ความสุขในเมืองสองกาลเวลาที่ลำพูน
จากภาพขาวดำในอดีตประกอบกับเรื่องเล่าในหน้าหนังสือแสดงให้เห็นชัดว่า “ลำพูน” เมื่อครั้งอดีตเคยเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวยอารยธรรมที่สุดในแถบล้าน วันนี้ภาพสีของลำพูนที่ปรากฏต่อสายตาตรงหน้าก็ยังคงงดงามไม่ต่างจากรูปที่ได้เห็นมา สิ่งที่เปลี่ยนไปก็มีเพียงแต่กาลเวลาที่หล่อหลอมให้ลำพูนเป็นเมืองที่สงบ มีบรรยากาศน่ารัก ส่วนวัฒนธรรมอันเก่าแก่ตามแบบฉบับของล้านนาหลายอย่างยังอยู่ครบ ขณะที่บางสิ่งก็เปลี่ยนไปภายใต้การผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัวของคนรุ่นปู่และเด็กรุ่นหลาน เรียกว่าเป็นเมืองสองกาลเวลาที่งดงามจริงๆ...
“พระธาตุหริภุญชัย” จุดหมายแรกของเราในลำพูน วันนี้ลมพัดเย็นสบายทำให้ความรู้สึกขณะก้มลมกราบพระธาตุอันถือเป็นปูชนียสถานที่สำคัญยิ่งในล้านนาเต็มไปด้วยความปิติที่ปลอดโปร่งทั้งกายและใจ
ในบันทึกเล่าว่าพระธาตุหริภุญชัยสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1651 สมัยพระเจ้าอาทิตยราช ราชกษัตริย์วงศ์รามัญผู้ครองนครลำพูน นับอายุได้เกือบหนึ่งพันกว่าปีผ่านมาแล้ว แต่ในความคิดของพวกเราเรากลับรู้สึกกาลเวลาที่ผ่านมาไม่ได้ทำลายความสวยงามให้ลดน้อยลงเลยทว่ากลับขับให้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุประจำปีเกิดชาวระกาแห่งนี้ดูงดงามกว่าเดิม อีกทั้งด้วยการบูรณะอย่างสม่ำเสมอทำให้สีทองขององค์พระธาตุยามที่สะท้อนเปลวแดดดูเปล่งประกายระยิบระยับจับตา
หนึ่งในเทศกาลประจำปีของพระธาตุหริภุญชัยที่ไม่อยากให้พลาดคือ “โคมแสนดวงที่เมืองลำพูน” เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาต่อองค์พระธาตุเจ้าหริภุญชัย และถวายเพื่อเคารพสักการะพระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งเมืองลำพูน ภายใต้คติความเชื่อว่าการแขวนโคมพร้อมดวงไฟ นอกจากจะแสดงออกถึงความเคารพบูชาตามคติความเชื่อของชาวล้านนา ยังจะช่วยให้ใจเราสว่าง เกิดสติปัญญา คิดอะไรก็สมปรารถนา ประสบผลสำเร็จ ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 16-22 พฤศจิกายน ณ วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร และอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี
การเดินทางไปพระธาตุหริภุญชัยให้ใช้ถนนเจริญราษฎร์ ขับมาตามทางเรื่อยๆ วัดจะตั้งอยู่ริมถนน ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 200 เมตร
อีกหนึ่งจุดที่พวกเราหมายมั่นปั้นมือว่าต้องไปให้ได้คือ “ทะเลสาบแม่ปิง” กับความสวยสงบของแม่น้ำที่มีภูเขาล้อมรอบ ขอย้อนไปถึงสาเหตุหลักที่ว่าทำไมมาลำพูน พวกเราถึงเจาะจงปักหมุดเลือกให้ที่นี่คือไฮไลท์เด่นของทริป นั่นก็เพราะทุกคนเคยตกหลุมรักบรรยากาศนี้ผ่านภาพยนตร์เรื่องคิดถึงวิทยากับโรงเรียนกลางน้ำที่มองไปทางไหนก็ชวนให้รู้สึกเย็นใจ เมื่อได้มาถึงจริงๆ บอกได้คำเดียวว่าสวยกว่าที่คิด ธรรมชาติปรุงแต่งทุกอย่างไว้ลงตัวมาก
หลังจบจากการล่องเรือพวกเราก็ขับรถเที่ยวกันต่อใน “อุทยานแห่งชาติแม่ปิง” โดยมีแผนจะนอนเต้นท์ค้างที่นี่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ “จุดชมวิวผาแดงหลวง” ระหว่างทางแวะเที่ยว “น้ำตกก้อหลวง” น้ำตกที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดของอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ด้วยความสวยงามของหินงอกหินย้อย และความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปกคลุมอย่างได้จังหวะทำให้ในช่วงที่มีแดด แสงอาทิตย์จะตกลงมายังน้ำด้านล่างที่เป็นสีฟ้าใสให้เส้นแสงที่สวยราวกับจับวาด พอตกกลางคืน กางเต้นท์และอาบน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาจัดการกับอาหารที่เตรียมขึ้นมาพร้อมกับหมู่ดาวที่เต็มท้องฟ้า ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้านอนเพื่อตื่นแต่เช้าตรู่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่เช้านี้ฟ้าเปิด ยิ่งพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามากขึ้นเท่าไหร่ ที่นี่ก็ยิ่งสวยมากขึ้นกว่าเดิมเป็นทบทวีคูณ
แสงแรกของวันนี้สวยคุ้มค่าเหลือเกิน...
