ทัวร์ปีมะเส็ง พิพิธภัณฑ์ฯ พระนคร เปิดตำนานอสรพิษ ทำไมงูลิ้นสองแฉก พระศอดำของพระศิวะ และกำเนิดนางมณโฑ

ทัวร์ปีมะเส็ง พิพิธภัณฑ์ฯ พระนคร เปิดตำนานอสรพิษ ทำไมงูลิ้นสองแฉก พระศอดำของพระศิวะ และกำเนิดนางมณโฑ

ทัวร์ปีมะเส็ง พิพิธภัณฑ์ฯ พระนคร เปิดตำนานอสรพิษ ทำไมงูลิ้นสองแฉก พระศอดำของพระศิวะ และกำเนิดนางมณโฑ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แจกเส้นทาง ทัวร์ปีมะเส็ง ตามหาตำนานต้นกำเนิดอสรพิษ ทำไมพระศิวะจึงมีอีกพระนามว่า “นิลกัณฐ์” ที่แปลว่า “พระศอดำ” และกำเนิดนางมณโฑ มเหสีเอกของทศกัณฐ์ในเรื่องรามเกียรติ์ เกี่ยวข้องอย่างไรกับการสมสู่ของนาคและงูดิน เหล่านี้คือบางส่วนของเรื่องราวในคัมภีร์ ตำนาน และความเชื่อเกี่ยวกับอสรพิษที่จะถ่ายทอดผ่านการนำชมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

Focus

  • เพื่อต้อนรับปีมะเส็ง 2568 หรือปีงูเล็ก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดนำชมโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในคัมภีร์ ตำนาน และความเชื่อเกี่ยวกับอสรพิษในหัวข้อ “อาศิรวิษนักษัตร”
  • การนำชมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Night at the Museum กับการเปิดพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมได้จนถึงเวลา 20.00 น. ระหว่างวันที่ 20-22 ธันวาคม พ.ศ. 2567 โดยจะจัดวันละ 1 รอบตั้งแต่เวลา 18.00-19.30 น.
  • ตำนานความเชื่อเกี่ยวกับอสรพิษเชื่อมโยงกับศิลปวัตถุที่จัดแสดง เช่น เทวรูปพระศิวะกับเรื่องพระศอดำ และจิตรกรรมสีฝุ่นรูปนางมณโฑที่เกี่ยวข้องกับนาคและงูดิน

ทำไมงูมีลิ้นสองแฉก ทำไมพระศิวะจึงมีอีกพระนามว่า “นิลกัณฐ์” ที่แปลว่า “พระศอดำ” และกำเนิดนางมณโฑ มเหสีเอกของทศกัณฐ์ในเรื่อง รามเกียรติ์ เกี่ยวข้องอย่างไรกับการสมสู่ของนาคและงูดิน เหล่านี้คือบางส่วนของเรื่องราวในคัมภีร์ ตำนาน และความเชื่อเกี่ยวกับอสรพิษที่จะถ่ายทอดผ่านการนำชมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุบนเส้นทาง ทัวร์ปีมะเส็ง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในยามค่ำคืน ในหัวข้อ “อาศิรวิษนักษัตร” เพื่อต้อนรับปีมะเส็ง 2568 หรือปีงูเล็ก

ทัวร์ปีมะเส็ง

กิจกรรม ทัวร์ปีมะเส็ง อัดแน่นด้วยเกร็ดความรู้และความสนุกเป็นส่วนหนึ่งของ ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ หรือ Night at the Museum กับการเปิด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ให้เข้าชมได้จนถึงเวลา 20.00 น. ระหว่างวันที่ 20-22 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และการนำชม “อาศิรวิษนักษัตร” จะจัดวันละ 1 รอบเท่านั้นตั้งแต่เวลา 18.00-19.30 น. โดยไม่ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่เวลา 17.00 น. และร่วมลุ้นรับของที่ระลึก พู่ห้อยมะเส็งเรียกทรัพย์ สีแดงและสีเขียวหยกที่จะแจกวันละ 10 ชิ้น

