“คิวชู” 10 พิกัดลับ ฉบับคนไทย (อาจ) ไม่เคยปักหมุด
ถ้าไปญี่ปุ่นเราก็จะมีลิสต์เมืองในใจที่คุ้นเคยอยู่ไม่กี่เมืองไม่ว่าจะเป็นโตเกียว เกียวโต โอซากา มีระยะหลังๆ ที่คนไทยเริ่มไปเที่ยวเมืองอื่นบ้าง สำหรับคิวชูนั้นบอกตามตรงเคยได้ยินแค่ชื่อ แต่ไม่มีข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้อยู่เลย
คิวชูเป็นชื่อเกาะหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 อยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ภายในเกาะแห่งนี้มีเมืองน่าเที่ยว และสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย รวมทั้งอาหารยังมีร้านอร่อยติดอันดับมิชลินสตาร์ เรียกได้ว่าถ้าครั้งหน้าคิดจะเที่ยวญี่ปุ่น การเปลี่ยนมาเที่ยวคิวชูน่าจะเป็นอีกทางเลือกน่าสนใจ โดยเฉพาะใครที่เบื่อว่าไปญี่ปุ่นทีไรเจอแต่คนไทย รับรองมาเที่ยวคิวชู คุณจะได้เจอคนไทยน้อยมาก เพราะสถานที่ส่วนใหญ่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก
สำหรับ 10 สถานที่พิกัดลับที่ยกตัวอย่างมานี้ ก็ล้วนเป็นสถานที่ที่คนไทยอาจยังไม่ค่อยเคยไปเที่ยวกันสักเท่าไร ครั้งหน้าถ้ามีแผนเที่ยวญี่ปุ่น ลองไปสัมผัสเสน่ห์เกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่นที่ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองสวยงาม ซึ่งบางครั้งคิดว่าไม่ได้อยู่ในญี่ปุ่น แต่อยู่แถบยุโรปด้วยซ้ำ แม้ข้าวของให้ช้อปปิ้งอาจไม่จุใจ แต่รับรองฟินกลับมาเพราะบรรยากาศ ทัศนียภาพ รสชาติอาหาร และความน่ารักของคนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
Seigetu-an ร้านอาหารเจระดับมิชลินสตาร์
เป็นมื้อเช้ามื้อแรกในจังหวัดโออิตะ เมืองอูซุกิ ที่สร้างความประทับใจให้ไม่น้อย เพราะนอกจากจะเป็นร้านอาหารเจที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการเริ่มต้นในคิวชูแบบใส ใสแล้ว ร้านอาหารเล็กๆ ร้านนี้ยังซ่อนตัวอยู่ภายในบริเวณปราสาทเก่าของวัดนิกายเซน ถ้าตั้งใจเดินทางไป อาจต้องเดินเท้าจากที่จอดรถตรงปากทางอยู่สักหน่อย แต่ก็คุ้มในการไปเยือนเพราะเป็นร้านอาหารเจเล็กๆ ที่มอบบรรยากาศเหมือนไปทานอาหารบ้านคนรู้จัก
ที่น่าสนใจคือพระเป็นผู้ปรุงอาหาร ซึ่งผ่านการฝึกฝนฝีมือมานานจากรุ่นสู่รุ่น ถึงวันนี้ก็นานกว่า 60 ปี และล่าสุดเพิ่งได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวในปีที่ผ่านมา แม้เมนูเซ็ทอาหารเจที่เราได้รับประทานจะเป็นเซ็ทเล็กสุด แต่เจ้าของร้านก็ทยอยเสิร์ฟอาหารมาเต็มโต๊ะ ทั้งมันทอด ผักดอง เต้าหู้ น้ำซุปที่ซดแล้วคล่องคอ ถึงวันนี้ยังจำความรู้สึกหลังทานได้เลยว่ารู้สึกสดชื่น และร่างกายเย็น เย็น
