ชวนเที่ยว 7 เมืองเล็กๆ น่ารัก อยากเอาใจไปพักสักหน่อย
การท่องเที่ยวไม่ว่าจะได้เดินทางไปที่ไหนก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองทุกครั้ง หากมีโอกาสไป เที่ยวต่างประเทศ แวะเช็คอินตามเมืองใหญ่แล้วยังรู้สึกว่าชีวิตคนเมืองดูเร่งรีบ จอแจ เราขอเสนอการท่องเที่ยวต่างประเทศแบบสโลวไลฟ์ที่ 7 เมืองเล็กๆ น่ารัก ได้บรรยากาศชิลล์ๆ เอาไว้จัดทริป ทัวร์ต่างประเทศ
1.หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ้น – ไต้หวัน
“จิ่วเฟิ้น” เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเขาในเมืองจีหลง ไต้หวัน เป็นอีกหนึ่งเมืองน่าเที่ยวที่ใช้เวลาเดินทางจากไทเปเพียง 1-2 ชั่วโมง เดิมหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเหมืองทองคำที่มีชื่อเสียง ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง แม้วันเวลาจะผ่านไป แต่หมู่บ้านโบราณนี้ยังคงความดั้งเดิม ให้คุณได้ย้อนเวลากลับไปซึมซับความสวยงามในอดีตที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเดินเข้ามาจะพบกับตึกสองข้างทางที่ยังคงความสวยงามแบบยุคก่อน มีร้านรวงขายอาหารและขนมท้องถิ่นตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น เห็ดย่าง ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ไส้กรอกกุนเชียง ไอศกรีมถั่วตัด รวมถึงน้ำแข็งไสอิ่มท้องแล้ว เดินขึ้นเขามาอีกนิดจะพบกับโรงน้ำชาที่ประดับด้วยโคมไฟจีนสีแดง คุณสามารถนั่งพักจิบน้ำชา ชมวิวจากบนเขาได้สุดสายตา ยิ่งในช่วงพระอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้า เป็นช่วงเวลาทองคำที่โคมแดงจะเปิดไฟต้องกับแสงจากพระอาทิตย์ ทวีความสวยงามจนต้องยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์รัวๆ เลยล่ะค่ะ ความสวยงามของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างฉากในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Spirited Away จากค่าย Studio Ghibli อีกด้วย
2.เวนิส – อิตาลี
เมืองเล็กๆ ในฝันของใครหลายคน จะต้องมี “เวนิส” ติดอันดับอยู่ในใจแน่นอน เวนิสมีลักษณะเป็นเกาะ อยู่ที่แคว้นเวเนโต ในโซนทะเลเอเดรียติก ภาคเหนือของประเทศอิตาลี การท่องเที่ยวที่นี่เราสามารถล่องเรือกอนโดลาผ่าน Grand Canal ชมวิวบ้านเรือนริมฝั่งที่ยังคงวิถีชีวิตริมน้ำได้เช่นอดีต พลางฟังเสียงเพลงจากคนขับเรือ คิดภาพตามแล้วรู้สึกถึงความโรแมนติกขึ้นมาเลยใช่ไหมคะ จากนั้นไปเที่ยวต่อกันที่ จัตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) จัตุรัสขนาดใหญ่กลางเมือง ห้อมล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปที่สวยงาม รวมถึง มหาวิหารซานมาร์โค (Saint Mark’s Basilica) โบสถ์คริสต์ศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.829 ประดับประดาด้วยโมเสกสีทองและหินสี เป็นการผสมผสานหลายยุคสมัยทางศิลปะไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ไบแซนไทน์ โรมาเนสก์ โกธิค จนถึงเรอเนสซองซ์ ที่แสดงถึงความมั่งคั่งของเวนิสอย่าลืมไปชม สะพานรีอัลโต (Rialto Bridge) สะพานเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวนิส เดิมสร้างด้วยไม้ แต่ภายหลังมีการบูรณะและสร้างใหม่ด้วยหิน เชื่อมเกาะ San macro และเกาะ San polo ให้คุณได้เดินเพลิน พลางซื้อของที่ระลึก นอกจากนี้ยังมีเทศกาลหน้ากากคานิวัลอันโด่งดัง ใครอยากไป เที่ยวต่างประเทศ แถบยุโรป ในบรรยากาศชิลล์ๆ ชมเมืองสวยๆ แนะนำให้ไปที่เมืองเวนิสแห่งประเทศอิตาลีเลยค่ะ รับรองว่าคุณจะได้รับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เมืองแห่งสายน้ำ ที่จะตราตรึงในใจของคุณตลอดไปอย่างแน่นอน