การเดินทางมาที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิงให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 106 แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 1087 จากนั้นขับต่อไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตรจะถึงที่ทำการอุทยาน
ลัดเลาะมากันต่อที่ “ชุมชนวัดพระบาทห้วยต้ม” ชุมชนนี้น่ารักและมีเอกลักษณ์อยู่ตรงการรับประทานมังสวิรัติทั้งหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ทั้งเสื้อผ้า การแต่งกาย และภาษาที่ใช้ อาชีพหลักของคนที่นี่คือการทอผ้าแบบโบราณด้วยลวดลายที่เป็นแบบเฉพาะของชุมชน ซึ่งสวยจนพวกเราอดใจไม่ได้ต้องอุดหนุนติดไม้ติดมือกันมาคนละหลายผืน
ชาวบ้านแถบนั้นเล่าสมัยก่อนที่นี่ขาดแคลนอย่างหนัก ไม่ได้มีอาชีพทำมาหากินกันอย่างทุกวันนี้จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2521 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดุลยเดชได้เสด็จฯ เยี่ยมเยียนจึงรับหมู่บ้านนี้ให้อยู่ภายใต้การดูแลของโครงการหลวงแต่นั้นเป็นต้นมา
ตลาดของชุมชนที่นี่ก็น่าสนใจ เพราะมีของกินของใช้ให้เลือกมากมาย แต่แน่นอนว่าของกินทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ!
ชุมชนวัดพระบาทห้วยต้มตั้งอยู่ที่ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
ภาพจาก www.facebook.com/chaokuoymookdaalamphun
ถึงเวลาหาของกิน พวกเรามุ่งหน้าตรงไปที่ “เฉาก๊วยมุกดา” ร้านที่รีวิวไหนๆ หรือไม่ว่าใครก็ตามที่เคยมาลำพูนจะย้ำนักย้ำหนาว่าต้องกินให้ได้เพราะนี่คือเฉาก๊วยที่อร่อยที่สุดในสามโลกเมื่อไปถึงก็บอกเลยว่าที่นี่ไม่กินไม่ได้แล้ว เพราะคนต่อคิวกันยาวจนกระตุ้มต่อมอยากรู้ให้ต้องลองให้ได้ ซึ่งแค่คำแรกก็ฟินจริงๆ ด้วยความเข้มข้นของน้ำตาลทรายแดง นมข้นจืดที่ผสมกันอย่างลงตัวแกล้มด้วยเฉาก๊วยหนึบ ยิ่งเข้ากันจนต้องเบิ้ลแก้วสองต่อเลย
เฉาก๊วยมุกดาตั้งอยู่ภายในวัดพระธาตุหริภุญชัย หาไม่ยาก เอาเข้าจริงแค่สังเกตคนหน้าร้านก็เจอแล้ว
ภาพจากร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย (เวียงยอง)
ของหวานจบ แต่ของคาวยังไม่เริ่ม พวกเราวนมาต่อกันที่ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไยของแปลกที่กลายเป็นของดีประจำถิ่นลำพูนกับความหวานเฉพาะตัวของลำไยที่เข้ากันได้อย่างดีกับเครื่องพะโล้และสูตรพิเศษ โดยเมนูนี้มีให้เลือกกันแทบทุกร้าน เป็นความสุขที่ปิดท้ายก่อนจบทริปขึ้นเครื่องกลับบ้านได้ฟินมาก
ลำพูนครั้งเดียวคงไม่พอ นี่คือความคิดที่ชัดเจนระหว่างเดินทางกลับ ไม่ใช่แค่ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือจังหวัดนี้ต่อให้ไปซ้ำอีกกี่ครั้งก็ไม่มีทางเบื่อแน่นอน
(Advertorial)