แจกแพลนเที่ยว uji (อุจิ) เมืองชาเขียวแห่งเกียวโต

แจกแพลนเที่ยว uji (อุจิ) เมืองชาเขียวแห่งเกียวโต

แจกแพลนเที่ยว uji (อุจิ) เมืองชาเขียวแห่งเกียวโต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าเที่ยวเกียวโต โอซาก้า นารา โกเบ ครบทุกซอกมุมแล้ว ลองหาเวลาสักวันมุ่งหน้าไปยัง "เมืองอุจิ (Uji)" เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของเกียวโตหนึ่งในแหล่งปลูก "ชาเขียวอุจิ" ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นกัน

แม้อุจิจะเด่นดังเรื่อง "ชาเขียว" แต่ใช่ว่าเมืองนี้จะเหมาะกับชาเขียวเลิฟเวอร์ที่ตั้งใจมาเช็คอินคาเฟ่น่ารักๆ ริมแม่น้ำอุจิเท่านั้น คนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ สนุกไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนยิ่งไม่ควรพลาด เพราะเมืองนี้เป็นที่ตั้งของ "วัดเบียวโดอิน" หนึ่งในวัดที่ได้รับเลือกจากยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่น และ "สะพานอุจิบาชิ" หนึ่งในสามสะพานเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นนั้นเอง

เอาละ! เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราจะช่วยให้คนที่อยากสำรวจเมืองน่ารักๆ นี้ด้วยแผนการเดินทางที่ง่าย สามารถก็อปวางในแพลนทริป "เที่ยวคันไซ" ของคุณได้เลย 

การเดินทาง

จากเกียวโต-อุจิ  รถไฟ JR สาย Nara Line จาก สถานีเกียวโต (Kyoto Station) ลงที่สถานีอุจิ (JR Uji Station) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที

จากนารา-อุจิ รถไฟ JR สาย Nara Line จากสถานีนารา (Nara Station) มาลงที่สถานีอุจิ (Uji Station) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

1. สะพานอุจิ (Uji Bridge)

 

จากสถานี JR Uji Station เดินมาประมาณ 700 เมตร จะเจอ "สะพานอุจิ" หนึ่งในสามสะพานเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 646 อายุอานามคร่าวๆ ประมาณ 1,370 ปี เกือบพังทลายมาแล้วหลายหนจากสงคราม น้ำท่วม และแผ่นดินไหว แต่ทุกครั้งชาวเมืองก็ร่วมพลังกันซ่อมแซ่มจนกลับมาใช้งานได้อีกครั้งและยืดหยัดมาจนถึงวันนี้ กลายเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของชาวเมืองอุจิ 

โครงสร้างปัจจุบันที่เห็นอยู่นี้ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1996 ด้วยการออกแบบแบบโบราณและพยายามที่จะคงรักษาความดั้งเดิมอยู่ ส่วนหนึ่งของสะพานสร้างโดยใช้ต้นไซเปรสญี่ปุ่นและมีการประดับด้วยทองแดง ด้วยมนต์ขลังความงาม สะพานอุจิจึงถูกพูดถึงในผลงานวรรณกรรมและปรากฏอยู่ในผลงานศิลปะญี่ปุ่นจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือวรรณกรรมเรื่อง ตำนานเก็นจิ (The Tale of Genji) หนึ่งในนิยายเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเฮอันและมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นโดยมีฉากหลังเป็นเมืองอุจิ แต่งโดย มุราซากิ ชิคิบุ (Shikibu Murasaki) ซึ่งก็คือรูปปั้นผู้หญิงที่อยู่ริมแม่น้ำใกล้ทางเข้าถนนเบียวโดอิน โอโมเตะซันโด นั่นเอง 

2. ถนนเบียวโดอิน โอโมเตะซันโด (Byodoin Omotesando)

ใกล้ๆ รูปปั้น  มุราซากิ ชิคิบุ เป็นจุดเริ่มต้นของถนนเบียวโดอิน โอโมเตะซันโด หรือที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเรียกกันติดปากว่า "ถนนชาเขียว" เพราะตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขนม ร้านอาหาร ที่เกือบทั้งหมดทำมาจากอุจิมัทฉะ ไม่ว่าจะเป็นซอฟครีมชาเขียว ราเมงชาเขียว โซบะชาเขียว  เกี๊ยวซ่าชาเขียว ไปจนถึงทาโกยากิชาเขียว ให้คุณได้แวะชิมลิ้มรสชาเขียวอุจิต้นตำรับและยังมีขนมที่ทำจากอุจิมัทฉะให้ซื้อกลับไปเป็นของฝากด้วย ไม่เว้นแม้แต่ "ตู้กาชาปอง" "ตู้กดไอศกรีม" และตู้กดน้ำ ที่ใช้โทนสีให้เข้าธีมถนนชาเขียวรวมถึงน้ำและขนมในตู้กดก็เป็นรสชาเขียวทั้งหมด 

