อยากรอดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ต้องทำอย่างไร?
แม้ที่ผ่านมา จะไม่มีอะไรสามารถต้านทานภัยธรรมชาติได้ แต่เราก็ยังสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ และเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าว วันนี้เราขอนำทุกท่านไปทำความรู้จักกับภัยธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อผู้คนเป็นจำนวนมากว่ามีอะไรบ้าง และจะมีวิธีเอาตัวรอดอย่างไร หากตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
ภัยจากน้ำป่า
เป็นภัยธรรมชาติที่มีสาเหตุหลัก มาจากปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องจนเกินควบคุม เป็นเหตุให้เกิดน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ดังกล่าว
วิธีการเอาตัวรอดจากน้ำป่า
1. สังเกตสัญญาณเตือนจากธรรมชาติ
ก่อนเกิดน้ำป่าไหลหลาก มักจะมีการสัญญาณเตือนที่สามารถสังเกตได้ คือ ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในพื้นที่ว่ามีปริมาณมากหรือน้อย และแม่น้ำในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นใดบ้าง
หากระดับน้ำเริ่มสูง และสีของน้ำในแม่น้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขุ่น มีท่อนไม้ กิ่งไม้ถูกพัดพามาเรื่อย ๆ รวมถึงกระแสน้ำเริ่มมีความรุนแรงขึ้น นั่นแสดงว่า มีแนวโน้มที่จะเกิดน้ำป่าค่อนข้างสูง
2. สิ่งที่ต้องเตรียม
เมื่อเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ก็ขอให้รีบเตรียมขนสิ่งของที่อาจได้รับความเสียหายไว้ที่สูงทันที รวมถึงการจัดเก็บเอกสารสำคัญ (เอกสารราชการต่าง ๆ, สมุดบัญชีธนาคาร, สิ่งของมีค่าอื่น ๆ) เตรียมเครื่องนุ่งห่ม น้ำและอาหารแห้งที่สามารถเก็บไว้ประทังชีวิตในยามฉุกเฉิน โดยไม่จำเป็นต้องรอประกาศเตือนจากเจ้าหน้าที่
3. น้ำเชี่ยว ไม่ควรเอารถไปขวาง
คุณไม่ควรขับรถฝ่ากระแสน้ำไม่ว่าจะเป็นการขับรถฝ่าแม่น้ำสายเล็ก ๆ หรือถนนที่มีน้ำท่วม เพราะรถของคุณอาจถูกกระแสน้ำพัดไปได้
4. เมื่อสั่งอพยพ ต้องไปทันที
ขอให้คุณจำไว้ให้ดีว่า เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งให้อพยพหนีน้ำป่า ก็ต้องรีบออกจากพื้นที่ทันที อย่ามัวรีรอ เพราะห่วงบ้านหรือทรัพย์สินอื่น ๆ เนื่องจากน้ำป่าเป็นกระแสน้ำที่มาเร็ว และรุนแรงมาก
ภัยจากดินโคลนถล่ม
มักเกิดขึ้นในฤดูฝน โดยพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเกิด “ดินโคลนถล่ม” คือ บริเวณที่ลาดเชิงเขาหรือภูเขาสูงที่มีฝนตกหนักเป็นเวลานาน จนทำให้น้ำฝนไหลซึมลงไปในชั้นดินจนกระทั่งชั้นดินชุ่มน้ำ ไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ เป็นเหตุให้ดินมีการเคลื่อนที่ลงมาตามลาดเขาได้ง่ายขึ้น
วิธีการเอาตัวรอดจากดินโคลนถล่ม
1. เสียงเตือนตามสาย
ช่วงฤดูฝนเป็นอีกหนึ่งช่วงสำคัญที่มักมีเสียงประกาศเตือนภัย ทั้งจากหน่วยงานส่วนกลางอย่าง “กรมอุตุนิยมวิทยา” หรือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ดังนั้น เมื่อมีการแจ้งเตือนตามสาย อย่าได้ละเลยหรือประมาท เพียงคิดว่า เตือนมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เพราะภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราไม่อาจกำหนดเวลาแน่นอนได้
2. อยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ ?
