปวิ่งแทนกันเลยทีเดียว (^_^) . . . . . >> เราเดินทางกันปลายเดือนพฤศจิกายน.....ถือว่าช่วงนั้นเป็นช่วงแรก ๆ ของป่าที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เรามาถึงหน่วยมูเซอกันสายแล้วค่ะ ถนนหนทางค่อนข้างขรุขระ เวลาก็เลยเสทไปเล็กน้อย
ถึงหน่วยมูเซอติดต่อทำเรื่องให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็นพอนะคะ เราขึ้นไปพักแค่คืนเดียว จากนั้นก็ขึ้น 4WD ไปจุดเริ่มต้นเดิน 16 กิโลเมตรได้ค่ะ
เส้นทางบางช่วงแคบ ด้านข้างเป็นเหวลึก เราใช้รถบริการทางหน่วยฯ ปลอดภัยกว่าค่ะ เส้นทางขึ้นลงสลับทางราบ (สนุกกันเลย)
นั่งรอสมาชิกกันสักพักใหญ่ รถติดหล่มอยู่ระหว่างทางและเสบียงของเราก็อยู่อีกคันนึง หิวเหมือนกันนะ (เกาะกันแน่น ๆ นะคะ)
ระหว่างรอ เราก็เก็บบรรยากาศจุดเริ่มต้นเดินกันเพลิน ๆ
ลูกหาบตัวน้อย ๆ ของทริปเรา
เราก็รอเพื่อน ๆ อย่างขะมักเขม้นเหมือนกัน
เริ่มต้นเดิน ไหว้พระขอพรก่อน เพื่อเป็นสิริมงคล
เริ่มเดินกันดีกว่า (ลุยยยย.....!!!)
เส้นทางค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ สลับกับทางราบเป็นระยะ
ต้นไม้ใบหญ้าแมลงตัวน้อยพึ่งพาอาศัยกันอย่างกลมเกลียว
มองซ้าย มองขวา มองไปไกลสุดสายตา แนวเขาเขียวเป็นทิว ลมเย็นโชยมาแผ่ว ๆ ทำให้เราเดินกันได้เรื่อย ๆ
ระหว่างทางเดินมีหินก้อนโตรออยู่ เราปีนป่ายไม่ห่วงสวยกันเลยค่ะ วิวด้านบนสวยมาก (จากจุดนี้ก็ครึ่งทางแล้วค่ะ)
ดอกไม้ขึ้นแซมตามโขดหิน
เดินลัดเลาะแนวชายเขา เพียงไม่นานก็จะพบเนินเขาด้านหน้า (เส้นทางลื่นเอาการอยู่เหมือนกันนะ)
เดินกันประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ถึงเชิงเขาละ
ขึ้นมาถึงด้านบน ถึงกับอึ้ง...................ว้าววววว ทุ่งหญ้าทอดยาวสุดสายตา
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจึงเรียก "ม่อนจอง" ว่าดินแดนแห่งกวางผาหรือม้าเทวดา นั่นคือ ดอยม่อนจอง อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย จ.เชียงใหม่ สัตว์ป่านานาชนิดอาศัยกันอยู่อย่างเสรี รวมถึงโขลงช้างป่าด้วยนะ ยังพบร่องรอยของช้างที่มากินดินโป่งบางจุดด้วยนะ
นั่งชมวิว 360 องศาโดยรอบ อยากหยุดเวลาไว้จริง ๆ เลยค่ะ
"ดอยม่อนจอง" เป็นสันเขาที่ปกคลุมเพียงต้นหญ้าเล็ก ๆ ในฤดูหนาวบริเวณแห่งนี้จะเป็นทุ่งหญ้าสีทอง "ม่อน" หมายถึงดอยหรือสันเขา ส่วนคำว่า "จอง" หมายถึงจั่ว สามเหลี่ยม หลายคนเรียกว่า "หัวสิงห์" เพราะลักษณะคล้ายหัวสิงโตเลยค่ะ ความสูงของยอดดอยอยู่ที่ 1,929 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งดอยม่อนจองยังคงติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงสุดในประเทศไทยอีกด้วย
บรรยากาศชิว ๆ ยามเย็น นั่งมองชื่นชมกันไป
แสงทะลุเมฆ สุดอลังการ
สนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ทอดไกลไปสุดสายตา