ถ้าไม่รู้ว่าจะแวะร้านไหนบนถนนเบียวโดอิน โอโมเตะซันโด เราแนะนำ 3 ร้านนี้

  • Uji Surugaya

ร้านขนมและชาเขียวญี่ปุ่นดั้งเดิมของเมืองอุจิ เดินเข้ามาบนถนนไม่เกิน 100 เมตรจะเห็นร้านนี้อยู่ทางขวามือ หนึ่งในร้านเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยของขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นอย่าง โมจิมัทฉะและดังโงะมัทฉะ ที่มีส่วนผสมหลักจากอุจิมัทฉะ


  • Nakamura Tokichi

ร้านชาเขียวเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1870 ขึ้นชื่อเรื่องประวัติของการชงชา จริงๆ แล้วร้านนี้มี 2 สาขา สาขาแรกจะอยู่ใกล้กับสถานี JR Uji Station แต่สาขาที่แนะนำจะเป็นสาขาเปิดใหม่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก เพราะตัวร้านอยู่ติดริมแม่น้ำอุจิ


บ้านไม้โบราณสองชั้น เสิร์ฟทั้งเมนูคาว-หวาน แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมีส่วนผสมของชาเขียว ไม่ว่าจะเป็น 'โซบะชาเขียว' เสิร์ฟเย็นคู่กับน้ำซอสรสชาติกลมกล่อม รุงรสด้วยมะนาว ไชเท้าและวาซาบิได้ตามชอบ หรือของหวานขึ้นชื่ออย่าง 'เกียวคุโระ' เจลลี่ชาเขียวคุณภาพดีรสเข้มข้นเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมนมรสนุ่ม ตัวแป้งโมจิเนื้อเด้งและซอสชาเขียวรสหวาน เมนูไฮไลท์ของ Nakamura Tokichi ที่ไม่ควรพลาด

 

  • Tako Q

เผื่อท้องและเตรียมใจมาลองชิม "เกี๊ยวซ่าอุจิมัทฉะ" และ "ทาโกะยากิอุจิมัทฉะ" กันด้วย เมนูเกี๋ยวซ่าจะมีผงมัทฉะโรยมาด้วย ส่วนทาโกะยากิจะราดซอสมัทฉะให้เลย เล่าในฐานะคนที่ได้ลองชิมสารภาพว่ารสชาติชาเขียวไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นเมนูแปลกใหม่ที่มาแล้วก็ควรต้องลอง

 

ยังมีเมนูอีกมากมายที่น่าลิ้มลองตลอดสองข้างทาง และถ้าเดินลึกเข้าไปหน่อยจนเกือบสุดทางจะเห็น Starbucks อยู่ด้านซ้ายมือเยื้องๆ กับทางเข้าวัดเบียวโดอิน ถึงจะเป็นสาขาเล็กๆ แต่ก็ตกแต่งได้น่ารัก ออกแบบพื้นที่และมุมต่างๆ ของร้านได้เข้ากับบรรยากาศของเมือง แนะให้แวะจิบกาแฟสักแก้วก่อนเริ่มต้นเที่ยวอีกครึ่งเมืองที่เหลือ

3. วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)

นอกจากที่นี่จะได้รับคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่นแล้ว วิหารไม้สีแดงที่ตั้งอยู่ใจกลางวัด คือวิหารที่อยู่บนเหรียญสิบเยนของญี่ปุ่นนั่นเอง นักท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายตามรอยประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นจึงไม่ควรพลาดมาเยือนวัดนี้ด้วยประการทั้งปวง

วัดเบียวโดอิน สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเฮอันในปี ค.ศ. 1052 ช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา อาคารต่างๆ ของวัดเบียวโดอินเสียหายและถูกทำลายหลายครั้ง แต่วิหารแห่งนี้เป็นหนึ่งในอาคารไม้เพียงไม่กี่หลังที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย จึงถูกยกให้เป็นหนึ่งในวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวในประวัติศาสตร์  พื้นที่ภายในประกอบด้วย หอหลัก  Amida-do Hall หรือหอนกฟินิกซ์ (Phoenix Hall) วิหารไม้สีแดงสดตั้งอยู่ตรงใจกลางวัด ภายในหอเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไม้แกะสลัก สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้แต่จะต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มเติม 300 เยน นอกจากนั้นยังมี พิพิธภัณฑ์ (Hoshokan Museum) พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของโบราณที่มีอายุกว่า 1,000 ปี ร้านชาอุจิ (Tea Salon Toka) จำหน่ายชุดชาอุจิสุดพรีเมียมบนเนินสูง นอกจากนี้ยังมีวัดและศาลเจ้าให้แวะสักการะไปพร้อมๆ กับเดินชมสวนญี่ปุ่นรอบบริเวณวัด