3.พุกาม – พม่า
มาต่อกันที่เมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากเมืองไทย กับ “พุกาม” ประเทศพม่า ไฮไลท์ของที่นี่ที่ไม่อยากให้คุณพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ การขึ้นบอลลูน ชมเมืองพุกามจากมุมสูง! ความพิเศษของพุกาม ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ คือคุณจะได้ชมวิวเจดีย์โบราณเรียงรายกันทั่วบริเวณ แซมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ แนะนำให้ขึ้นบอลลูนในช่วงเช้า จะเห็นแสงอาทิตย์อ่อนๆกระทบกับเจดีย์ สร้างภาพที่สวยงามจนคุณไม่อาจละสายตาไปได้ ค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 350 USD ต่อคน ช่วงเวลาแนะนำอยู่ที่เดือนตุลาคม-มีนาคมอีกสถานที่ที่ต้องปักหมุดเมื่อมาเยือนพุกาม นั่นคือ เจดีย์ชเวซานดอว์ จุดชมวิวพระอาทิตย์ยอดนิยมที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของพุกาม จะมาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หรือชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้ายามเย็นก็ดีทั้งนั้น แล้วคุณจะหลงรักเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์แน่นอน
4.คัปปาโดเกีย – ตุรกี
ปลายทางในฝันที่อยากให้คุณไปเยือนสักครั้งกับ เมืองเล็กๆ ในตุรกีอย่าง “คัปปาโดเกีย” ถือเป็นเมืองสำคัญในอดีต ตั้งอยู่ระหว่างทะเลดำและภูเขาเทารุส เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม ไฮไลท์ของที่นี่คือ การขึ้นบอลลูน สุดยอดกิจกรรมที่คุณห้ามพลาด กับการลอยขึ้นฟ้าชมความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์แก่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ภาพที่คุณมองลงมาจะเห็นหินขนาดใหญ่เรียงรายอยู่มากมาย เกิดจากการกัดเซาะของลมฝนจนเกิดเป็นรูปร่างแปลกตา เรียกว่า ปล่องไฟนางฟ้า (Fairy Chimneys) จากนั้นคุณสามารถเดินชม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Goreme) โบสถ์ถ้ำที่เกิดจากการเจาะหิน และมีการประดับประดาภาพวาดสีที่สวยงาม ที่โดดเด่นคือ โบสถ์หัวเข็มขัด (Buckle Church) มีภาพวาดสะท้อนถึงเรื่องราวในศาสนาคริสต์ เช่น ภาพพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน ภาพลาสท์ซัปเปอร์ นอกจากนี้อย่าลืมไปชม เมืองใต้ดินไคมัคลึ (The Underground City Kaymakli) สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล ภายในถูกขุดเจาะลึกลงกว่า 10 ชั้น มีอุโมงค์เชื่อมกันยาวกว่า 80 กิโลเมตร เมืองใต้ดินนี้ได้รับการก่อสร้างอย่างดี ภายในมีอุณหภูมิเฉลี่ยราว 17-18 องศาเซลเซียส ทำให้ชาวเมืองสามารถดำรงชีวิตอยู่ในนั้นได้ ด้านในมีห้องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ห้องครัว โบสถ์ โรงเรียน รวมถึงห้องเลี้ยงสัตว์อีกด้วย เชื่อว่าการเที่ยวในเมืองที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกแห่งนี้ จะต้องทำให้คุณอยากออกเดินทางไปไม่รู้จบแน่นอน
5.โจวจวง – จีน
เส้นทางเมืองเล็กๆ ที่อยากให้คุณไปเดินตามรอย กับหมู่บ้านโบราณของจีนอีนเก่าแก่อย่าง “โจวจวง”หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซู สามารถเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ราว 2 ชั่วโมง เสน่ห์ของที่นี่คือหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งกว่าร้อยละ 60 เป็นบ้านที่สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง หรือประมาณพันกว่าปีมาแล้ว เมืองเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยความสวยงามและเรื่องราวให้เรารำลึกถึงจีนยุคโบราณ เดิมหมู่บ้านโจวจวงมีชื่อว่า เจินเฟิงหลี่ ซึ่งชื่อได้เปลี่ยนเป็นโจวจวงในภายหลัง เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของโจวตี๋กง ผู้ที่บริจาคที่ดินขนาด 13,000 ตารางเมตร เพื่อสร้างวัดเฉวียนฝู มาถึงที่นี่ห้ามพลาดที่จะนั่งเรือละเลียดความสวยงามแบบไม่ต้องเร่งรีบ พลางชมตึกรามบ้านช่องที่ยังคงความสวยงามดังอดีต ลอดผ่านสะพานหิน รวมถึงสะพานแฝดอันเป็นฉากหลังของภาพเชียนโบราณอันโด่งดัง เดินเล่นซื้อของที่ระลึกตามถนนคนเดิน การเดินทางครั้งนี้แม้เป็นประสบการณ์ที่เรียบง่าย หากแต่จะเติมเต็มความสุขในใจให้คุณแน่นอน แล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไมหมู่บ้านโจวจวงแห่งนี้ ถึงได้รับการขนานนามว่าเป็นหมู่บ้านเวนิสตะวันออก และอย่าลืมชิมขาหมูโจวจวง รสชาติหวานนิดเค็มหน่อย กินกับหมั่นโถวเข้ากันสุดๆ เป็นอันครบถ้วนการเที่ยวโจวจวงโดยสมบูรณ์
6.ชิราคาวาโกะ – ญี่ปุ่น
เมืองเล็กๆ ที่ได้รับการยกย่องเป็นเมืองมรดกโลก “หมู่บ้านกัสโชซึคุริโอกิมาฉิ ชิราคาวาโกะ” จังหวัดกิฟุ ทึ่งไปกับภูมิปัญญาชาวบ้านที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ จากการสร้างบ้านที่ใช้หญ้าฟางมามุงหลังคาด้วยความชันถึง 60 องศา โดยปราศจากการตอกตะปูใดๆ แต่ยังคงความแข็งแรงมากว่า 250 ปี! นอกจากนี้ยังสามารถขึ้นจุดชมวิว ชมทัศนียภาพของหมู่บ้านที่สวยจนคุณต้องร้องว้าว! จากนั้นมาเดินข้ามสะพานแขวน ไม่ว่าจะมองมุมใด ที่นี่ก็ให้ความรู้สึกดีจนอยากจะอยู่ไปนานๆ
คุณสามารถมาเที่ยวได้ทุกช่วงเวลา หากมาในฤดูใบไม้ผลิ คุณจะพบกับซากุระที่บานต้อนรับการมาเยือน หากมาช่วงฤดูร้อนก็จะเป็นภาพทุ่งหญ้าสีเขียวเหลืองทั่วพื้นที่ แต่ช่วงไฮไลท์ของที่นี่คือ ฤดูหนาว ที่คุณจะพบกับหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน อีกทั้งในช่วงฤดูนี้จะมีการเปิดไฟ Light-up ทำให้เห็นภาพที่สวยงามจนอยากจะหยุดเวลาไว้ หากมีโอกาสอยากชวนคุณเข้าพักโฮมสเตย์ในบ้านพักของชาวนา สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างใกล้ชิด แล้วคุณจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าทำไมปลายทางของใครหลายคนถึงเป็น เมืองเล็กๆ ในญี่ปุ่นแห่งนี้
7.เชียงคาน – ไทย
เที่ยวไทยกันดู ไม่ไปไม่รู้ ที่ เมืองเล็กๆ อย่าง “เชียงคาน” จังหวัดเลยกันดีกว่า สถานที่ที่ได้กลายเป็นปลายทางของนักเดินทางที่อยากพักผ่อนแบบสโลวไลฟ์ พร้อมฟินสุดใจกับธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มาถึงเชียงคานต้องไปเช็คอินกันที่ภูทอก เริ่มการเดินทางด้วยรถกระบะของชาวบ้านที่นั่น สัมผัสอากาศเย็นๆ และขึ้นสู่จุดชมวิวที่สำคัญของภาคอีสาน ทะเลหมอกอันลือเลื่องบวกกับวิวริมแม่น้ำโขง ทำให้คุณเข้าใจแล้วว่าชีวิตบางทีก็ต้องการแค่นี้จริงๆ ตกเย็นก็มาเดินเล่นที่ ถนนคนเดินเชียงคาน ชิมอาหารอร่อย ซื้อของที่ระลึก แนะนำให้ลองพักที่นี่สักคืน สองคืน เลือกเป็นโฮสเทลก็ดีไม่น้อย แต่ละที่ตกแต่งอย่างเก๋ไก๋ ที่ยังคงเอกลักษณ์แบบสไตล์คันทรี่เอาไว้ เอาใจนักท่องเที่ยวสุดๆ ตื่นเช้ามาก็อย่าลืมตักบาตรข้าวเหนียวกันนะคะ รับรองว่าหากคุณต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวาย มาพักใจที่เชียงคาน จะต้องตกหลุมรัก แล้วจะต้องกลับมาเที่ยวซ้ำอีกแน่นอน
เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับ 7 เมืองเล็กๆ ทั่วโลกที่เรานำมาไกด์ให้เพื่อนๆ ที่ต้องการเที่ยวแบบไม่ซ้ำ ไปเปิดเส้นทางใหม่ๆ กัน จะ เที่ยวต่างประเทศ หรือเที่ยวไทยก็ต่างเป็นประสบการณ์ให้เราได้เปิดหูเปิดตาทั้งนั้น ขอให้เที่ยวอย่างสนุกและปลอดภัยนะคะ
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