ทริปสุดท้ายก่อนปิดภูกระดึง ท้าทายขีดจำกัดของร่างกายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งฝัน
“นี่เพียงเริ่มต้น ยังเหนื่อยมากขนาดนี้ จุดหมายปลายทางยังอีกยาวไกลทั้งยังสูงชัน แล้วเราจะไปถึงหรือ...”
การเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้ เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยความตั้งใจที่ว่าจะเดินทางไปปิดภูกระดึง จังหวัดเลย ที่ว่า “ปิดภู” นั้น เนื่องจากในทุกๆ ปี ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชื่นชมความสวยงามทางธรรมชาติบนยอดภูกระดึง ได้เพียง 8 เดือน คือช่วงระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม ถึง 31 พฤษภาคม ส่วนช่วงวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 30 กันยายน จะทำการปิดภูไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเอง ด้วยช่วงเวลา 4 เดือนที่ปิดภูนั้น เป็นช่วงฤดูฝนเส้นทางการเดินเท้าเป็นไปด้วยความยากลำบาก นักท่องเที่ยวอาจได้รับอันตรายจากการเดินเท้า และอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในช่วงฤดูกาลที่ร้างการมาเยือนของผู้คน และเพื่อเป็นการให้ธรรมชาติบนยอดภูกระดึงได้พักฟื้นตัวจากการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างหนักในช่วงฤดูหนาว เพราะในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไปเที่ยวชมความสวยงามทางธรรมชาติบนยอดภูกระดึงหลายหมื่นคน
สำหรับผมแล้วการเดินทางขึ้นไปเที่ยวชมความงดงามทางธรรมชาติบนยอดภูกระดึงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีเนื่องจากในช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากันน้อยมาก หรือในบางปีแทบจะไม่มีเลย อย่างเช่นในทริปนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นมาเพียง 8-9 ท่านเท่านั้นเอง ทำให้ได้รู้สึกถึงการเดินทางมาเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไม่ต้องวุ่นวายกับผู้คนที่มากมายหรือต้องต่อคิวยาวเพื่อเข้าห้องน้ำและรับประทานอาหาร
ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูจากที่ทำการอุทยานฯ ด้านล่าง ผ่านซำต่างๆ หลายซำ ซึ่งเป็นจุดแวะพักเหนื่อยรวมระยะทางแล้วประมาณ 5.5 กิโลเมตร จึงจะถึงบริเวณหลังแป อันเป็นที่ตั้งของป้ายที่เขียนว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” ป้ายนี้หากใครมาถึงแล้วคงต้องถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก หรือเพื่อเป็นภาพถ่ายที่สามารถนำไปอวดมิตรสหายได้ต่อไป จากนั้นต้องเดินเท้าต่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ระยะทาง 3.4 กิโลเมตร โดยเป็นทางราบเดินเท้าได้สะดวกไม่ต้องปีนป่ายเหมือนในช่วงที่ผ่านซำต่างๆ จึงจะถึงที่พักและร้านอาหารที่เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว
ในช่วงเวลาใกล้ค่ำ สายลมเย็นพัดมาจากทางด้านทิศตะวันตก เต้นท์พักแรมไหวเอนเล็กน้อย ถ้าหากไม่ปักสมอบกไว้คงต้องวิ่งไล่จับกันพัลวัน วันนี้ดวงอาทิตย์ตกไม่สวยงามนัก เมฆฝนส่อเค้าดำกำลังเดินทางมาถึง และในที่สุดค่ำคืนแรกของการเดินทาง สายฝนได้พร่ำโปรยลงมาทวีความเหน็บหนาวต้อนรับ ราวกับจะรู้ดีว่าผมหนีอากาศร้อนอบอ้าวมาจากเมืองหลวง