4.ศาลเจ้าอุจิ (Uji Shrine)

ออกจากวัดเบียวโดอิน มาทาง Starbucks แล้วเดินตรงขึ้นไปจนเจอกับแม่น้ำอุจิ ให้เดินข้าสะพานอาสะกิริเพื่อไปยังศาลเจ้าอุจิ  ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 800 ปี เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตย์ของเทพ 3 องค์ ได้แก่ ทพสุซาโนะโอะ โนะมิโคะโตะ, เทพเจ้าคุชิอินาดาฮิเมะ โนะมิโคะโตะ และเทพยะฮาชิระ โนะมิโคะโตะ  จึงเป็นศาลเจ้าที่มีความโดดเด่นด้าน การเรียน คลอดลูก และปัดเป่าภัยร้าย และหากสังเกตจะเห็นว่ามีรูปปั้นกระต่ายตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ของศาลเจ้า รวมถึงเครื่องรางประจำศาลและเอมะ หรือแผ่นไม้ที่เขียนคำอธิษฐาน ไปจนถึงถุงเครื่องราง ก็เป็นรูปกระต่าย เนื่องจากกระต่ายนั้นเป็นสัตว์รับใช้ของเทพเจ้าประจำศาลเจ้านั่นเอง นอกจากความเชื่อของกระต่ายเรื่องเกี่ยวกับการคลอดบุตร ยังเชื่อว่า 'กระต่ายเหลียวหลัง'จะคอยนำทางที่ถูกต้องให้กับคนที่มาสักการะอีกด้วย

5. Matcha Republic คาเฟ่ชาเขียวสไตล์มินิมอล

ออกจากศาลเจ้าอุจิ เดินตรงมาจนถึงอีกฟากหนึ่งของสะพานอุจิ ถ้าคุณกะเวลาการเที่ยวในเมืองให้ดีและมาถึงบริเวณนี้ช่วยบ่ายแก่ๆ อาจจะได้เก็บภาพแสงอุ่นๆ ที่สะท้อนพื้นน้ำพร้อมกับภาพของคนเมืองและนักท่องเที่ยวที่นั่งพักผ่อนอยู่ริมแม่น้ำอุจิ

และก่อนจะกลับไปยังสถานี JR Uji Station เราอยากให้คุณแวะ Matcha Republic คาเฟ่ชาเขียวสไตล์มินิมอลคนญี่ปุ่นพูดถึงมากที่สุดในเกียวโต มีเมนูขายดีอย่าง Matcha Latte ชาเขียวมัทฉะนม ที่ใช้อุจิมัทฉะแท้ๆ กับนมสดฮอกไกโด รสชาตกลมกล่อมหอมมัทฉะสุดๆ แต่ถ้าอยากเพิ่มความสดชื่นสักหน่อย ลองเป็น Matcha Lemon Soda ยังได้อารมณ์ชาเขียวแต่เบรกความเลี่ยนด้วยเลมอน

ซิกเนเจอร์อีกเรื่องของร้านคือการออกแบบขวดเครื่องดื่มมัทฉะให้มีรูปเหมือนขวดหมึก มีให้เลือกได้ 8 รสชาติ อาทิ Matcha Latte, Double Green Tea, Matcha White Chocolate, Rock Salt-Cheese Matcha Latte นอกจากนี้ยังมีเมนูไอศกรีมและของหวานให้ลองอีกต่างหาก


หวังว่า One Day Trip ที่เมืองอุจิครั้งนี้จะทำให้ “ชาเขียวเลิฟเวอร์” เต็มอิ่มกับรสสัมผัสของชาเขียวอุจิต้นตำรับกันแบบจุกๆ เช่นเดียวกับนักเดินทางที่หลงใหลประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น อุจิ จะทำให้คุณได้เห็นแง่งามที่ซุกซ่อนอยู่ในเมืองเล็กๆ ของเกียวโตแห่งนี้

อัลบั้มภาพ 34 ภาพ

อัลบั้มภาพ 34 ภาพ ของ แจกแพลนเที่ยว uji (อุจิ) เมืองชาเขียวแห่งเกียวโต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook