ชวนใส่ผ้าไหมแพรวา เดินหารอยเท้าไดโนเสาร์กันที่ “กาฬสินธุ์”
ถ้าการท่องเที่ยวสำหรับคุณไม่ได้หมายถึงการนอนอยู่นิ่งๆ และตัดขาดจากโลกโซเชียลแบบสิ้นเชิง แต่คือการได้เปิดประสบการณ์ใหม่เพื่อมองโลกมุมเดิมด้วยสายตาที่ต่างไป เราเชื่อว่าคุณจะสนุกกับการเที่ยว “กาฬสินธุ์” จังหวัดที่จะทำให้ได้ประจักษ์ชัดถึงสิ่งมีชีวิตเมื่ออดีตกว่า 130 ล้านปีที่ผ่านมาว่าเป็นเรื่องจริงกับรอยเท้าและซากฟอสซิลไดโนเสาร์หลายสายพันธุ์
ทันทีที่ผลักประตูเข้าสู่ “พิพิธภัณฑ์สิรินธร” เหมือนเรานั่งไทม์แมชชีนข้ามผ่านกาลเวลากลับไปสู่โลกเมื่อ 130 ล้านปีที่แล้ว หรือหลุดเข้าไปสู่โลกของภาพยนตร์เรื่องจูราสิคพาร์ค เพราะมีทั้งรูปปั้นไดโนเสาร์ขนาดเท่าของจริงตั้งตระหง่านรอต้อนรับ รวมไปถึงซากโครงกระดูกที่ถูกจับแขวนเพื่อให้เห็นถึงสรีระของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่แบบที่ไม่ต้องเทียบกับอะไรให้ยุ่งยาก
ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์ที่ครบวงจรทั้งแสง สี เสียง และความตระการตาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ทว่าที่นี่ยังมีความสำคัญกว่านั้น เพราะตรงบริเวณที่พิพิธภัณฑ์สร้างทับคือจุดที่เคยขุดพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์กินพืชเกือบทั้งตัว มีความสูงประมาณ 240 เมตร โดยนักวิชาการตั้งข้อสันนิษฐานว่าจุดนี้อาจเคยเป็นธารน้ำแข็งที่มีไดโนเสาร์มาดื่มกินน้ำเป็นประจำ แต่เนื่องจากเกิดภัยพิบัติเฉียบพลันขึ้นส่งผลให้ไดโนเสาร์จำนวนมากต้องล้มตาย
เราใช้เวลาอยู่ในนี้กันนานกว่าครึ่งวันกับ 8 โซนสำคัญที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดไว้อย่างเป็นระบบ เที่ยวที่นี่นอกจากจะทำให้ได้รู้จักกับไดโนเสาร์มากขึ้น ยังทำให้เรารู้สึกอยากดูแลโลกใบนี้ให้ดีกว่าเดิม เพราะกว่าร้อยปีมาแล้วที่โลกใบนี้ตั้งตระหง่านคอยดูแลสิ่งมีชีวิตที่ผลัดเปลี่ยนกันถือกำเนิดขึ้นมา ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะต้องดูแลเขาบ้าง เพราะถ้าเทียบเป็นอายุขัยของคน โลกใบนี้ก็เข้าข่ายผู้สูงอายุที่ควรได้รับการใส่ใจ ไม่ใช่ทอดทิ้ง
การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์สิรินธร ให้ใช้เส้นทางกาฬสินธุ์-สหัสขันธ์ ทางหลวงหมายเลข 227 ขับตรงยาวประมาณ 28 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาจะถึงพิพิธภัณฑ์ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลโนนบุรี
ไปต่อกันที่ “สะพานเทพสุดา” สะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศไทยกับระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สำหรับคนชอบถ่ายรูปแนะนำเลยว่าให้มาตอนเย็น เพราะแสงตอนเย็นก่อนพระอาทิตย์จะตกสวยมาก เหมาะกับการถ่ายภาพแบบซิลลูเอทหรือย้อนแสงนิดๆ แถมจากจุดนี้ยังสามารถดูพระอาทิตย์ตกโดยมีอ่างเก็บน้ำลำปาวเป็นฉากหลังได้อีกด้วย
นอกจากจะถ่ายรูปสวยแล้ว สะพานเทพสุดายังมีความสำคัญอย่างมากเพราะถือเป็นประตูสู่อินโดจีน ถ้าใช้เส้นทางหนองคาย อุดรธานี ผ่านกาฬสินธุ์ไปยังมุกดาหารจะย่นระยะทางได้มากกว่า 100 กิโลเมตร
พิกัด: สะพานเทพสุดาตั้องยู่ในอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
แน่นอนว่ามาอยู่กันที่ภาคอีสานก็ต้องแวะเที่ยวอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนประจำถิ่น สำหรับกาฬสินธุ์คือ “เขื่อนลำปาว” เขื่อนดินที่สามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 1,430 ล้านลูกบาศ์กเมตร นอกจากจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาสำคัญ ที่นี่ยังเป็นเหมือนสวรรค์ของคนท้องถิ่นกับการได้มีชายหาดให้ลงเล่นน้ำแบบไม่ต้องเดินทางไกลข้ามจังหวัด และด้วยความที่สันเขื่อนมีความยาวถึง 8 กิโลเมตรทำให้ #สายวิ่ง นิยมมาออกกำลังกายกันเป็นประจำ
เขื่อนลำปาวตั้งอยู่ในเขตอำเภอสหัสขันธ์ อำเภอคำม่วง และอำเภอลาดยาง ซึ่งอยู่ห่างออกมาจากอำเภอเมืองประมาณ 36 กิโลเมตร
ภาพจาก www.facebook.com/Huanfai.Maipraewa
มาถึงกาฬสินธุ์ทั้งทีก็ต้องมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปหน่อย ของที่ถูกเน้นย้ำจากผู้รู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการท่องเที่ยวว่าต้องซื้อไปให้ได้คือ“ผ้าไหมแพรวา” ภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนที่นี่ ซึ่งทำให้ผ้ามีเอกลักษณ์ที่แตกต่างทั้งลวดลาย ความละเอียด เฉดสี ความมีระเบียบในการสอดเส้นไหม ความเรียบ และความเงางามของผืนผ้า คนโบราณนิยมนำผ้าแพรวาไปทำเป็นสไบห่มเฉียงสำหรับนุ่งไปวัด หรือตัดเป็นผ้าปูสำหรับกราบพระ ส่วนปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนทอผ้าให้หน้ากว้างขึ้นเพื่อจะได้เอามาประยุกต์ตัดเป็นชุดสำหรับใส่ได้
พิกัด: ครั้งนี้เราไปเลือกซื้อผ้าไหมแพรวากันที่เฮือนฝ้าย ไหมแพรวา ตำบลหนองช้าง อำเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์
ไปบ้านไหนเมืองไหนขาดไม่ได้ต้องแวะสักการะพระคู่บ้านคู่เมือง จุดหมายของเราจึงมุ่งไปที่ “วัดวังคำ” วัดที่ได้รับอิทธิพลในการก่อสร้างแบบล้านช้าง ซึ่งถือเป็นอาณาจักรโบราณในแถบลุ่มน้ำโขง โบสถ์มีหลังคามุข 3 ชั้น มีฉัตรตรงกลาง 9 ยอด หลังด้านข้างโค้งยาวลงหลั่นเล่นระดับสวยงาม ด้านในศาลาการเปรียญหลังใหญ่มีพระประธานคือหลวงปู่วังคำให้ได้กราบไหว้ขอพร
การเดินทางไปวัดวังคำให้ใช้ถนนหลวงหมายเลข 12 แล้วต่อไปที่ถนนหมายเลข 2042 ตรงไปยังอำเภอกุฉินารายณ์ เลี้ยวขวาเข้า 2291 ตรงไปอีก 20 กิโลเมตรจะถึงวัดวังคำ
“พระธาตุยาคู” คือโบราณสถานที่ไม่ไปไม่ได้จริงๆ เพราะถือเป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองฟ้าแดดสงยางยุคอดีต ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านเชื่อกันว่าในองค์พระธาตุบรรจุอัฐิของพระเถระผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองเคารพนับถือ
การเดินทางให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 214 ประมาณ 19 กิโลเมตร จากนั้นขับไปตามถนนหน้าโรงเรียนกมลาไสยอีกประมาณ 6 กิโลเมตรจะถึงบริเวณที่ตั้งพระธาตุ
ภาพจาก www.facebook.com/cowboylao/
ปิดท้ายก่อนกลับกันที่ “เฮือนกาฬสินธุ์ สวนดอนธรรม” ร้านอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งไม่ได้เด็ดแค่รสชาติแซ่บๆ สไตล์อีสานแท้ แต่บรรยากาศยังสวยงามท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย
พิกัด: เฮือนกาฬสินธุ์ สวนดอนธรรม ตั้งอยู่ที่บ้านสะอาดใต้ ภายในสวนดอนธรรม ตำบลเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์
อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อมาถึงกาฬสินธุ์คือรอยยิ้มและมิตรภาพของคนที่นี่ ทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้งให้คำแนะนำ บอกจุดที่ต้องไป อะไรที่ห้ามพลาด และเชิญชวนให้กลับมาอีกบ่อยๆ เป็นความประทับใจที่ทำให้กาฬสินธุ์กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ
(Advertorial)