เจ้าของพื้นที่ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ว่าจุดที่ตนอยู่นั้น เป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดภัยธรรมชาติหรือไม่ โดยหากพื้นที่ของคุณถูกจัดว่าเป็นพื้นที่เสี่ยง อาทิ เคยเกิดน้ำป่า หรือถูกแจ้งเตือนว่าอาจเกิด ก็ขอให้เตรียมสิ่งของจำเป็นให้พร้อมอพยพทันที
3. เส้นทางเลียบภูเขา จัดเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง
ถ้าเป็นไปได้ ขอให้คุณหลีกเลี่ยงการสัญจรในพื้นที่เลียบภูเขาในช่วงที่มีฝนตกหนัก เพราะดินอาจชุ่มน้ำมาก จนลื่นไถลลงมาทับคุณหรือรถได้
4. สติ เป็นสิ่งที่สำคัญ
ต่อให้คุณจะเตรียมพร้อมรับมือดีแค่ไหน แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้ ดังนั้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ขอให้คุณตั้งสติให้ดี และรีบปฏิบัติตามสิ่งที่เจ้าหน้าที่เคยแนะนำไว้
ภัยจากไฟป่า
อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อาทิ เกิดฟ้าผ่า หรือกิ่งไม้เสียดสีกัน แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่า คือ มนุษย์ที่มีความตั้งใจจุดไฟ เพื่อทำไร่เลื่อนลอย หรือล่าสัตว์ โดยไม่คำนึงว่า ไฟที่จุดขึ้นมา จะลุกลามสร้างความเสียหายกับใครบ้าง
และช่วงเวลาที่มักเกิดไฟป่า คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เดือนเมษายน เนื่องจากเป็นช่วงที่สภาพอากาศแห้งและร้อนจัด
วิธีการเอาตัวรอดจากไฟป่า
1. สัญญาณเตือน
วันหนึ่งที่คุณเดินเข้าป่า แล้วจู่ ๆ ได้กลิ่นเหม็นไหม้ หรือเห็นควันพวยพุ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า อาจกำลังเกิดไฟป่า และขอให้รีบออกจากบริเวณดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
2. ป้องกันควันอันตราย
เมื่อเกิดไฟป่าขึ้น นอกจากคุณต้องพยายามหนีออกมายังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว สิ่งที่ต้องรีบทำอีกอย่าง คือ การป้องกันควันไฟ หากคุณมีผ้าและน้ำเปล่าติดตัวไปด้วย ขอให้เอาผ้ามาชุบน้ำหมาด ๆ และปิดจมูก เพื่อป้องกันการสำลักควัน
3. ทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ขณะเกิดเหตุ หากมีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย ขอให้คุณทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด แต่หากอยู่เพียงลำพัง โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ ขอให้คุณตั้งสติและพยายามหลบหนีออกมาในเส้นทางที่คุณเข้าไป เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าเส้นทางดังกล่าวยังไม่ได้รับผลกระทบจากไฟป่า
ภัยจากคลื่นสึนามิ
ถือเป็นอีกหนึ่งภัยธรรมชาติที่ดูเหมือนจะไกลตัวเรามาก กระทั่งปลายปี 2547 ได้เกิดโศกนาฏกรรมในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ริมฝั่งทะเลอันดามัน หลังเกิดแผ่นดินไหว ตรงบริเวณนอกฝั่งด้านตะวันตก ทางตอนเหนือของหัวเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้หลายประเทศที่อยู่ฝั่งทะเลอันดามันได้รับความเสียหาย และเริ่มตื่นตัว พร้อมหามาตรการป้องกันคลื่นสึนามิ รวมถึงประเทศไทยด้วย
วิธีการเอาตัวรอดจากคลื่นสึนามิ
1. สัญญาณเตือนจากทะเล
หากคุณสังเกตเห็นว่า น้ำในทะเลลดลงอย่างผิดปกติ ขอให้หันหลังวิ่งหนีออกจากบริเวณชายหาดทันที เพราะนั่นหมายความว่า คลื่นสึนามิกำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามาหาคุณแล้ว
แต่สำหรับประเทศที่มีการติดตั้งทุ่นสัญญาณเตือนสึนามิ เจ้าหน้าที่จะกดสัญญาณเตือน พร้อมเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที
2. ที่หลบภัย
ยากที่จะคาดการณ์ว่า คลื่นสึนามิซึ่งกำลังซัดเข้ามาจะมีความสูงระดับใด ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำเพื่อความปลอดภัย คือ การวิ่งขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ อาทิ ตึกสูง ภูเขาสูง หรือไปยังจุดปลอดภัยที่เจ้าหน้าที่แจ้งไว้
3. คลื่นสึนามิ อาจมีมากกว่า 1 ลูก
การเกิดคลื่นสึนามิในครั้งหนึ่ง อาจมีมากกว่า 1 ลูก และเพื่อความปลอดภัยของคุณเอง ไม่ควรออกจากจุดปลอดภัย จนกว่าจะได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่
ภัยจากแผ่นดินไหว
“แผ่นดินไหว” เป็นภัยที่ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า และอันตรายจากแผ่นดินไหวไม่ได้มีเพียงแรงสั่นสะเทือนในครั้งแรก แต่ยังรวมถึง “อาฟเตอร์ช็อก” ที่ตามมาอีกด้วย สำหรับพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดของไทย คือ พื้นที่ภาคเหนือ
วิธีการเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว
กรณีอยู่ภายในบ้าน
1. หากคุณอยู่ภายในบ้าน ขอให้เข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ พร้อมหาหมอนหรือสิ่งของมาวางเหนือศีรษะ เพื่อรองรับแรงกระแทกจากของที่อาจตกลงมา
2. ไม่ควรรีบร้อนออกจากบ้าน เพราะคุณอาจได้รับอันตรายจากสิ่งของที่หล่นลงมาจากที่สูงได้
3. ถ้าขณะเกิดเหตุ คุณอยู่ใกล้บริเวณหน้าต่างหรือประตู ขอให้เปิดทิ้งไว้ก่อน เพราะหากสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย ก็สามารถออกจากบ้านได้ทันที
4. หากแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ตอนที่คุณกำลังเปิดเตาแก๊สทำอาหาร ขอให้รีบปิดทันที แต่หากไม่ได้เปิดใช้เตาแก๊ส ก็ควรตรวจสอบว่าปิดวาล์วแก๊สแล้วหรือไม่
5. ไม่ควรอยู่ใกล้เฟอร์นิเจอร์สูง ๆ อาทิ ตู้หนังสือหรือตู้เย็น เพราะอาจล้มทับตัวคุณได้
กรณีอยู่ภายนอกอาคาร
1. ขอให้คุณหาสถานที่ปลอดภัย อย่างพื้นที่โล่งกว้างของสวนสาธารณะเป็นสถานที่หลบภัยชั่วคราวก่อน และไม่ควรเข้าไปในบ้านหรืออาคารที่ดูไม่แข็งแรงเด็ดขาด
กรณีอยู่บนตึกสูง
1. ขอให้รีบออกมาจากตึกดังกล่าวทันที เพราะตึกแต่ละแห่งอาจถูกออกแบบมาให้รับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ไม่เท่ากัน
2. ไม่ควรใช้ลิฟต์ เพราะหากเกิดไฟดับ คุณต้องติดอยู่ในลิฟต์เป็นเวลานาน ขอให้ใช้บันไดหนีไฟแทน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าแผ่นดินไหวจะหยุดแล้ว ก็อย่าเพิ่งสบายใจ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่เกิดแผ่นดินไหว มักจะมีอาฟเตอร์ช็อกตามมา ฉะนั้นขอให้ติดตามสถานการณ์จากวิทยุหรือโทรทัศน์ก่อน
ภัยจากวาตภัย
วาตภัย หรือ พายุฤดูร้อน มักเกิดขึ้นช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปี โดยความรุนแรงของพายุฤดูร้อนในแต่ละครั้ง สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างยิ่ง
วิธีการเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว
กรณีอยู่ภายในบ้านหรืออาคาร
ไม่ควรอยู่ใกล้ระเบียง เพราะเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า และพายุอาจพัดสิ่งของ อาทิ กระถางต้นไม้ มากระแทกคุณได้
ขอให้รีบปิดประตู และหน้าต่างให้มิดชิด เพื่อป้องกันมิให้แรงลมเข้ามาพัดสิ่งของภายในที่พัก
กรณีอยู่กลางแจ้ง
1. ควรอยู่ให้ห่างจากสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง อาทิ ต้นไม้ ป้ายโฆษณา เป็นต้น
2. ขอให้รีบออกจากพื้นที่โล่งแจ้งอย่างลานกว้าง อาทิ ลานจอดรถ สนามกอล์ฟ เพราะแรงลมอาจพัดสิ่งของมากระแทกคุณ