"ฟูจิเมืองไทย" ความงามที่น่าไปสัมผัส
ภูเขาฟูจิเมืองไทย หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “ภูป่าเปาะ" ตั้งอยู่ในบ้านผาหวาย อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย หรือที่คุ้นหูกันในชื่อ "ฟูจิเมืองเลย" นั่นแหละ เป็นหนึ่งในหมุดหมายของนักท่องเที่ยวที่หวังไปชมความงามยามเช้า สายหมอกปกคลุมภูหอ ภูเขาที่มีลักษณะยอดปลายตัด คล้ายกับภูเขาไฟฟูจิยามาในประเทศญี่ปุ่น
ที่นี่ยังถือเป็นชุมชนเข้มแข็งสืบสานแนวพระราชดำริ" ซึ่งชมรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูป่าเปาะ (องค์กรสวัสดิการชุมชน) เกิดจากการรวมกลุ่มของชาวชุมชนบ้านผาหวาย รวมตัวกันจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ภายใต้ฐานทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าและลดความขัดแย้งกับหน่วยงานภาครัฐ
เปลี่ยนสถานะมาสู่ผู้ดูแลรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนช่วยกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และต่อยอดสู่การพัฒนาด้านอาชีพสร้างงานสร้างรายได้ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวบ้านในพื้นที่ชีวิตชาวบ้านในพื้นที่
“นายบุญลือ พรมหาลา” ผู้ใหญ่บ้านผาหวาย และประธานชมรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูป่าเปาะ เล่าให้ฟังว่า กว่าที่นี่จะถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในอดีตชาวบ้านยังทำมาหากินกับป่า ทำการเกษตร หาของป่า แต่เมื่อมีการประกาศให้ที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขตป่าสงวนแห่งชาติภูค้อ-ภูกระแต และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต
ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ก็เริ่มมีความขัดแย้งกัน เมื่อชาวบ้านเข้าไปหารายได้จากป่าไม่ได้ก็เริ่มออกจากหมู่บ้าน เหลือแต่คนเฒ่าคนแก่ เด็กเล็ก จนตนเข้ามารับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ก็เริ่มหาแนวทางในการแก้ปัญหา
กระทั่งในปี 2554 ได้พัฒนาภูป่าเปาะให้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมเริ่มหาทุนในการทำถนนในการขึ้นไปชมภูป่าเปาะ และมีนักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาเที่ยวในปี 2557 ชาวบ้านเริ่ม เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ในปัจจุบัน มีกลุ่มแม่บ้านในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกิดขึ้นกว่า 10 กลุ่ม ทั้งผ้าทอย่าม เสื้อสมุนไพร ขนม ฯลฯ มีรถ อีแต๊กนำเที่ยวกว่า 70 คัน มีโฮมสเตย์ มีมัคคุเทศก์โดยคนในพื้นที่
เจ้าหน้าที่และชาวบ้านมีความสัมพันธ์กันเหมือนพี่น้อง ช่วยกันดูแลรักษาป่า และที่สำคัญคือ คนที่ย้ายออกไปจากหมู่บ้านก็เริ่มกลับเข้ามายังถิ่นกำเนิดด้วย ในปีนี้ก็อาจจะมีการคิดทำกิจกรรมเพิ่มขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เวลาในหมู่บ้านมากขึ้น" ผู้ใหญ่บ้านผาหวายเล่า..
ก่อนแสงแดดจะอ่อนแรงเรารีบนั่งรถอีแต๊กของชาวบ้านไปชมพระอาทิตย์ตกที่ภูป่าเปาะ เสียค่ารถเพียงคนละ 60 บาท จุดชมวิวบนภูมีทั้งหมด 4 จุดด้วยกัน ระหว่างนั่งรถไปยังจุดแรกก็ชมวิวข้างทางไปพลางๆ ไกด์ที่มาด้วยบอกว่าถ้ามาในช่วงหน้าหนาวถนนสองฟากฝั่งจะถูกประดับไปด้วยดอกหญ้าสีขาว และดอกดาวกระจายสีเหลืองซึ่งเป็นดอกไม้ท้องถิ่นเต็มไปหมด
แต่น่าเสียดายที่เรามาในช่วงหน้าร้อน ดอกไม้เลยผลิดอกให้เห็นบ้างประปราย สักพักก็มาถึงจุดชมวิวแรก จุดนี้มองเห็นภูหอตั้งอยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจน แต่อาจจะไม่ได้มุมที่กว้างมากนักเพราะจุดที่จะชมพระอาทิตย์ตกสวยที่สุด ไกด์บอกว่าจะต้องเป็นจุดที่2และ4
ไปต่อยังจุดที่ 2 ที่ห่างกันไม่มากนัก ตรงจุดนี้ทำให้เราได้ความรู้สึกใกล้และมองเห็นภูหอได้ชัดขึ้น เห็นสภาพป่าบริเวณด้านล่างเดี๋ยวจะไม่ทันแสงเย็น เรามุ่งหน้าต่อไปยังจุดที่ 3 จุดนี้จะได้เห็นภูหอแค่บางส่วน แต่หากหันหลังกลับมาก็จะมีวิวภูเขาให้ชม ไกด์บอกว่าหากมองดูดีๆ จะเห็นภูเขามีรูปร่างคล้ายกับผู้ชายและผู้หญิง แต่มองเท่าไหร่ก็ดูไม่ออกเสียที
แต่คนอื่นๆ ก็เห็นเป็นรูปร่างตามที่ไกด์บอกกันทุกคนถึงจะมองไม่ออกแต่ก็ต้องขอบอกว่ามันสวยมากจริงๆ เดินขึ้นไปยังจุดที่ 4 ต้องมีการ เตรียมตัวเล็กน้อย ดื่มน้ำเตรียมร่างกายให้พร้อม ใครเป็นโรคหอบ โรคหัวใจ โรคความดัน หรือมีโรคประจำตัวที่อาจจะกำเริบในระหว่างเดินไปยังจุดที่ 4 ที่ต้องเดินเท้าประมาณ 250 เมตร ก็ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด นั่งรออยู่ด้านล่างดีกว่า
ส่วนใครที่อยากชมพระอาทิตย์และวิว 360 องศา ก็อยู่ในกลุ่มผู้พิชิตยอดภูป่าเปาะ ระหว่างทางเดินก็ไม่ได้เดินยาก มีราวให้จับอยู่ตามไหล่ทางที่มีชั้นบ้าง บางจุดก็เรียกเสียงหอบได้เหมือนกัน
ไม่กี่อึดใจเราก็มาถึงจุดที่ 4 คุ้มจริงๆ ที่ได้ตัดสินใจเดินขึ้นมาบนนี้ ได้เห็นชัดมาก และยังได้เห็นยอดเขาภูหินร่องกล้า ภูหอ ภูหลวง ภูกระดึง ภูผาจิต ภูผาม่าน สวนหินผางาม และเขาค้อด้วย สามารถใช้เวลานั่งดื่มด่ำแสงยามเย็นของพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ได้สักพักก็ตัดสินใจลงไปเก็บภาพพระอาทิตย์ยังจุดที่ 2 อีก เพราะตรงจุดนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีมุม 360 องศา แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งอยู่ใกล้ภูหอเลย
ที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ อีก มีผลิตภัณฑ์จากฝีมือของชาวบ้านให้เลือกซื้อในราคาน่ารัก อีกด้วย ที่นี่ทุกคนสามารถ ดื่มด่ำกับอาหารพื้นเมืองรสเลิศ การบายศรีสู่ขวัญต้อนรับผู้ที่ไปเป็นหมู่คณะ การฟังเพลงเพื่อชีวิตฝีมืออันฉกาจของผู้ใหญ่บุญลือ พรมหาลา รับรองว่าเป็นค่ำคืนอันแสนสุขแน่นอน
ก่อนไปนอนดื่มด่ำกับธรรมชาติที่โฮมสเตย์ของชาวบ้าน เพราะที่นี่ไม่มีโรงแรมค่ะ เหมาะสำหรับนักผจญภัย ขาลุยแบกเป้ ไม่ควรพลาดเลยนะคะ