ทัวร์ปีมะเส็งศุภวรรณ นงนุช ภัณฑารักษ์ชำนาญการ“อาศิรวิษ แปลว่า งูและอสรพิษ ดังนั้นการนำชม ‘อาศิรวิษนักษัตร’ เราจึงพยายามหาตำนานเกี่ยวกับงูโดยใช้โบราณวัตถุเป็นตัวเชื่อม เช่น ในไตรภูมิพระร่วงมีการจัดลำดับชั้นของพญานาคกับงูดินที่เชื่อมโยงไปถึงกำเนิดนางมณโฑในเรื่อง รามเกียรติ์ ตำนานกวนเกษียรสมุทรของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เกี่ยวเนื่องกับพระนาม ‘นิลกัณฐ์’ หรือพระศอดำของพระศิวะและทำให้งูมีลิ้นสองแฉก หรือเครื่องถ้วยเบญจรงค์ 5 สีที่สัมพันธ์กับเจ้าแม่หนี่วาซึ่งมีร่างกายท่อนบนเป็นผู้หญิงและท่อนล่างเป็นงูใน ‘คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล’ หรือซานไห่จิง ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์บนโลกจากการปั้นดิน และช่วยโลกไม่ให้ถูกทำลายล้างด้วยการปั้นดิน 5 สีไปอุดรอยรั่วบนท้องฟ้าจากการต่อสู้ระหว่างเทพบนสวรรค์” ศุภวรรณ นงนุช ภัณฑารักษ์ชำนาญการ กล่าวถึงแนวคิดในการจัดกิจกรรมนำชมเพื่อต้อนรับปีมะเส็ง

ทัวร์ปีมะเส็ง

Sarakadee Lite พาไปพรีวิวจุดนำชมบางส่วนในเส้นทาง อาศิรวิษนักษัตร บนพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ที่ประทับของพระมหาอุปราชตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมแล้วก็สามารถปักหมุดเซฟลิสต์แล้วไปตามรอยกันได้เลย

ทัวร์ปีมะเส็ง

พิษร้ายแรงของนาคและพระศอดำของพระศิวะ

พิกัด : ห้องสุโขทัยอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

ไฮไลต์ : เทวรูปพระอิศวรหรือพระศิวะ หนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาฮินดูหล่อจากสำริด ศิลปะสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 19-20 หรือประมาณ 600-700 ปีมาแล้ว สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท) พระเศียรทรงชฎามงกุฎประดับปิ่นพระจันทร์เสี้ยว มีพระเนตรที่ 3 สัญลักษณ์แห่งไฟบรรลัยกัลป์ และมีสายธุรำหรือสายยัชโญปวีต ซึ่งเป็นเครื่องหมายของวรรณะกษัตริย์และพราหมณ์โดยสายธุรำขององค์พระศิวะทำจากนาคและส่วนหัวของนาคอยู่บริเวณพระอังสะ

อีกหนึ่งเทวรูปสำริดศิลปะสุโขทัยที่ประทับเคียงข้างกันคือ พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เป็นหนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดของฮินดูในฐานะผู้รักษาปกป้องโลก และตามการปกครองแบบลัทธิเทวราชาเชื่อว่ากษัตริย์คือพระนารายณ์อวตารลงมาเพื่อปราบทุกข์เข็ญของประชาชนเปรียบดังสมมุติเทพ พระนารายณ์องค์นี้ถึงแม้มีสี่กร แต่ทรงอาวุธแค่สองสิ่งคือจักรและสังข์

ทัวร์ปีมะเส็ง

ตำนานอสรพิษ : พระศิวะมีอีกพระนามว่า “นิลกัณฐ์” ที่แปลว่า “พระศอดำ” ซึ่งมาจากตำนานการกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอมฤต เรื่องเกิดจากฤาษีทุรวาสพิโรธพระอินทร์และสาปให้เทวดาทั้งหลายเสื่อมอิทธิฤทธิ์ทำให้พ่ายแพ้เมื่อต่อสู้กับพวกอสูร พระอินทร์จึงนำความขึ้นทูลปรึกษาพระนารายณ์ พระองค์จึงทรงแนะนำให้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำอมฤตให้เทวดาได้ดื่มเป็นอมตะและเพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์ แต่การกวนเกษียรสมุทรต้องใช้แรงมาก เหล่าเทวดาจึงชวนอสูรให้มาร่วมด้วยโดยหลอกล่อว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้ เขามันทระถูกนำมาใช้แทนไม้พายในการกวนมหาสมุทรและพญานาควาสุกรี อุทิศร่างต่างเชือกใช้กลางลำตัวพันรอบเขา

“ฝ่ายเทวดาอ้างว่าพวกตนฤทธิ์น้อยขอถือฝั่งหาง และให้พวกอสูรถือฝั่งหัวเนื่องจากคาดการณ์ไว้แล้วว่าเมื่อพญานาคถูกแรงยื้อยุดไปมาจะเวียนหัวและบาดเจ็บจนสำรอกพิษออกมา และเป็นเช่นนั้นจริงทำให้พิษร้ายโดนพวกอสูรเป็นเหตุให้มีหน้าตาอัปลักษณ์ พิธีดำเนินต่อไปจนเกิดแรงสั่นสะเทือนทำให้พื้นดินรองรับเขามันทระไม่ได้ พระนารายณ์จึงอวตารเป็นเต่ายักษ์เพื่อรองรับเขาไว้ การกวนเกษียรสมุทรดำเนินไปถึง 1,000 ปี จนบังเกิดสิ่งวิเศษผุดขึ้นมา 14 อย่าง