วิว 360 องศาของดอยม่อนจอง ทำให้เราได้เห็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน ทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนเป็นสีทองเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
รอชมพระอาทิตย์ตกดิน
พรุ่งนี้ฉันจะไปพิชิตเธอ "หัวสิงห์โต"
ตะวันลาลับขอบฟ้า
เดินกลับที่พักกันเป็นแนว
แสงสวย ๆ หลังตะวันลับขอบฟ้า
เช้านี้หมอกปกคลุมฟุ้งไปทั่วขุนเขา เราตั้งใจขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นกันแต่เช้ามืด ครั้งนี้ก็เช่นกันพระอาทิตย์ไปทำงานบนยอดดอยอื่น
ตากล้องก็ต่างเฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างจริงจัง
หมอกลงหนักมาก ไม่มีทีท่าว่าจะจาง
น้ำค้างเกาะตามยอดหญ้า น่าเอ็นดู
เส้นทางสู่ยอดหัวสิงห์ครั้งนี้เต็มไปด้วยสายหมอก และลมหนาว
สายลมค่อย ๆ พัดสายหมอก
ดอกม่อนจอง เบ่งบานไปทั่วเขา (เห็นอย่างนี้ขมเอาเรื่องเหมือนกัน เป็นยาชั้นดีด้วยต่างหาก)
โชคดีเหมือนกันนะ เราได้เห็นกุหลาบพันปีออกดอกสีแดงสดบานสะพรั่งอยู่หลายต้นเหมือนกัน ขนาดเรามากันปลายเดือนพฤศจิกายน หากมาเดือนกุมภาพันธ์คงบานเต็มต้นแหงเลย
ขึ้นมาด้านบน หมอกเริ่มจาง ฟ้าเริ่มเปิดเป็นระยะ
ไม่ทันไร หมอกที่หนาก็ค่อย ๆ จางลง ทำให้เราได้เห็นความสวยงามที่ซ่อนอยู่หลังม่าน
วิว 360 องศา บนยอดดอยม่อนจอง
รอสักหน่อย ท้องฟ้าสดใส
ทุ่งสิ่งอย่างหลังม่านหมอกก็ถูกเปิด เราได้เห็นหัวสิงห์ใกล้ ๆ
ทิวเขาเลียบหน้าผา
ทุกสิ่งอย่างอวดโฉมกันเมื่อหมอกจางหายไป
แนวเขาทอดยาว แสงมาช่วยให้สวยงามขึ้น
นี่แหละหนาความงามหลังสายหมอกจาง หัวสิงห์ไกล ๆ ความยิ่งใหญ่ไม่เคยจางหายเลย
ทุ่งหญ้าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอ่อน ๆ
แค่ทุ่งหญ้าสีทอง เมื่อเห็นก็ยากที่จะบรรยายเลย
เอ๊า......โดด (ถามหน่อยว่าไหวมั้ย เป้ด้วย)
ได้เวลาอำลาเธอแล้วนะ ม่อนจอง แล้วฉันจะกลับมาพบเธออีกนะ
ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีอะไรมาก แต่ญิ๋งยิ้มรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากจริง ๆ
ลองวัดใจกันสักหน่อย (^_^)
เธออยู่บนโน้นนนนน สบายดีมั้ย
ปลายทางไม่ว่าจะสวยงามขนาดไหน แต่ความสวยงาม ความสนุกสนานระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้ปลายทางเช่นกัน เก็บทุกช่วงเวลาให้มีความสุข แล้วคุณจะสนุกกับมัน
ดอยม่อนจองเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึง 15 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะปิดนะจ๊ะ
ค่าบริการ
คนนำทาง วันละ 500 บาท
ลูกหาบ คิดวันละ 400 บาท
ค่ารถโฟร์วิวไปยังจุดเดินเท้า 2500-3000 บาท
153 หมู่ 2 ต. ยางเปียง อำเภอ อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ 50310
YingYim