เยือนย่านเมืองเก่า “นางาซากิ” กับภารกิจเดินตาม (หา) หัวใจ และผู้ชายขายกุหลาบ
เมื่อรู้ว่าจุดหมายหนึ่งของทริปเที่ยวเกาะคิวชูครั้งนี้คือการไปเยือนเมืองนางาซากิ เมืองที่มีบาดแผลจากโศกนาฏกรรมระเบิดนิวเคลียร์เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะวัน เวลาที่ผ่านมากว่า 70 ปี และเราเป็นเพียงนักเดินทางต่างแดน จึงจินตนาการบรรยากาศของเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ประวัติศาสตร์บนความเจ็บปวด ความโศกเศร้าแห่งนี้ไม่ออกเลยว่า วันนี้นางาซากิจะเป็นอย่างไร
หลังเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม เช้านี้เป็นอีกเช้าที่อากาศเย็นจัด เรานั่งรถบัสขนาดเล็กออกจากโรงแรมไปในตัวเมืองนางาซากิเพื่อรอไกด์ท้องที่นำเที่ยว สักพักคุณลุงไกด์พร้อมทีมงานก็พาเดินชมเมืองนางาซากิยามเช้า ผู้คนยังไม่พลุกพล่าน บรรยากาศโดยรอบออกจะเงียบ สงบ ยิ่งทางเดินขนาบด้วยแม่น้ำนาคาจิมะขนาดย่อมๆ ที่มีสะพานหิน Megane-Bashi หรือนักท่องเที่ยวเรียกกันง่ายๆ ตามลักษณะภายนอกว่า สะพานแว่นตา เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ ยิ่งทำให้รู้สึกว่านางาซากิเป็นเมืองน่ามาพักผ่อน
สะพานหินแห่งนี้เป็นสะพานหินแห่งแรกของญี่ปุ่นเพราะถูกสร้างขึ้นเมื่อกว่า 300 ปีก่อนเพื่ออำนวยความสะดวกให้สามารถใช้แม่น้ำนาคาจิมะที่ไหลผ่านได้สะดวกยิ่งขึ้น แม้ต่อมาจะมีการสร้างสะพานหินเพิ่มมากขึ้นแต่สะพานแห่งนี้ยังคงมีความสวยงามติดอันดับ 1 ใน 3 ของสะพานหินที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น
ไม่เพียงเพราะความงดงามของสะพานหินแห่งนี้เท่านั้นที่ถูกพูดถึง แต่หินรูปหัวใจจำนวน 5 ก้อนซึ่งซ่อนไว้ทั่วบริเวณทำนบกั้นน้ำด้านข้างสะพานก็กลายเป็นจุดสำคัญให้คนญี่ปุ่นหรือนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาอธิษฐานให้ความรักสมหวัง วิธีการขอพรก็คือเมื่อเจอก้อนหินรูปหัวใจแล้วให้เอามือลูบหินก้อนนั้นแล้วอธิษฐาน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความสนุกยามเช้าประจำทริป ที่ทุกคนพยายามเดินตามหาหินรูปหัวใจให้ครบทั้งหมด 5 ก้อน
ในระหว่างที่เดินหาหินรูปหัวใจอยู่นั้น สังเกตเห็นกลุ่มเด็กนักเรียน กลุ่มวัยรุ่น คู่รักต่างเดินมาถ่ายภาพบริเวณสะพาน บ้างก็เดินข้ามก้อนหินระหว่างแม่น้ำยืนโพสต์ทำท่าแว่นตาตามชื่อสะพาน คุณลุงไกด์บอกว่าเมืองนางาซากินั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความรัก ถ้าเรามีเวลาเดินไปตามที่ต่างๆ และช่างสังเกตอยู่สักหน่อยก็จะเจอรูปหัวใจอยู่ตามจุดต่างๆ ของเมือง
ไม่นานเราสังเกตเห็นกลุ่มเด็กนักเรียนยืนล้อมรถเข็นคันหนึ่งที่จอดอยู่บริเวณทางเดิน พอเข้าไปดูใกล้ๆ กลับเป็นรถเข็นขายไอศกรีมทั่วไป ความน่าสนใจของไอศกรีมรถเข็นคันนี้คือเป็นไอศกรีมรูปดอกกุหลาบ ตัวไอศกรีมทำจากนม และทำขายมาตั้งแต่รุ่นคุณย่า ตอนนี้ตกทอดสู่หลานชายที่ดูแล้วอายุน่าจะยังไม่ถึง 20 เป็นคนขาย โดยเขาจะตระเวนเข็นรถไอศกรีมคันนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดตั้งขายประจำ ดังนั้นถ้าใครอยากชิมไอศกรีมดอกกุหลาบต้องเสี่ยง เพราะบางวันแม้จะมาเดินเล่นที่สะพานหินแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะได้ทาน ราคาขายตกอยู่ที่โคนละประมาณ 50 บาท แม้จะราคาสูงไปสักหน่อย แต่เวลาไปเที่ยวเราควรลองทานอาหารที่มีเรื่องราวไว้เล่าต่อให้กลายเป็นความประทับใจก็ดีเหมือนกัน
จากสะพานเราข้ามถนนเล็กๆ ไปยังย่านเมืองเก่า ไฮไลท์สำคัญของย่านนี้คือถนนคนเดินขนาดเล็ก ที่เชื่อว่าสายฮิปเตอร์ หรือสายขนมหวานต้องปลื้ม เพราะแทบจะตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขนม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีร้านค้าประเภทอื่นให้ตื่นตาตื่นใจ ถนนคนเดินบริเวณนี้ดูเหมือนเป็นย่านที่พักของคนในพื้นที่ที่ออกมาเปิดร้านขายอาหาร ขนม เสื้อผ้า ของที่ระลึก ร้านรองเท้า ร้านดอกไม้ ฯลฯ ถนนเดินสะดวกสบายเพราะคนไม่ได้พลุกพล่านมาก ยิ่งได้ถ่ายภาพและเดินชิมขนมไปด้วยตลอดทางยิ่งมีความสุข
สำหรับบรรยากาศบริเวณถนนคนเดินบริเวณนี้หากใครนึกภาพไม่ออก อยากให้ลองนึกถึงถนนเรียบริมแม่น้ำจันทบูร ในจังหวัดจันทบุรีบ้านเราที่มีร้านขนม ร้านอาหาร คาเฟ่น่านั่ง ตกแต่งน่ารักเปิดทั้งสองข้างทาง เพียงแต่ถนนที่นี่ไม่ได้เปิดให้รถสัญจร เราจึงเดินชิลกันได้สบาย สบาย และถ้าใครคิดพิสูจน์ตัวเองด้วยการชิมขนมทุกร้านตลอดถนนทั้งเส้นแล้วละก็ ขอแนะนำว่าถ้าไม่ใช่สายหวานตัวจริงควรยกธงยอมแพ้ เพราะขนมทุกร้านหวานชนิดลืมไม่ลง
สองเท้าลัดเลาะไปตามตรอก ซอก ซอยต่างๆ นอกจากเพลินไปกับร้านและสไตล์การตกแต่งร้านน่ารักของคนนางาซากิแล้ว ยังได้เห็นความใส่ใจในรายละเอียด หรือความเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบคนญี่ปุ่น เพราะแม้กระทั่งฝาท่อระบายน้ำบนถนนก็ยังมีสัญลักษณ์ รูปภาพต่างๆ ไว้ให้เก็บเป็นภาพแห่งความประทับใจตลอดการเดินเที่ยวได้แบบไม่รู้สึกเบื่อ
เดินเล่นตั้งแต่เช้า ใช้พลังงานไปค่อนข้างเยอะ จนท้องเริ่มหิว เราจึงเดินข้ามไปยังฝั่งไชน่าทาวน์หรือ Nagasaki Chinatown Shinchi เพื่อทานมื้อเที่ยง ย่านนี้เป็นย่านการค้าชื่อดังและเป็น 1 ใน 3 ไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งด้วยขนาดที่ทำให้เดินจนเมื่อยและความเป็นไชน่าทาวน์เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ร้านอาหารจีนที่เราเลือกฝากท้องเป็นร้านอาหารจีนซึ่งตั้งอยู่ร้านแรกตรงบริเวณทางเข้าไชน่าทาวน์
พอเข้าไปในร้านรู้สึกแปลกตาอยู่สักพักเพราะสไตล์การตกแต่งร้านนั้นเป็นการตกแต่งสไตล์จีนแท้ๆ จนทำให้ลืมไปเลยว่าเราอยู่ในญี่ปุ่น ในร้านมีเมนูให้เลือกสั่งหลายเมนูแต่ถ้าจะเรียกว่ามาถึงนางาซากิขนานแท้ต้องสั่งบะหมี่จัมปง หรือบะหมี่ในน้ำซุปข้นแบบราดหน้า ถือเป็นอาหารต้นตำรับของเมืองแห่งนี้ น้ำซุปอร่อยกลมกล่อมจากซุปกระดูกหมูและไก่ ย่านไชน่าทาวน์ที่นางาซากิจึงเป็นย่านที่น่าเดินเล่นได้อย่างเพลิดเพลินที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ออกจากร้านอาหารจีนเรายังคงพอมีเวลาก่อนจะขึ้นรถบัสต่อไปยังจุดท่องเที่ยวถัดไป ตลอดสองข้างในไชน่าทาวน์นั้นอย่าว่าแต่เพียงสินค้าที่ขายเลย สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากคือการตกแต่งร้านค้าก็มีความเป็นจีนชัดเจนมาก เหมือนเดินข้ามมาอีกฝั่งประเทศเลยก็ว่าได้
พอขึ้นมานั่งบนรถบัสเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังจุดท่องเที่ยวถัดไป ก็รู้สึกว่าเมืองนางาซากินั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เที่ยวได้ง่ายๆ เหมาะสำหรับนักเดินทางผู้ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว และชอบเดินเที่ยวสำรวจไลฟ์สไตล์ผู้คน ไม่เน้นเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์ก โดยเฉพาะย่านถนนคนเดินนั้น ถ้าจะลองหาโฮสเทลราคาไม่แพงพัก แล้วเดินเที่ยวด้วยตัวเองก็น่าจะทำได้
สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังเมืองนางาซากินั้น หากมาลงที่สนามบินฟุกุโอกะก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ นอกจากจะบินตรงไปลงที่สนามบินนางาซากิ เพราะจากสนามบินมีบริการรถบัส Kyushugo ซึ่งสามารถซื้อตั๋วได้ที่สนามบินเลย หรือจะเดินทางด้วยรถไฟ JR ก็ได้เช่นกัน โดยถ้าเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีโตเกียวจะใช้เวลาประมาณ 7 ชม. ถ้าจากสถานีเกียวโตจะใช้เวลาประมาณ 4 ชม. 50 นาที จากสถานีโอซาก้าจะใช้เวลาประมาณ 4 ชม.30 นาที จากสถานีฮิโรชิมาจะใช้เวลาประมาณ 3 ชม. และจากสถานีฮากาตะจะใช้เวลาเพียง 1 ชม. 50 นาทีเท่านั้น
หากทริปหน้าของคุณคือการเยือนญี่ปุ่น และอยากลองเส้นทาง หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่มอบความรู้สึกใหม่ๆ แตกต่างไปจากเมืองหลักยอดนิยม นางาซากิเป็นอีกจุดหมายที่อยากแนะนำโดยเฉพาะย่านเมืองเก่า อยากให้คุณลองมาเดินตามหาหัวใจที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ของเมือง และไปทำความรู้จักกับชายผู้ขายไอศกรีมกุหลาบ ก็น่าจะเป็นอีกประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในความทรงจำ
อัลบั้มภาพ 29 ภาพ