One Day Trip เที่ยวสมุทรปราการ ไม่มีรถก็ชิลได้
สถานีต่อไป ช้างเอราวัณ Next station Chang Erawan...พอเสียงข้อความอัตโนมัติดังขึ้น ว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว โปรดลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วออกมายืนรอหน้าประตู เมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลาอย่างสนิท สองเท้าก็ก้าวออกไปตามจังหวะหัวใจ ใช่แล้วค่ะ วันนี้เรามีนัดกันกับเดอะแก๊งของเราเพื่อตระเวนเที่ยวเมืองสมุทรปราการ ทำงานอยู่แถวนี้มาก็นาน จำได้คร่าวๆว่าตอนเด็กเคยไปแต่ฟาร์มจระเข้ กับ เมืองโบราณ ก่อนหน้านี้เราคิดกันว่ามีเวลาเที่ยวหนึ่งวันเนี่ย จะไปไหนกันดี แต่ก็มาจบที่เมืองปากน้ำ เริ่มจากใกล้ๆกันก่อนเนอะ หนึ่งวันจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามมาเลยค่า
จุดแรกที่เราจะไปนั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ หรือช้างสามเศียร ไม่ต้องบอกก็รู้นี่เนอะ เพราะลงสถานีนี้ ใครอยู่ปากน้ำอาจจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง แต่ชาวพระราม 4 อย่างเรา ขอสารภาพตรงๆ เลยว่าไม่เคยมาค่า เคยเห็นแค่เวลาขึ้นทางด่วนผ่านเท่านั้น มันก็จะตื่นเต้นหน่อยๆ การเดินทางเดี๋ยวนี้ BTS เข้าถึงแล้วนะคะ อย่างเราเริ่มขึ้นมาจากสถานีอุดมสุขลงสถานีช้างเอราวัณ ในราคา 15 บาท แล้วมุ่งตรงไปยังทางออกที่ 1 ได้เลย หรือใครจะมาทางรถเมล์ก็มีให้เลือกนั่งหลายสาย อย่าง102 มาจากฝั่งพระราม 3 หรือสายที่วิ่งจากเส้นสุขุมวิทก็จะเป็น 511 และ 536 จากอนุสาวรีย์ และแล้วเราก็พบกับเดอะแก๊งอีกสามสาวของเรา พอเดินลงสถานีมาปุ๊บ ตรงไปอีกประมาณ 100 เมตร จะเจอกับรถสามล้อไฟฟ้าของทางพิพิธภัณฑ์จอดรอให้บริการอยู่ ฟรีนะคะ ขึ้นไปนั่งโลด
แท่น แท้น ถึงแล้ว พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เห็นสถาปัตยกรรมรูปช้างสีดำทมึนขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์อยู่ด้านหน้า วันที่เราไปส่วนใหญ่จะเจอแต่ชาวต่างชาติ คนไทยน้อยมากจริงๆ ไม่รอช้าตรงดิ่งไปซื้อตั๋วกันก่อน ราคาบัตรเข้าชมสำหรับคนไทยจะอยู่ที่คนละ 250 ต่างชาติ 400 แต่เดี๋ยวก่อนนนน ถ้ามีบัตรโดยสาร BTS จะลดไปอีก 50 % จากราคา 250 เลยนะเธอ เราซื้อกันมาได้ในราคาคนละ 125 บาท เสร็จแล้วนำตั๋วไปแลกดอกไม้ธูปเทียน เพื่อนำไปสักการะบูชาไหว้ขอพรต่อองค์ช้างเอราวัณ นอกจากไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล ตรงนี้ยังมีเสี่ยงเซียมซี ยกช้าง แล้วก็ถวายกระเช้าผลไม้ ลอยดอกบัว เกือบลืมไปค่ะตรงทางเข้า ทางพิพิธภัณฑ์มี Audio guide ให้ฟังด้วยนะ เผื่อใครอยากรู้เรื่องความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ อีกอย่างที่นี่ห้ามถ่ายวีดีโอทุกกรณีนะคะ ถ้าถูกพบเห็นทางเจ้าหน้าที่จะเชิญให้ออกทันที เตือนแล้วนะ!
หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆสมาชิกไหว้กันเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินเข้าด้านในอาคาร มาทำความรู้จักกับสถาปัตยกรรมก่อนที่เราจะก้าวเข้าไปกันสักหน่อย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เกิดขึ้นจากความคิดและจินตนาการของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ที่ต้องการจะเก็บรักษาโบราณวัตถุที่มีค่า ด้วยการจัดแสดงปะติมากรรมอันทรงคุณค่า ทางศิลปกรรมให้คนรุ่นหลังและนักทักเที่ยวได้ศึกษา โดยภายในอาคารจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น เราเริ่มเดินจากชั้นใต้ดินหรือชั้นสุวรรณภูมิ ชั้นนี้ห้ามถ่ายรูปนะคะ เป็นพื้นที่สำหรับจัดแสงดนิทรรศการความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ รวมไปถึงเครื่องเรือนโบราณของคนชั้นสูง เครื่องชามสังคโลก เครื่องกระเบื้องในแผ่นดินสยาม เป็นต้น ชั้นต่อมาคือชั้นโลกมนุษย์ มีลักษณะเป็นโดม ตกแต่งได้อย่างวิจิตรตระการตา ผสมผสานความเป็นตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกัน อาทิ เพดานกระจกสี โคมระย้า งานปูนปั้นบริเวณบันไดและซุ้มพระเกตุ จากนั้นจะผ่านบันไดวนสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ส่วนผนังและเพดานตกแต่งในโทนสีฟ้าด้วยภาพเขียนรูปสุริยจักรวาล
ตอนเดินลงมาจากชั้นบนเราจะพบจุดชมวิวเล็กๆ ออกแบบเป็นช่องหน้าต่างในส่วนของท้องช้างเพื่อชมวิวเมืองสมุทรปราการ
จากนั้นก็มาเดินสำรวจด้านนอกกันต่อ รอบๆพิพิธภัณฑ์ถูกจัดเป็นอุทยานในวรรณคดี ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้หายากนานาชนิด รายล้อมอยู่ท่ามกลางน้ำตกและลำธารจำลอง ที่พลาดไม่ได้เลยคือ การเดินลอดท้องช้างเทพมงคล ทั้ง 26 เชือก เวลาเดินผ่านจะมีเสียงด้วยนะคะ ลองไปกันดู เผลอแป๊ปเดียวมองดูเวลาก็ใกล้เที่ยงแล้ว ท้องเริ่มปั่นป่วน เราเลือกหาอะไรรองท้องกันที่นี่ก่อน เนื่องจากหิวมากกกก ราคาไม่แพงเลยค่ะ เหมือนร้านอาหารทั่วๆไปแล้วพวกเราออกจากที่นั่นราวๆเกือบบ่ายโมง ใช้บริการสามล้อเจ้าเก่าเช่นเคยเพื่อไปยัง BTS
สถานีปลายทางเคหะฯ ขอขอบคุณค่ะ...เสียงอัตโนมัตดังขึ้นอีกครั้ง ขอเล่าก่อนว่า การเดินทางด้วย BTS จากสถานีช้างเอราวัณไปยังสถานีปลายทางเคหะฯ ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตอนนี้อยู่ในช่วงทดลองให้บริการ ไม่เสียค่าใช้จ่ายนะคะ ฟรีอีกแล้วววว จุดเช็คอินของเราต่อไปก็คือ ร้านอาหารสายลม บางปู กะว่าจะไปฝากท้องมื้อเย็นที่โน่นพร้อมรับลมทะเลเย็นๆสักหน่อย นอกจากจะมีร้านอาหารแล้ว ยังมีคาเฟ่เก๋ๆให้เราแชะภาพไปลงไอจีกันด้วยนะเออ การเดินทางไปยังร้านเนื่องจากพวกเราพร็อพเยอะ ฮ่า เลยเลือกสะดวกสบายไว้ก่อน รออะไร โบกแท็กซี่เลย แต่สำหรับสายผจญภัยชอบเดินทางแบบลุยๆจะมีสองแถวสาย 36 จอดรอรับคนอยู่ หากจะไปร้านอาหารสายลมนั้นเลือกนั่งสาย 36 ได้ทุกสี ให้ลงฝั่งตรงข้ามซอยบางปู 72 จากนั้นข้ามสะพานลอย แล้วเข้าไปสุดซอยค่า แต่ถ้าจะไปสถานตากอากาศบางปู ให้เลือกนั่งเฉพาะคันที่เขียนว่า โลตัสบางปู และ นิคมเคหะ เท่านั้น อย่านั่งผิดนะเธอ