บนยอดภูกระดึง มีสถานที่แห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวหลายท่านอาจจะมองข้ามไป แต่ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะได้เห็นบางคนอาจจะเคยได้แวะเข้าไปกราบไหว้นมัสการ นั่นคือ องค์พระพุทธเมตตา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับภูแห่งความรักแห่งนี้มานาน ตามประวัติความเป็นมาเล่าสืบต่อกันมาว่า พระพุทธเมตตา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2463 โดยหลวงวิจิตร คุณสาร นายอำเภอวังสะพุงและชาวราษฎร เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีธรรมชาติสวยงามอย่างมหัศจรรย์ ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีการตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ ต่อมาในปี พ.ศ.2526 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระ พร้อมทั้งทรงเสด็จมาเบิกพระเนตรและสวมเกศ รวมทั้งพระราชทานนามพระพุทธรูปว่า "พระพุทธเมตตา"
มีนักท่องเที่ยวสองคนเล่าให้ผมฟังว่า เคยมาตั้งจิตอธิฐานขอพรจากองค์พระพุทธเมตตา ให้ตนเองได้พบเจอกับความรักที่แท้จริง หรือพบเจอกับคนดีที่จริงใจจะมาเป็นคู่รักครองเรือนกัน ซึ่งเขาทั้งสองคนก็ได้สมความหวังที่ตั้งใจ คือได้รู้จักกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นมาบนภูกระดึง และต่อมาได้มีความสนิทสนมกันมากขึ้น จนได้เป็นคู่รักกันไปในที่สุด จากนั้นเขาจึงได้นำระฆังใบเล็กมาแขวนไว้บริเวณรอบองค์พระพุทธเมตตา เพื่อเป็นการสักการะบูชาเหมือนดังคนก่อนๆ ที่ได้นำมาแขวนไว้ จนเห็นระฆังเรียงรายอยู่มากมาย ผมเห็นแล้วก็นึกถึง หอคอยเอ็นโซล ที่ตั้งอยู่บนเขานัมซัม ประเทศเกาหลีใต้ ที่นั่นหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้นิยมนำแม่กุญแจไปล๊อคไว้ที่รั่วเหล็กพร้อมสลักชื่อของตนเองและคนรักไว้ที่แม่กุญแจ เปรียบเสมือนเป็นสัญญารักที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ที่ภูกระดึงบ้านเราหากคู่รักจะเดินทางมาแขวนระฆังใบเล็กๆ ร่วมกันบ้าง ผมคิดว่าน่าจะดูน่ารักไปอีกแบบ และเป็นการแสดงออกถึงความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันวัยรุ่นไทยนับวันจะห่างวัดไปเสียทุกที
ขณะเดินกลับจากการชมวิวทิวทัศน์ที่ผาหล่มสัก ซึ่งมีระยะทางจากที่พักไปกลับรวมแล้วประมาณ 18 กิโลเมตร ในเส้นทางเลาะเลียบไปตามหน้าผาสวยงาม สนลำต้นสีดำสูงตระหง่านแผ่กิ่งก้านที่หงิกงอดูราวกับแรงลมสรรสร้างให้เป็น บางต้นสวยงามแต่บางต้นดูน่ากลัว
บ่ายวันนี้อากาศไม่ร้อน แสงแดดถูกเมฆสีเทาบดบัง ผมนึกถึงเนื้อเพลงเก่าที่พอจำได้ในบางช่วงทำนอง ที่ถูกบบรจงแต่งเนื้อร้องโดยคุณแก้ว อัจฉริยะกุล “เขาภูกระดึงเสน่ห์ตรึงใจจริง สัณฐานเหมือนกระดิ่งทับหล้า สูงล้ำดังค้ำนภา สูงลิวทิวทัศน์ตื่นตา สวยกว่าเทวาสรรสร้าง หนทางขึ้นลงไม่เรียบแต่ชวนเพลิน เห็นเนินซ้อนเนินลดหลั่นสล้าง น้ำใสตกไหลเป็นทาง ไหลพุ่งจากสูงสุดทาง ไหลหลั่งพื้นล่างสุธา...”
ถึงแม้จะเป็นเพลงเก่า ที่วันเวลาได้ผันผ่านมาเนิ่นนานนับสิบๆ ปี แต่เพลงนี้ก็ไม่ได้บรรยายความงดงามของธรรมชาติบนภูกระดึงอย่างเกินเลยความจริง ทุกสิ่งในเนื้อร้องล้วนมาจากความจริงที่ปรากฏอยู่บนยอดภู และทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงก็ยังใช้เพลงนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง นับว่าเป็นการเตือนสติให้นักท่องเที่ยวทุกคนได้ร่วมกันรักษาให้ภูกระดึงแห่งนี้ได้คงธรรมชาติอันงดงามสืบต่อไปอีกนานเท่านาน
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