อาหารเจลักษณะนี้เรียกว่า โชจินเรียวริ เดิมคืออาหารเจหรือมังสวิรัติแบบญี่ปุ่นที่รับประทานในวัด และสำหรับพระญี่ปุ่นหรือผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเท่านั้น แต่ทุกวันนี้คนทั่วไป หรือนักท่องเที่ยวก็สามารถหาทานได้ ที่เห็นว่าอาหารเจที่ร้านนี้สีสันจัดจ้านไม่ได้สีซีดจนทำให้ไม่น่ารับประทาน นั่นเป็นเพราะผู้ประกอบอาหารจะยึดกฎ 5 ข้อ นั่นคือทุกมื้อต้องประกอบด้วย 5 สี (เขียว เหลือง แดง ดำ และขาว) รวมถึงต้องมี 5 รสชาติ (หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และอุมามิ หรืออร่อย) จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรู้สึกเพลิดเพลินระหว่างการรับประทาน อีกทั้งอาหารบนโต๊ะยังสร้างสมดุลให้ร่างกายในแต่ละฤดูกาลด้วย
Tsukumi Dolphin Island เกาะแห่งโลมา ปลาดาว เพนกวิน
จริงๆ ไม่ใช่สายรักสัตว์ แต่เมื่อมีโอกาสไปที่ Tsukumi Dolphin Island ในเมืองสึคุมิ ต้องบอกเลยว่าความน่ารักแสนรู้ของเหล่าโลมา ทำให้รู้สึกอยากไปสัมผัสแบบใกล้ชิด ตอนที่ไปถึงเหมือนเป็นรอบสุดท้ายของการโชว์ แต่ก็ยังมีโอกาสได้แตะตัวโลมาแบบตัวเป็นเป็น ใจคิดว่าผิวสัมผัสของโลมาจะสากๆ แต่เปล่าเลย ให้ความรู้สึกเหมือนจิ้มยาง มันจะแข็ง แข็ง ลื่น ลื่น การแสดงโลมาดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเด็กๆ
ความพิเศษของที่นี่คือจะมีการแสดงโชว์โลมาหลายรอบใน 1 วัน รวมทั้งสามารถปั่นเรือให้อาหารโลมา ถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูร้อนกิจกรรมที่น่าสนใจคลายร้อนได้เป็นอย่างดีคือว่ายน้ำกับโลมา แต่ตอนที่เราไปอากาศเย็นเลยต้องเว้นกิจกรรมนี้ไป แต่ก็ยังได้จับ แตะ จับมือหรือครีบโลมา นอกจากโลมาแล้วที่นี่ยังมีเพนกวิน ปลาดาว ให้ดูแบบใกล้ชิดอีกด้วย ที่สำคัญไม่เจอคนไทยเลยสักคน แสดงว่า Unseen สุด สุดไปเลย
แปลงโฉมเป็นชาวญี่ปุ่น ที่เมืองซามูไร Kitsuki Waraku-en
อีกโปรแกรมสำคัญของทริปที่รอคอย นั่นคือการแต่งชุดกิโมโนเดินชมเมืองซามูไร หรือเมืองคิสึกิ เมืองแห่งปราสาทที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น “เมืองประวัติศาสตร์ที่เหมาะกับการใส่ชุดกิโมโน” อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น เพราะเป็นย่านที่เต็มไปด้วยเนินต่างๆ เป็นลักษณะภูมิทัศน์ที่หาชมได้ยากหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น โดยได้รับฉายาว่าเป็นเมืองแห่งปราสาทรูปแซนด์วิช เพราะบ้านซามูไรที่อยู่บนเนินทางตอนเหนือและใต้ขนายข้างย่านการค้าที่อยู่ในหุบเขา
สำหรับร้านให้เช่าชุดที่อยู่ในบริเวณนั้นคือร้านวาระกุอัน ซึ่งมีชุดกิโมโนให้เลือกประมาณ 300 ชุด ซึ่งในร้านยังมีช่างมืออาชีพคอยแปลงโฉมให้ทุกคนสวย หล่อในชุดกิโมโน เมื่อชุดพร้อม ก็ต้องออกไปโชว์ตัวเดินในเมืองซามูไรกันสักหน่อย โดยเฉพาะจุดไฮไลท์สำคัญที่ไม่ว่าใครก็จะต้องไปเก็บภาพบริเวณนี้นั่นคือ เนินซูยะโนะสะคะ และเนินซิโอยะโนะสะคะ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นที่ใช้ถ่ายทำละครทีวี และโฆษณาอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากเนินไฮไลท์ที่ว่านั่นแล้ว ยังมีโอกาสผ่านถนนหน้าบ้านซามูไรคิตะได เป็นถนนที่ซามูไรเคยใช้เดินผ่านมีบรรยากาศชวนให้นึกถึงสมัยเอโดะ ส่วนบ้านตระกูลโอฮาระคือบ้านที่เรามีโอกาสเข้าไปเยือน บ้านซามูไรตระกูลนี้เป็นตระกูลชั้นนำในสมัยเอโดะ ภายในบ้านมีสวนญี่ปุ่นอันสวยงาม และมีดาบญี่ปุ่นที่พร้อมให้เป็นพร็อพสำหรับถ่ายภาพสไตล์ซามูไร
เติมพลังแห่งความกล้าที่ศาลเจ้า Usa
นับเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ทรงพลังเพราะเรามีโอกาสได้ไปเยือนศาลเจ้ายูซะ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดโออิตะ ว่ากันว่าเป็นศาลเจ้าที่ทรงอิทธิพลต่อศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นภายในแหลมคูนิซากิ ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางของศาลเจ้าเพื่อบูชาเทพฮะชิแมนซึ่งเป็นเทพแห่งการยิงธนูและสงคราม พื้นที่ภายในศาลเจ้านั้นกว้างขวางและร่มรื่นมาก ช่วงเวลาที่ไปอากาศค่อนข้างเย็น มีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาท่องเที่ยว ภายในนอกจากจุดไหว้เทพเจ้าแล้วยังมีต้นไม้ใหญ่ที่ว่ากันว่าหากใครได้กอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้แล้วจะได้รับพลัง จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีเหล่านักกีฬาซูโม่และนักร้องมาขอพรที่นี่กันเป็นจำนวนมาก โดยพรที่ขอก็เพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จ
เสน่ห์ลึกลับทะลุมิติ ศาลเจ้า Kamishikimi Kumanoimasu
จะบอกว่าเป็นเพราะศาลเจ้าแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ที่ทำให้คิดอยากรวบรวมพิกัดลับแบบที่คนไทยอาจไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยว แม้วันที่เดินทางไปถึงเราจะมีเวลาน้อยและไม่สามารถเดินเข้าไปจนถึงตัวศาลเจ้าด้านในได้ แต่เพียงแค่บรรยากาศด้านนอกก็ทำให้เชื่อแล้วว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีเสน่ห์ทำให้เรารู้สึกเหมือนทะลุไปอีกมิติหนึ่งเลยจริงๆ สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้วเชื่อว่าศาลเจ้าลึกลับแห่งนี้เป็น Power Spot หรือสถานที่แห่งความผ่อนคลายและรับพลังกับความโชคดี แต่สำหรับใครที่อยากไปเที่ยวที่ศาลเจ้าแห่งนี้ เนื่องจากมีบันไดหลายขั้นทอดยาว หากคิดจะเดินเข้าไปควรใส่รองเท้าเดินป่าเข้าไปจะดีกว่ารองเท้าแตะ เพราะอาจทำให้ลื่นล้มได้ เนื่องจากบริเวณทางเดินมีมอสเขียวขึ้นครึ้มไปทั่วบริเวณ
เด็ดผลไม้ทานสดจากสวนที่ Kankonouen Kichijien
ในจังหวัดคุมาโมโตะแห่งคิวชูนั้น สวนผลไม้แห่งนี้เป็นสวนผลไม้เพื่อการท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเก็บผลไม้ที่ปลูกภายในสวนได้ โดยมีผลไม้หลากหลายทั้งสตอเบอรี่ ส้ม แอปเปิ้ล สาลี่ องุ่น ซึ่งกิจกรรมการเก็บผลไม้นั้นได้รับความนิยมมาก โดยทางสวนนั้นแบ่งรูปแบบการเก็บผลไม้ซึ่งมีทั้งแบบบุฟเฟ่ต์ หรือคอร์สเก็บเพื่อซื้อกลับบ้านตามจำนวนที่เก็บมาได้ นอกจากกิจกรรมการเก็บผลไม้แล้วทางสวนยังมีคาเฟ่เครื่องดื่ม และขนมหวานที่ใช้ผลไม้จากสวนมาเป็นวัตถุดิบหลัก ดังนั้นถ้าใครไม่อยากไปเก็บผลไม้ก็นั่งกินขนม เครื่องดื่มในร้านชิลๆ รอก็ยังได้ ที่สำคัญผลไม้ของที่นี่ปลอดสารพิษ เพราะตอนที่ไปเดินเที่ยวสวนสตอเบอรี่นั้น เจ้าของสวนบอกให้เด็ดสตอเบอรี่ทานได้เลยไม่ต้องกังวลเรื่องยา หรือสารเคมี
มื้อเย็นอันรื่นรมย์ Sakura-an ร้านมิชลินสตาร์
เป็นลาภปากอีกแล้วสำหรับมื้อเย็นแรกในเมืองคุมาโมโตะ เพราะร้านนี้เพิ่งได้มิชลินสตาร์ 1 ดาวไปเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา แม้ร้านจะเป็นตึกเล็กๆ ที่ไม่กว้างนัก เมื่อเข้าไปในร้านจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศบาร์เท่ๆ ด้านล่างเป็นห้องครัวเปิดที่มีเคาน์เตอร์ให้นั่งสั่งอาหารทานได้ตรงหน้าครัวนั้นได้เลย แต่โต๊ะที่เรานั่งนั้นอยู่ชั้นบน จึงต้องเดินขึ้นบันได และเข้าไปในห้องที่จองไว้ ด้านบนแบ่งเป็นห้องย่อมๆ หลายห้อง ที่ตอนนั้นเสียงค่อนข้างดังเพราะคนญี่ปุ่นปกติหลังเลิกงานจะนิยมมานั่งดื่มกินกันอย่างสนุกสนานกันอยู่แล้ว
สำหรับอาหารที่สั่งมานั้นทยอยเสิร์ฟมาตามลำดับ ตอนแรกเห็นเมนูเสิร์ฟมามีขนาดไม่กี่ชิ้น คิดว่าจะไม่อิ่ม แต่เมื่อทานไปจะเริ่มรู้สึกอิ่มไปเอง จุดเด่นของร้านอาหารนี้คือการจัดวางอาหาร และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งถ้าใครอยากทานเนื้อม้าก็สามารถสั่งได้เช่นกัน รสชาติของอาหารที่ร้านสดใหม่ ทานแล้วรู้สึกสดชื่น จึงถือเป็นอีกหนึ่งมื้อที่น่าจดจำ อาหารที่ร้านเน้นใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล เนื้อปลาสด หวานอร่อย ส่วนเนื้อวัวนั้นก็นุ่มได้ใจคนสายเนื้อ
Sala Carina Senomoto ร้านอาหารอิตาเลียนในป่า
ตอนนั่งรถมุ่งหน้าเพื่อไปทานอาหารที่ร้านนี้ ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเพราะร้านตั้งอยู่ในป่า ที่แม้จะไม่ใช่ป่าเปลี่ยว แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีร้านอาหารมาตั้งอยู่ในป่าแบบนี้ เพราะใกล้จากแหล่งชุมชน แต่บรรยากาศร้านนั้นชนะเลิศ เพราะล้อมด้วยต้นไม้สูงระหง ยิ่งช่วงที่ไปเป็นฤดูหนาว จึงสัมผัสได้ถึงความหนาวจับใจ แต่ที่พิเศษคือวันที่เราไปนั้นร้านเปิดเพื่อคณะเราเพียงเจ้าเดียว เพราะปกติวันนั้นเป็นวันปิดร้าน
ร้านออกแบบไว้อย่างเรียบง่าย โล่งๆ มีโต๊ะให้นั่งทานทั้งด้านนอกด้านในเพียงไม่กี่โต๊ะ ร้านนี้ขายพิซซ่า และอาหารอิตาเลียน ส่วนเมนูที่ทำมาเสิร์ฟให้ทานในวันนั้นคือพิซซ่าหน้ามังสวิรัติ และสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ จริงๆ ถ้าได้ทานพิซซ่าหน้าต่างๆ ของร้านก็คงจะได้สัมผัสรสชาติที่แตกต่างมากยิ่งขึ้น
ความเหงาที่หอมหวาน Ohmisaki สถานีรถไฟใกล้ทะเลที่สุด
ใครที่ชอบแสงสี ความพลุกพล่านของผู้คน อาจรู้สึกว่าสถานีรถไฟแห่งนี้เงียบเหงาจนเกินไป หรือไม่ก็อาจจะรู้สึกว่าถ้าได้แวะลงและนั่งพักเพียงสักครู่ชมพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น จะช่วยขจัดความวุ่นวายในจิตใจให้ดีขึ้น สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ ในนางาซากิ ที่อยู่ติดทะเลอาริอาเกะและเป็นสถานีรถไฟที่อยู่ติดทะเลมากที่สุด รวมทั้งยังเป็นสถานีรถไฟที่ไม่มีนายสถานี ด้วยความที่มีโลเคชั่นติดทะเลขนาดนี้จึงทำให้บรรยากาศรอบๆ ทั้งสวย ทั้งเหงาแบบมีเสน่ห์บอกไม่ถูก โดยเฉพาะในช่วงเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้นที่นี่จะสวยงามและเป็นหนึ่งในสถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามไม่แพ้ที่อื่นนอกจากนั้นที่สถานียังมีการประดับธงสีเหลือง ซึ่งเป็นธงที่เขียนคำอธิษฐานขอพรไว้ให้สมปรารถนา เสียดายช่วงเวลาที่ไปใกล้ค่ำแล้ว จึงไม่ได้เห็นสีเหลืองของธงตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า แต่ก็ได้ภาพในบรรยากาศนิ่งๆ ยามเย็นมาให้ประทับใจในอีกแบบหนึ่ง จะบอกว่านี่คือสถานที่ที่ชื่นชอบแห่งหนึ่งของทริปนี้แม้จะไม่มีอะไรให้เก็บภาพ หรือตื่นตาตื่นใจเลยก็ตาม
เยือนเมืองเก่า “Nagasaki”
ทำไปทำมากลับชื่นชอบเสน่ห์ของเมืองนางาซากิมากที่สุด อาจเป็นเพราะเป็นเมืองที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จึงทำให้เราพอมีภาพความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้ และเมื่อมีโอกาสได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้จริงจัง ก็รู้สึกว่านางาซากิเป็นเมืองสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ซึ่งเป็นรูปแบบเมืองที่นักท่องเที่ยวบางกลุ่มน่าจะชื่นชอบ โดยเฉพาะย่านเมืองเก่าที่มีถนนคนเดินให้เดินเล่น สัมผัสชีวิตและวิถีของคนในเมืองแห่งนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเว็บไซต์ได้เคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินย่านถนนคนเดินในเมืองเก่าไปแล้ว ก็พบว่ามีสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง ร้านรวงต่างๆ ที่มีเรื่องราว อาหาร ขนมหวานตลอดเส้นทางการเดินเล่นในย่านเมืองเก่า
>> เยือนย่านเมืองเก่า “นางาซากิ” กับภารกิจเดินตาม (หา) หัวใจ และผู้ชายขายกุหลาบ
น่าจะเป็นอีก 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และกลายเป็นเป้าหมายใหม่ๆ สำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งต่อไปสำหรับทุกคนนะคะ
อัลบั้มภาพ 92 ภาพ