"ม่อนจองสีทอง" ภาพความทรงจำแสงอาทิตย์และสายหมอกสุดท้ายของปีนี้
กำลังจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้วสำหรับการเปิดให้เข้าเที่ยวชมเส้นทางเดินป่าม่อนจองของปีนี้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้นมีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มได้มีโอกาสขึ้นไปเก็บความทรงจำกับทุ่งหญ้าสีทองด้านบนม่อนจองกัน รวมถึงเราเองที่ได้โอกาสขึ้นไปพิชิตยอดดอยม่อนจองเช่นกัน จึงขอบอกเล่าภาพความทรงจำที่แสนประทับใจนี้ไว้ให้สำหรับใครที่กำลังสนใจที่จะไปไว้เป็นข้อมูลในการเตรียมตัวเดินทางในปีหน้าครับ
การเดินทางไปเที่ยวม่อนจองนั้นจากตัวเมืองเชียงใหม่สามารถนั่งรถเมล์ประจำทางไปที่อำเภออมก๋อยได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง เนื่องจากอำเภออมก๋อยนั้นถือได้ว่าเป็นอำเภอที่อยู่เกือบจะใต้สุดของเชียงใหม่เลยทีเดียวมีพื้นที่ติดกับจังหวัดตากจึงใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองค่อนข้างนาน
รถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 8.00 น. มาถึงตัวอำเภออมก๋อย 13.00 น. แล้วเราก็ได้เอาของไปเก็บและเข้าที่พักที่อำเภออมก๋อย ซึ่งขอแนะนำว่าหากใครแบ็คแพ็คมาเองแนะนำให้พักในตัวเมืองอมก๋อยก่อนสักคืนจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป ซึ่งเราได้พักกันที่อมก๋อยภูวิว รีสอร์ท ที่พักสะอาดสะอ้าน มีน้ำอุ่นให้บริการและที่เป็นไฮไลท์สำคัญเลยก็คือวิวจากห้องพักที่มองเห็นภูเขาล้อมรอบรวมไปถึงตัวเมืองอมก๋อยได้อย่างสวยงาม
ในวันต่อมาเรานัดเจ้าหน้าที่รวมถึงลูกหาบไว้ที่บ้านห้วยปูลิง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเส้นทางเดินขึ้นดอยม่อนจอง ซึ่งจากตัวเมืองอมก๋อยเราจะต้องเหมารถชาวบ้านขับไปส่งที่บ้านห้วยปูลิง ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย เนื่องจากว่าระยะทางค่อนข้างไกลและในช่วงทางขึ้นก่อนถึงจุดเดินนั้นจะเป็นเส้นทางที่ชันและขรุขระต้องเป็นรถกระบะที่ชำนาญเส้นทางเท่านั้นถึงจะขึ้นได้
เมื่อได้พบกับลูกหาบและเจ้าหน้าที่ผู้นำทางแล้วก็ได้เวลาเดินทางขึ้นไปพิชิตม่อนจอง โดยลูกหาบจะคอยช่วยแบกสัมภาระ เสบียงอาหาร น้ำดื่ม และเต็นท์รวมถึงถุงนอนให้แก่เรา ซึ่งถือว่าช่วยทุ่นแรงให้แก่ทุกคนไปได้เยอะมากๆ ตอนนี้ก็เหลือแค่ใจเราที่ต้องสู้กับความเหนื่อยล้าก่อนจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของม่อนจองกันแล้ว
ระยะทางเดินช่วงแรกจะเป็นทางลาดชันที่ค่อนข้างโหดเอาการ แนะนำว่าช่วงแรกนี้อย่าเพิ่งเร่งเดินเพราะอาจจะหมดแรงก่อนได้ ให้ค่อยๆ ขึ้นอย่างเป็นจังหวะ แล้วค่อยไปพักเอาในเส้นทางที่เป็นทางเรียบ
ข้อควรระวังของการเที่ยวม่อนจองในช่วงปลายแบบนี้ก็คือช้างป่า! ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้บอกกับเราแต่แรกก่อนจะขึ้นแล้วว่าช่วงปลายๆ ฤดูกาลขึ้นม่อนจองแบบนี้ช้างป่าจะออกมาหากินในเส้นทางเดินของเราต้องคอยเดินด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ไม่วายเจอช้างป่ากันจนได้ เราต้องหยุดคอยให้ช้างป่าเดินหนีไปก่อนแล้วถึงจะไปต่อได้ แค่เริ่มต้นก็รู้สึกตื่นเต้นกันเป็นอย่างมากแล้ว ธรรมชาติของที่นี่ยังคงดิบอยู่มากจริงๆ
เราเดินทางกันต่อไปเรื่อยๆ โดยเส้นทางจะเป็นทางราบสลับชันบ้างในบ้างช่วง แต่ในความเหนื่อยล้านั้นธรรมชาติระหว่างทางก็ยังคงทำหน้าที่บำบัดความเหนื่อยล้าด้วยความสวยงามให้แก่เราเป็นระยะๆ มีจุดพักให้ถ่ายรูปชมวิว สวยๆ 2 - 3 จุด ซึ่งต้องบอกเลยว่าแค่ระหว่างทางเดินยังไม่ทันจะถึงยอดเราก็ได้รูปภาพสวยๆ กันมาหลายรูปแล้ว ยิ่งสูงยิ่งสวยจริงๆ
เมื่อเดินทางกันมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงจุดไฮไลท์ของม่อนจองที่ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้เพื่อที่จะขึ้นสู่จุดกางเต็นท์ของเราในคืนนี้ นั่นก็คือเนินฮิบหอบ เนินชัน 60 องศาไต่ขึ้นไปบนเขาที่เป็นดั่งจุดวัดใจสำหรับนักเดินป่าทุกคนเลยทีเดียว
เส้นทางขึ้นเนินฮิบหอบนั้นค่อนข้างจะลื่นและชัน มีชั้นดินแคบๆ เป็นขั้นบันไดไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ หลายๆ คนเริ่มเปิดโหมดโฟร์วิวล์ ใช้ทั้ง 2 มือ 2 ขาในการไต่ขึ้นไปเนินนี้ บอกเลยว่าหากใครมีโอกาสได้มาระหว่างทางขึ้นเนินอย่าหันไปดูข้างล่างเด็ดขาดเพราะขาคุณจะสั่นจนแทบจะเดินขึ้นต่อไม่ไหวเลยทีเดียวโดยเฉพาะคนที่กลัวความสูง
เราทุกคนใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่มีดันตัวเองขึ้นมาสู่ยอดเนินฮิบหอบกันจนได้ ซึ่งเมื่อลองมองย้อนกลับไปแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองว่าเราผ่านเนินนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
ผ่านพ้นจากเนินฮิบหอบไปจะเป็นทางเดินราบที่เดินได้แบบสบายๆ และจุดไฮไลท์สำคัญที่เราจะต้องเดินผ่านก่อนที่จะเข้าสู่ลานกางเต็นท์นั่นก็คือสนามกอล์ฟช้าง ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นทุ่งหญ้าสีทองลัดเลาะไปตามสันเขาสวยงามมากๆ ลมเย็นปะทะกับใบหน้าเรา กับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า ช่วยให้ลืมความเหนื่อยล้าไปได้ชั่วขณะ
เมื่อเดินผ่านสนามกอล์ฟช้างมาแล้วก็จะเป็นจุดเดินลงไปที่จุดกางเต็นท์ ซึ่งพี่ลูกหาบก็จัดการช่วยกางเต็นท์ให้แก่เรา รวมไปถึงจุดกองไฟไว้ให้แก้หนาว ซึ่งต้องบอกเลยว่าพอตกเย็นแล้วอากาศหนาวเย็นมากจริงๆ
เรานั่งพักทานข้าวกันก่อนจะออกไปรับแสงสีทองกันในยามเย็นที่สนามกอล์ฟช้างที่เราเพิ่งเดินผ่านกันมา
เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตก แสงเย็นสีทองมาตามนัดจริงๆ ทั่วทั้งท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีสันที่สวยงาม เป็นวินาทีที่เราทุกคนลั่นชัตเตอร์กันแบบไม่มีเบื่อ ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนก็สวยงาม เป็นภาพจำของเย็นวันรกที่ม่อนจองที่สร้างความประทับใจให้อย่างไม่รู้ลืม
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าลงไปก็ได้เวลานอน ก่อนจะนอนกิจกรรมสุดคลาสสิคที่เราได้ทำกลางป่ากันก็คือล้อมวงกินข้าวกันรอบกองไฟ เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นทั้งกายและใจอย่างแท้จริง
ตื่นเช้าวันใหม่เราทุกคนเตรียมพร้อมเก็บของเตรียมจะกลับ แต่โปรแกรมการท่องเที่ยวของเรายังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะเรามีภารกิจต้องเดินขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาหัวสิงห์ จุดสูงสุดของดอยม่อนจองกันก่อน
ซึ่งเมื่อเดินขึ้นมาจากลานกางเต็นท์เราก็ได้พบว่า เรากำลังเดินหน้าไปปะทะกับสายหมอก! ในเช้าวันนั้นมีหมอกหนาและลมแรงมากๆ เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์หมอกไหลไปตามขุนเขา เป็นภาพที่มหัศจรรย์สุดๆ คุ้มค่ากับการตื่นเช้ามาชมจริงๆ
แต่การมีหมอกหนาก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการชมผาหัวสิงห์เพราะเมื่อเราเดินมาจนถึงตีนผาหัวสิงห์ก็ได้พบว่าบริเวณหัวสิงห์ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกซะแล้ว
แต่รางวัลของคนพยายามนั้นยิ่งใหญ่เสมอ เพราะเราใช้เวลารอคอยอยู่ประมาณ 15 นาที สายหมอกที่เคยปกคลุมผาหัวสิงห์ก็ลอยละล่องหายไป กลายเป็นแสงสีทองที่ส่องประกายลงมากระทบกับหน้าผาหินรูปทรงเหมือนก๊อตซิล่าเสียมากกว่าสิงห์ เผยโฉมให้เราได้เห็นแบบพาโนรามา เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงในความสวยงาม มีหมอกจางๆ ลอยอยู่บริเวณด้านล่างหัวสิงห์ ยิ่งสร้างมุมมองที่สวยงามให้แก่รูปภาพของเรา
และนี่คือภาพสุดท้ายของพวกเราทุกคนก่อนที่จะลาจากม่อนจองแห่งนี้ไป เป็นภาพจำที่แสนจะประทับใจ เป็นประสบการณ์เดินป่าที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกแสนนานแน่นอน
ข้อมูลเพิ่มเติม
ที่ตั้งม่อนจอง : ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
ค่าใช้จ่าย
ค่าลูกหาบ : วันละ 300 บาท ต่อคน
ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง : วันละ 300 บาท ต่อคน
ค่ารถไปม่อนจอง : ไปกลับ 3,000 บาท
ค่ารถจากเชียงใหม่ไปอมก๋อย : 113 บาท
ติดต่อ : 092 559 7201
ระยะเวลาเปิด - ปิด ม่อนจอง : เดือนพฤศจิกายน - 15 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
อัลบั้มภาพ 71 ภาพ