เที่ยวคิวชู ญี่ปุ่น 4 คืน 5 วัน แบบดีต่อใจ นั่งรถไฟไปอย่างชิลล์
ในสถานการณ์บ้านเมืองที่มีโรคระบาด COVID-19 ที่ส่งผลต่อผู้คนในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปจนจิตแทบจะหลุดเพราะหยุดคิดไม่ได้ว่า เราติดโควิดหรือยัง! และเพื่อไม่ให้จิตตกหมกมุ่นไปกว่านี้ เราจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวญี่ปุ่นคลายเครียดกันค่ะ แต่ที่สำคัญก่อนออกเดินทางนั้น เราก็ต้องดูแลสุขภาพเพื่อระวังไม่ให้ป่วยในระหว่างเดินทาง อีกทั้งแอคเซสเซอรีที่จะต้องป้องกันไม่ให้น้องโควิดเข้ามาใกล้ก็ต้องพกไว้อย่างเจลล้างมือ หน้ากากอนามัยหรืออะไรที่มีมากไปกว่านี้ก็พกไปด้วยเถอะค่ะ เพื่อความสบายใจ เอาล่ะเรามาเริ่มทริปชิว ๆ ไปคิวชู ถ้าอยากรู้ว่เป็นอย่างไรบ้าง มาเที่ยวไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ อ้อ! เผื่อใครต้องการมาเที่ยวหลังสถานการณ์ COVID-19 เบาบางลง สามารถมาตามแผนที่ได้เลยนะคะ
Day1
ปกติเราสามารถเดินทางเดินทางจาก Hakata ไป Kumamoto ได้โดย Shinkansen ใน 35 นาที แต่คราวนี้เราจะมานั่งรถไฟคันใหม่กัน "รถไฟ36+3"
เริ่มออกเดินทางจากสถานี Hakata เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ Kumamoto ด้วยรถไฟ 36+6 ในเวลา 9 โมงเช้า ต้องบอกเลยค่ะว่า รถไฟสายท่องเที่ยว D&S train “36+3” นั้น เป็นรถไฟที่จะพาคุณไปสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เรียกได้ว่า “เที่ยวคิวชูแบบชิลล์ ๆ บนรางรถไฟ” และที่สำคัญคือรถไฟจะพาคุณไปถึงทุกจังหวัดบนเกาะคิวชูนี้เลยก็ว่าได้ ส่วนที่ว่า ทำไมต้อง 36+3 นั้น จริง ๆ แล้วมันมีที่มาที่ไปค่ะ ซึ่ง 36 นั้น หมายถึง เกาะคิวชู ที่เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 36 และในส่วนที่ +3 นั้น เมื่อรวมแล้วจะได้ 39 ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นจะแปลว่าขอบคุณ คือแสดงถึง ขอบคุณผู้โดยสารที่สนับสนุน JR Kyushu มาโดยตลอด
ถ้าถามถึงความเข้มงวดในสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 กับระบบคมนาคมขนส่งโดยรถไฟอย่างประเทศญี่ปุ่นนี้ ขอบอกเลยค่ะว่า เข้มงวดสุดๆ จนเราหยุดไม่ได้ที่ต้องใช้เจลล้างมือทุก ๆ 1 นาที (ขำ) แต่ความจริงแล้วมาตรตรการในรถไฟก็มีทั้งการฉีดพ่นฆ่าเชื้อเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังมีการเว้นระยะห่างและแผงป้องกัน ที่แอบมาเกะกะสายตาในการมองผู้ญี่ปุ่นงานดี ๆ เสียจริง ๆ ค่ะ(ขำ)
ช่วงบ่ายเราก็ได้มาถึงปราสาท Kumamoto ซึ่งตอนนี้เราสามารถเดินเข้าไปชมในตัวปราสาทหลัก ๆ ได้แล้ว ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม หลายท่านคงงงกันไม่ใช่น้อยว่าปราสาทเป็นอะไรทำไมถึงต้องซ่อม จริง ๆ แล้วนั้น เมื่อเดือนเมษายน ปี 2016 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่คุมาโมโต้ ทำให้ปราสาทได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก และกำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซมในส่วนที่เหลือ ก็คาดว่าคงใช้เวลาอย่างน้อย ๆ ประมาณ 20 ปีกว่าจะเสร็จเลย Omg!
แต่เอาเป็นว่าอย่างน้อย เราก็ได้เข้าไปแล้วแหละค่ะ เวลา 2 ชั่วโมงที่อยู่ที่นี่ รู้สึกอิ่มใจและปลอดภัย เพราะต้องสวมหน้ากากอนามัยและใช้เจลล้างมือ อีกทั้งก่อนเข้าก็มีมาตรตรการตรวจวัดอุณภูมิและเว้นระยะห่าง สบายใจได้ค่ะ!
พอช่วงเย็น ๆ เราก็ได้มาถึงที่นี่ ศาลเจ้าอามาโนะอิวะโตะจินจา Amano Iwato Jinja Shrine ความรู้สึกการมาศาลเจ้าครั้งนี้แตกต่างจากไปไหว้เจ้าวันตรุษจีนที่ไทยโดยสิ้นเชิง บรรยากาศที่นี่มีความลึกลับผสมอยู่เบาๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ต่อจากนั้นเราก็ได้เดินไปยัง Higashi Hongu ก็ได้เห็นถ้ำ Amano Yasugawara
ที่นี่เป็นจุดยอดนิยมสำหรับถ่ายภาพโทริอิในถ้ำ แต่เอ๊ะ! โทริอิ คือ อิหยังวะ! จริง ๆ แล้ว โทริอิก็คือเสาที่เราเห็นนั่นแหละค่ะ หรือเรียกได้ว่าเสาโทริอิ เราจะพบได้ทั่วไปตามทางเข้าศาลเจ้าในศาสนาชินโต
ซึ่งทั้งสองศาลเจ้าได้สร้างเพื่ออุทิศให้แก่เทพเจ้าดวงอาทิตย์อามาเทระซุ สถานที่เหล่านี้ คนญี่ปุ่นย่อมรู้กันดีว่าเป็นจุดแห่งวิญญาณ เล่ามาถึงตรงนี้ก็ไม่ลืมที่จะขอพร ขอให้เจอผู้ญี่ปุ่นงานดี ๆ สักคนนะคะเทพเจ้าดวงอาทิตย์! เอ๊ะ!แต่ขอขนาดนี้ วันนี้ 2 ศาลเจ้าคงยังไม่พอ
กลางคืนเวลา 2 ทุ่มตรงเป็นต้นไป เราก็ได้มาถึงศาลเจ้าทาคาชิโฮะ Takachiho Jinja ศาลเจ้านี้ มีความงดงามทางธรรมชาติมากๆ ดูร่มรื่น อีกทั้งตอน ที่นี่จะมีการแสดง Yokagura ทุกคืน ซึ่งการแสดงจะเป็นการเล่าถึงตำนานเทพเจ้าและการกำเนิดของประเทศญี่ปุ่น
เอาล่ะ การเที่ยวญี่ปุ่นวันแรก ต้องบอกว่าถึงแม้ทั่วโลกจะอยู่ในสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 แต่ด้วยมาตรตรการที่เข้มงวดของประเทศญี่ปุ่น ทำให้เที่ยวได้อย่างสบายใจ แต่ยังไงวันนี้เราก็คงต้องขอตัวไปพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า เพื่อลุยต่อในต่อไป ฮึบ!
Day2
อรุณสวัสดิ์ยามเช้าค่ะ! ช่วงเช้าแบบนี้ เราเดินทางกันมาที่หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho) ขอออกตัวเม้าท์ก่อนเลยนะคะว่า สถานที่นี้เป็นจุดที่คนไทยนิยมมากันมาก ๆ เมื่อใครก็ตามที่ได้มาเที่ยวในคิวชู ก็จะไม่พลาดที่นี่ค่ะ ไม่แปลกเลยที่วันนี้ดิฉันเจอคนไทยกลุ่มใหญ่ที่ตัดสินใจมาเที่ยวในสถานการณ์แบบนี้เช่นเดียวกับดิฉัน แต่ยังไงทุกคนก็ดูมีความสุขกับการเที่ยว โดยพวกเราได้ถ่ายรูปร่วมกันโดยที่ไม่ลืมสวมหน้ากากอนามัยอีกด้วย
ธรรมชาติที่นี่งดงามมีให้พวกเราพายเรือเพื่อไปชมน้ำตก Manai ใกล้ๆ บอกเลยว่า แรกเห็นรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับน้ำตกที่นี่มาก ๆ ไม่แปลกเลยที่ ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และมีความสูงถึง 17 เมตร พอเก็บภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ตรงดิ่งไปที่ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ Kusasenri ทันที!
ช่วงสาย ๆ เรามาถึงที่นี่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ และภูเขาไฟอะโซะ (Aso Mount) บอกได้เลยว่าวิวที่นี่สวยมากเวอร์ นี่เราว่าเราสวยแล้วนะ แต่พอเจอบรรยากาศที่นี่ต้องยอมยกให้ที่นี่สวยกว่า บอกเลยว่าเป็นนัมเบอร์วันในใจจริง ๆ และ ณ ที่แห่งนี้เราสามารถขี่ม้าเที่ยวชมทุ่งหญ้าได้ด้วยค่ะ
นอกจากนี้ยังมี Aso volcano museum สำหรับผู้สนใจที่อยากทราบประวัติที่มาที่ไป ต้องบอกว่าคุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ ยังไงก็ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็ยังมีที่พักรถ มีร้านอาหารหลายร้าน และถ้าภูเขาไฟปะทุไม่แรงมาก เรายังสามารถต่อไปชมปากปล่องภูเขาไฟได้อีกด้วยค่ะ
พอช่วงบ่าย เราก็มาถึงจุดชมวิวเมือง Aso ยอดเขาไดคันโบ (Daikanbo) ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ของภูเขาไฟอะโซ (Aso) โดยคุณสามารถชมวิวได้ทุกทิศทาง 360 องศาเลยค่ะ เอาล่ะค่ะ วันนี้ออกแรงเหนื่อยมาทั้งวัน เราควรพักแล้วขอกลับมาเม้าท์วันพรุ่งนี้ต่อ แล้วเจอกันค่ะ
Day 3
เช้านี้เป็นเช้าที่เราตื่นเต้นที่สุด เพราะเราได้มาอยู่ที่นี่ค่ะ ไนแองการาแห่งเอเชีย หรือ น้ำตกฮาระจิริ (Harajiri) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ติดอันดับ 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย เราสามารถมองเห็นน้ำตกได้จากหลากหลายมุม ต้องบอกเลยว่า ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยทุกมุม แถมยังได้ความสดชื่นกลับไปเต็ม ๆ !
วิวของน้ำตก ไม่ได้มีอยู่แค่น้ำตกเท่านั้นนะคะ เพราะไม่ว่าจะด้านบนด้านหน้าจากสะพานแขวนไม้และริมฝั่งแม่น้ำใกล้ ๆ ด้านล่างของน้ำตกก็สวยไม่แพ้กัน และเช่นเคยค่ะ ดิฉันมองเข้าไปไกล ๆ นั่นกลุ่มคนไทยที่ดิฉันได้เจอเมื่อวานที่หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho) ทุกคนเดินเข้ามาทักทายดิฉันและพวกเราก็ไม่พลาดที่จะได้ถ่ายรูปด้วยกันอีกรอบ รูปที่ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยคงเป็นภาพแห่งความทรงจำอีกมุมหนึ่งในชีวิตของเราอย่างแน่นอน
ช่วงสาย ๆ เรานั่งรถไฟ Aso Boy เที่ยวต่อ ซึ่งรถไฟขบวนนี้วิ่งตั้งแต่สถานี Kumamoto จนถึงสถานี Beppu
ต้องบอกว่าเป็นขบวนรถไฟที่ออกแบบมาสำหรับผู้โดยสารเด็ก เพราะมีสระลูกบอลไม้ ห้องสมุดหนังสือภาพ แต่ก็มีที่นั่งคุณพ่อคุณแม่นะคะ แหมเห็นแล้วก็มีความคิดเลยค่ะ ว่าควรหาเนื้อคู่มานั่งเป็นคุณพ่อในขบวนนี้ด่วน ๆ
ในที่สุดก็มาถึงเมือง Beppu ช่วงบ่าย อากาศกำลังดีค่ะช่วงนี้ เราแวะชิมพุดดิ้งชื่อดังที่ใครมาเมืองนี้แล้วก็ไม่ควรพลาดที่ร้าน Okamotoya ตั้งอยู่ในย่าน Myoban Onsen ถึงแม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่รสชาตินี่เด็ดอย่าบอกใครเลยค่ะ ดิฉันให้ 10 10 10 อร่อยเหาะสุด ๆ ค่ะ
ถ้าถามว่าทำไมใครมาต้องจัดพุดดิ้งด่วน ๆ ก็เพราะความอร่อยของพุดดิ้งนั้นอยู่ที่กรรมวิธีการนึ่งพุดดิ้ง เพราะทางร้านนึ่งด้วยควันออนเซนจากธรรมชาติ ทำให้มี texture ที่นุ่ม ละมุนลิ้น บวกกับกลิ่นที่หอมเป็นพิเศษ ให้ความรู้สึกเหมือนแช่ออนเซนไป ทานพุดดิ้งไป บอกเลยว่าสุขกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
อิ่มท้องแล้ว เราก็ได้ไปดูบ่อนรก Beppu ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 บ่อ แต่ครั้งนี้เรามาดูแค่บ่อ Kamado เห็นแล้วต้องว้าว เพราะงดงามมากจริง ๆ ค่ะ ภายในบ่อนั้นก็จะมีทั้งบ่อสีฟ้าและบ่อสีแดงให้เราชื่นชมมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งออนเซ็นอย่างแท้จริง
และแล้วเราก็มาถึงที่นี่แล้วค่ะ จุดชมวิวยูเคมุริ (Yukemuri) ที่นี่ถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นเมือง Beppu ทั้งเมือง แต่สิ่งมหัศจรรย์ที่ชวนให้ดิฉันหลงใหลคืออะไรทราบไหมคะ เพราะเมื่อเราอยู่บนจุดชมวิว เราสามารถมองเห็นควันไอน้ำจากออนเซ็นและบ่อน้ำพุร้อนต่าง ๆ ได้เกือบทั้งหมด ภาพนี้คงประทับในวามทรงจำของเราไปอีกนานแสนนานเลยล่ะค่ะ
เอาล่ะวันนี้อิ่มท้อง และล้าจากการเดินทางมากแล้วถ้าเม้าท์ต่อคงไม่ไหว ยังไงก็ โอยะ สุมินาไซ นะคะ
Day4
เช้าวันนี้อากาศสดชื่นเป็นอย่างมาก ช่างเหมาะกับการไปผ่อนคลายความรู้สึกตามทะเลสาบ ใช่แล้วค่ะ! เช้านี้ดิฉันมาเยือนทะเลสาบคินริน Kinrin Lake ถึงแม้ทะเลสาบจะดูไม่ใหญ่ แต่ความใสและไอฟินต้องยกให้เขาเลยล่ะ เมืองยูฟุอิน ก็ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดฮิตที่คนไทยนิยมมาเที่ยว เมื่อได้มาเยือนคิวชู
ความสะดวกสบายอยู่ที่นี่ค่ะ เพียงแค่เราเดินออกจากสถานี เราก็จะเจอภูเขายูฟุ แล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ ในระหว่างทางเราก็ยังสามารถเดินกินซื้อของได้ที่ถนน Yunotsubo จนสุดทางก็จะเจอทะเลาสาบคินรินค่ะ อ้อ!จุดสังเกตอีกอย่างที่เราสังเกตดูตั้งแต่การมาเที่ยววันที่ 1 จนวันนี้ก็เข้าวันที่ 4 เราเดินไปไหนมาไหนก็ยังเห็นคนญี่ปุ่นทุกคนรับผิดชอบป้องกันตัวเองโดยการสวมหน้ากากอนามัยทุกคน อีกทั้งมาตรตรการต่าง ๆ ในทุก ๆ สถานที่ก็เข้มงวด จนเราเชื่อเลยค่ะว่า เชื้อโรคไม่กลัวก็บ้าแล้ว! อ่ะ! กลับมาเข้าเรื่องเที่ยวกันต่อ เราใช้เวลาอยู่ที่ทะเลสาบเกือบ 4 ชั่วโมงเต็มๆ
ช่วงบ่ายกว่า ๆ เราก็ได้มาถึงสะพานแขวน Kokonoe Yume Otsurihashi สะพานนี้มีความสูง 173 เมตร ยาว 390 เมตร กว้าง 1.5 เมตร
ซึ่งเป็นสะพานแขวนคนเดินระหว่างหุบเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเมื่อระหว่างที่เดินข้ามสะพานนี้ก็จะเห็น น้ำตก Shindonotaki และแน่นอนค่ะ น้ำตกนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ใน 100 น้ำตกที่สวยงามในญี่ปุ่นอย่างไม่มีข้อสงสัยเลย
ต่อจากนั้นเราก็ได้มาที่เมืองมาเมดะ เมืองนี้เป็นเขตพื้นที่เมืองเก่าสมัยเอโดะ ที่ถูกอนุรักษ์ไว้ ถ้าไม่เห็นกับตาเราคงไม่เชื่อว่า ทำไมสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่นี่ถึงได้รับการยกย่องให้เป็น มรดกแห่งญี่ปุ่น ที่นี่มีร้านค้าให้แวะชมเลือกชมมากมาย อีกทั้งบ้านบางหลังนั้นก็ได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์และที่สำคัญอีกอย่างคือ ร้านค้าและร้านอาหารที่นี่ ถือเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญจนถูกขนานนามว่า ลิตเติ้ลเกียวโตอีกด้วย
พอถึงช่วงเย็น ตอนนี้เราก็ได้อยู่บนรถไฟสายสีเขียว ซึ่งมีชื่อขบวนว่า ผืนป่าของยุฟุอิน ไม่แปลกใจเลยนะคะที่รถไฟขบวนนี้จะมีสีสันที่กลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะแค่ชื่อก็บ่งบอกแล้ว
อีกทั้งสถานีรถไฟและบนรถไฟ Yufuin no mori ยังมีแอลกอฮอล์ล้างมือเพื่ออำนวยความสะดวกในการรักษาความสะอาดป้องกันการระบาดของ Covid-19 อีกด้วยค่ะ
ส่วนภายในรถไฟมีการตกแต่งภายในด้วยไม้อย่างทันสมัย ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนพักอยู่ในรีสอร์ทสุดคลาสสิกอย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะ บนรถไฟขบวนนี้ก็มีการป้องกัน Covid-19 เป็นอย่างดี ตามระเบียบของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ออกกฎมา หายห่วงค่ะ สุขใจ สบายใจขนาดนี้ ของีบพักยาว ๆ สักหน่อยนะคะ
DAY5
สำหรับบริเวณนี้ ต้องบอกว่าเป็นที่ ๆ เหล่าตากล้องต้องมาจับจองพื้นที่ตอนเย็น ดูพระอาทิตย์ตกดินสวย ๆ ในวันไหนอากาศดีๆ จะเห็นแสงอาทิตย์จากทะเล ส่องตรงมาถึงศาลเจ้าเลยล่ะค่ะแต่น่าเสียดายที่คราวนี้เรามาตอนช่วงเช้า แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ได้ภาพที่สวยงามไปอีกแบบ
ต่อจากนั้น เราก็มาอยู่ที่ศาลเจ้ามิยาจิดาเกะ Miyajidake Shrine ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ตรงบริเวณอาคารหลัก จะมีเชือกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นโตที่เรียกว่า เชือกชิเมะนะวะขนาดใหญ่ ซึ่งมีน้ำหนักถึง 5 ตัน
ตรงจุด ๆ นี้แหละค่ะที่เหมาะกับการขอผู้ญี่ปุ่นของเรา เพราะตรงจุดนี้เป็นจุดพลังที่ชาวญี่ปุ่นชอบไปขอพรเติมพลังกันเป็นอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่เราขอพรจนเหนื่อย แต้มบุญเต็มแล้ว ต่อจากนั้นเรามาเติมแต้มท้องกันบ้างนะคะ นี่เลยค่ะ
ร้าน Sushi Yatai ถ้ามองจากภายนอกนั้น จุดเด่นของร้านนี้ก็คือตู้คอนเทนเนอร์สีดำที่ดูลึกลับ แต่ถ้าได้เข้ามาในร้านเมื่อไหร่ก็จะพบว่าหลังเคาท์เตอร์ก็คือ ทะเล! ว้าวมาก ๆ อ้อ! และร้านที่สวยงามแห่งนี้ก็ยังคงรักษาความสะอาด ความปลอดภัยเรื่อง Covid-19 เป็นอย่างดี ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย ที่โต๊ะมีแผงกั้นระหว่างผู้ที่มารับประทานอาหารอีกด้วยค่ะ
ไม่มีอะไรจะฟินเท่านี้แล้วค่ะ ลิ้มรสชูชิไป พลางดูวิวสวยๆไป ความสุขแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆจริงๆค่ะ
ต่อมาช่วงบ่าย เราก็ได้มาอยู่ที่ท่าเรือโมจิโกะ Mojiko Retro Town เมืองสุดฮิปสำหรับทริปคิวชูที่ทุกคนต้องไม่พลาดที่จะมา ต้องบอกว่าเมืองนี้อดีตเคยเป็นเมืองรุ่งเรืองในฐานะที่เป็นเมืองท่า อีกทั้งอาคารสถานีโมจิโกะก็ยังมีประวัติที่ยาวนานกว่า 100 ปีทีเดียวค่ะ วิวก็สวย อาหารก็อร่อย ซึ่งที่เราชอบที่นี่เป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะว่าสถาปัตยกรรมเมืองนี้เป็นสไตล์ตะวันตกเก่าแก่ผสมผสานกับความโมเดิร์นและนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นนั่นเอง
สุดท้ายเราก็ได้กลับมาถึงสถานี Hakata อย่างปลอดภัยในช่วงเย็น ระหว่างที่เรานั่งรถไฟกลับ ก็ทำให้ได้ทบทวนอะไรมากมายเกี่ยวกับโรคระบาด Covid-19 ในญี่ปุ่นแบบนี้ เรามองว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้น่ากลัวเลยแม่แต่น้อย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความรับผิดชอบของคนญี่ปุ่นที่รู้จักสวมหน้ากากอนามัยในเวลาอยู่ข้างนอกอย่างเคร่งครัด และหมั่นใช้เจลล้างมืออยู่เสมอ และที่สำคัญคือระบบความสะอาดในประเทศญี่ปุ่นนั้น เรายกให้เป็นนัมเบอร์วันในใจเลยค่ะ ทริปนี้บอกเลยว่า ยังไงก็ฟิน!
ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวคิวชู และรถไฟ เพิ่มเติมได้ที่
JR Kyushu Official Website
https://www.jrkyushu.co.jp/english/
JR Kyushu Rail Pass Online Booking
https://kyushurailpass.jrkyushu.co.jp/reserve/TopPage
Facebook(Thai)
https://www.facebook.com/JRKyushuTH/
YouTube
https://www.youtube.com/channel/UCGnTLIS86WZZnpVjEo3pyng
Instagram
https://www.instagram.com/jrkyushu_worldinfo/
[Advertorial]