ถึงแล้วค่า ร้านอาหารสายลมบางปู มาถูกที่แหละเพราะเจอป้ายแล้ว ที่จอดรถกว้างขวางสะดวกสบายมากไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่จอด บรรยากาศของร้านออกแนวชิวๆ โปร่ง โล่ง สบาย เพราะตั้งอยู่เลียบชายทะเล เหมาะมากที่พาครอบครัว คนรัก เพื่อน มาทานมื้อเย็น หรือสังสรรค์เบาๆ
เนื่องจากเราอิ่มกันมาแล้ว เลยตกลงกันว่างั้นไปโซนคาเฟ่กันก่อน นั่นก็คือ Afternoon Bangpu เป็นโซนร้านกาแฟตกแต่งอย่างมีสไตล์ ถูกแยกออกมาอย่างเป็นสัดส่วน ด้วยประตูไม้บานสีฟ้าสดใสเปิดต้อนรับเราไปเยือน ซุ้มประตูตกแต่งด้วยไม้ไผ่เก๋ๆ ภายในร้านตกแต่งสไตล์รัสติกหน่อยๆ เผยให้เห็นความไม่สมบูรณ์ของโครงสร้าง อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของชายทะเล ไม่ว่าจะเป็น หลังคาไม้ไผ่ ผ้าม่านสีฟ้าขาว มีให้เลือกนั่งกันหลายโซน จัดวางโต๊ะเก้าอี้สีขาวเคล้าบรรยากาศชายหาด เรียงรายหมอนอิงสีสันสดใส หรือจะเลือกนั่งโต๊ะบาร์ก็ได้ไม่ว่ากัน คาเฟ่นี้จะเด่นในเรื่องของต้นไม้นะคะ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมน่ารักๆ อย่าง Workshop ให้เลือกต้นไม้ลงในกระถางที่ตัวเองชอบ และซื้อกลับบ้านได้ด้วย เกือบลืมไปเลย ทางร้านมีจักรยานให้ปั่นกันเพลินๆด้วยนะ
เดินสำรวจรอบๆ ร้าน ถ่ายรูปได้พอประมาณ มาถึงนี่ก็ต้องทานของหวานสิคะ ประเดิมด้วยจานนี้ Strawberry Waffle วาฟเฟิลกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมวนิลา และวิปครีม โรยท็อปสตรอว์เบอร์รี ราดด้วยซอสไซรัป กินไม่เก่งกันเท่าไหร่หรอก แป๊ปเดียวเกลี้ยงจาน ส่วนเครื่องดื่มเราเลือกสั่งช็อคโกแลตมินต์ ให้รสชาติแปลกไปอีกแบบ และตบท้ายด้วย Afternoon Smoothie เปรี้ยวๆหวานๆ เย็นชื่นใจดีเหมือนกัน ที่สำคัญทางร้านจะงดใช้หลอดพลาสติกนะคะ อย่าเผลอไปขอล่ะ ยกดื่มเอาเลย
และแล้วก็ถึงเวลาของมื้อเย็น เราเลือกนั่งโซนติดทะเล ลมโกรก เย็นสบายมาก มองเห็นวิวทะเลชัดแจ๋ว เสน่ห์ของร้านนี้อยู่ที่ สั่งอาหารโดยการสแกนคิวอาร์โค้ด เลือกเมนูที่ต้องการ แล้วกดสั่งได้เลยยยย รอไม่นาน พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ ทานเสร็จแล้วก็ไปเดินย่อย ถ่ายรูปสวยๆ กันต่อ
คราวนี้เดินย้อนมาทางหน้าร้าน จะเป็นในส่วนของ Ceramic Coffee สไตล์ของร้านตกแต่งคล้ายๆกัน เน้นดิบเปลือย ผสานกลิ่นอายทะเล จัดเป็นแกลอรี่สำหรับคนรักงานเซรามิก เราอยู่ตรงนี้กันนานทีเดียว เพราะงานฝีมือแต่ละชิ้นน่ารักยั่วยวนสตางค์ในกระเป๋ามากๆ
สุดท้ายเอาใจคนรักทะเล ด้วยการนั่งแท็กซี่เพื่อเดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่สถานตากอากาศบางปู พอไปถึงภาพของสถานตากอากาศบางปูในวันนี้ ยังคงเหมือนเมื่อก่อน ต่างก็แค่คนข้างๆ ที่มาด้วย หลังจากเดินเล่นรับลมเย็นๆ บนสะพานสุขตาดูนกกันได้พักใหญ่ ก็ถึงเวลากลับแล้วค่า เราจึงขอปิดทริปนี้ที่นี่เลยแล้วกัน ใครรู้ว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลา อยากเที่ยวชิลล์ๆในหนึ่งวัน ลองหาโอกาสมาตามรอยได้นะคะ
อัลบั้มภาพ 39 ภาพ