“สิ่งแรกคือยาพิษร้ายแรงมาก เพราะเกิดจากพญานาคพ่นพิษ พระศิวะจึงเสียสละตัวเองดื่มยาพิษนั้นเข้าไป พระอุมาเกรงว่าพระสวามีจะตายจริงจึงกดคอของพระศิวะไว้ แต่ด้วยความร้ายแรงของพิษที่ค้างอยู่ทำให้คอของพระศิวะไหม้เป็นสีดำ จึงทำให้พระศิวะมีอีกพระนามว่า ‘นิลกัณฐ์’ ที่แปลว่า “พระศอดำ” ดังนั้นในการสร้างเทวรูปพระศิวะจึงมีการใช้งูเป็นเครื่องประดับ ส่วนของวิเศษอีกอย่างคือ พระจันทร์เสี้ยว พระศิวะนำมาปักเป็นปิ่นเพื่อบรรเทาความร้อนของพิษ” ศุภวรรณอธิบาย

การสมสู่ข้ามตระกูลของนาคและงูดินสู่การกำเนิดนางมณโฑ

พิกัด : พระที่นั่งพุทไธสวรรย์

ไฮไลต์ : สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 โปรดให้สร้างตู้พระธรรม 3 ตู้สำหรับใส่พระไตรปิฎกและตั้งกั้นเป็นฝาประจันห้องในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ จิตรกรรมบนตู้พระธรรมเล่าเรื่อง รามเกียรติ์ ต่อเนื่องกันโดยด้านหน้าเป็นภาพลายรดน้ำและด้านหลังเป็นลายกำมะลอ ด้านหลังของตู้ที่ 1 เขียนตอนหนุมานบุกกรุงลงกาเพื่อตามหานางสีดาที่ถูกทศกัณฐ์ลักพาตัวไป มุมหนึ่งของตู้เป็นภาพหนุมานพบเจอทศกัณฐ์ขณะนอนอยู่กับนางมณโฑซึ่งตำนานการเกิดของนางมณโฑ มเหสีเอกของทศกัณฐ์มีความเกี่ยวข้องกับงูดินและนาค

ตำนานอสรพิษ : ในเรื่องรามเกียรติ์ กล่าวถึงพระฤาษี 4 ตนกำลังบำเพ็ญพรตอยู่ที่ป่าหิมพานต์ และมีโคนม 500 ตัวที่อาศัยอยู่ในป่าใกล้กับอาศรมมีใจเลื่อมใสจึงพากันมาหยอดนมในอ่างทุกเช้าเพื่อให้พระฤาษีได้ฉันเป็นประจำ และพระฤาษีมีใจเมตตาเผื่อแผ่นมเป็นทานให้นางกบตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นด้วย

“นาคถือตนเองเป็นอีลิต (elite) จะไม่สมสู่ข้ามตระกูลและมักดูถูกงูดินว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง แต่เจ้าหญิงแห่งเมืองนาคกลับไปสมสู่กับงูดินในป่าและฤาษีพบเห็นจึงจับแยก เพราะเห็นว่าไม่เหมาะสม นางนาคอับอายแทรกแผ่นดินหนีกลับเมืองบาดาล แต่ด้วยกลัวว่าฤาษีจะนำเรื่องนี้มาฟ้องพ่อจึงแอบขึ้นมาคายพิษลงในอ่างน้ำนม กบเห็นเหตุการณ์และด้วยความกตัญญูรู้คุณจึงยอมเสียสละชีวิตโดดลงไปในอ่างน้ำนมจนตัวตาย เมื่อฤาษีกลับมาเห็นจึงเกิดความสงสัยเลยปลุกเสกให้เป็นผู้หญิงรูปโฉมงดงามเพื่อถามหาสาเหตุและตั้งชื่อนางว่า มณโฑ จากนั้นก็นำนางไปถวายพระศิวะและกลายเป็นนางกำนัลของพระอุมา” ศุภวรรณเล่าความเกี่ยวข้องของงูและนาคกับนางมณโฑ

หนุมานพบเจอทศกัณฐ์ขณะนอนอยู่กับนางมณโฑหนุมานพบเจอทศกัณฐ์ขณะนอนอยู่กับนางมณโฑต่อมาเมื่อทศกัณฐ์สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ยกเขาไกรลาสที่เอนเอียงให้ตั้งตรงได้สำเร็จจากเหตุการณ์ที่ท้าววิรุฬหกโกรธตุ๊กแกที่ล้อเลียนขณะเดินขึ้นเขาไกรลาสเพื่อเข้าเฝ้าพระศิวะ จึงซัดสร้อยสังวาลนาคใส่ตุ๊กแกจนตายและแรงสั่นสะเทือนทำให้เขาไกรลาสทรุดเอียง ทศกัณฐ์ทูลขอพระอุมาเป็นรางวัลเนื่องจากทรงประกาศว่าหากผู้ใดทำสำเร็จจะบำเหน็จรางวัลตามที่ขอ พระศิวะทรงประทานให้ แต่ทศกัณฐ์เหาะไปได้แค่ครึ่งทางต้องนำกลับมาถวายคืน เพราะต้องอุบายพระนารายณ์ จึงขอเปลี่ยนเป็นนางมณโฑแทน

ท้าวจตุโลกบาลและคาถาปราบงู

พิกัด : พระที่นั่งพุทไธสวรรย์

ไฮไลต์ : จิตรกรรมฝาผนังในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์เขียนขึ้นราว พ.ศ.2338 ในสมัยรัชกาลที่ 1 หลังสร้างกรุงเทพฯ ไม่นานจึงเชื่อว่าเป็นฝีมือช่างชาวอยุธยา เพราะเขียนตามคตินิยมสมัยอยุธยาตอนปลาย การจัดวางองค์ประกอบภาพใช้เส้นสินเทาแบบฟันปลาเป็นตัวแบ่งภาพ ผนังด้านบนเหนือกรอบประตูหน้าต่างทั้ง 4 ด้านเขียนเป็นภาพเทพชุมนุมด้านละ 4 ชั้น และมีการเขียนเทพทั้งหมด 400 องค์ ส่วนผนังตอนล่างระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเรื่องพุทธประวัติรวม 32 ภาพ

ตำนานอสรพิษ : คติความเชื่อของพราหมณ์-ฮินดู และพุทธสอดคล้องกันว่ามีเทวดาสถิตรักษาอยู่สี่ทิศเรียกว่าท้าวจตุโลกบาล ประกอบด้วย ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร ประจำทิศเหนือ ปกครองยักษ์, ท้าววิรุฬหก ประจำทิศใต้ ปกครองครุฑและกุมภัณฑ์, ท้าวธตรฐ ประจำทิศตะวันออก ปกครองคนธรรพ์ และท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศตะวันตก ปกครองนาค

ท้าววิรูปักษ์ เจ้าแห่งนาคท้าววิรูปักษ์ เจ้าแห่งนาค
“ภาพที่เชื่อมโยงกับตำนานอสรพิษคือภาพเทพชุมนุมชั้นล่างสุดซึ่งเป็นภาพท้าวจตุโลกบาล คือเจ้าแห่งครุฑ เจ้าแห่งยักษ์ เจ้าแห่งคนธรรพ์ และเจ้าแห่งนาค โดยเขียนภาพท้าวทั้ง 4 สลับกันไปมา ในตำนานกล่าวว่าท้าววิรูปักษ์ เจ้าแห่งนาค เป็นผู้มอบคาถาวิรูปักเขหรือคาถาปราบงูแด่พระพุทธเจ้ายามเมื่อธุดงค์ถือศีลในป่าเพื่อใช้ไล่งูและสัตว์มีพิษ และในพระไตรปิฎกมีอหิราชสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อสวดแผ่เมตตาให้กับบรรดาอสรพิษต่างๆ เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ อหิราชสูตรเป็นคาถาต่อจากอาฏานาฏิยสูตรซึ่งเป็นคาถาไล่ผีที่ใช้พิธีสวดภาณยักษ์” ศุภวรรณกล่าว

ความแค้นระหว่างครุฑกับนาคส่งผลให้งูมีลิ้นสองแฉก

พิกัด : โรงราชรถ

ไฮไลต์ : ราชรถและราชยานเป็นหนึ่งในเครื่องประกอบในพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์และได้รับการสร้างอย่างวิจิตรงดงามตามคติความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นอวตารของพระนารายณ์หรือสมมุติเทพที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคตเท่ากับเป็นการเสด็จกลับสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์บนยอดเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ศิลปกรรมรูปครุฑจึงมักใช้เป็นองค์ประกอบของงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์เนื่องจากครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์ และรูปนาค สัตว์ในเทวตำนานผู้ปกป้องดูแลเขาพระสุเมรุที่อยู่ขององค์มหาเทพ 

ตำนานอสรพิษ : ตามตำนานกล่าวว่าครุฑและนาคเป็นพี่น้องต่างแม่และไม่ลงรอยกัน ครั้งหนึ่งกัศยปฤาษีให้นางทั้งสองขอพรได้คนละข้อ ผู้น้องนามว่า กัทรุ ขอพรให้มีลูกมากมายและแปลงกายได้ ส่วนฝ่ายพี่นามว่า วินตา ขอพรให้ตนมีลูกเพียงแค่สอง แต่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าลูกของน้องสาว เมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี นางกัทรุให้กำเนิดนาค 1,000 ตัว แต่นางวินตาคลอดลูกเป็นไข่สองฟองและไม่ยอมฟักเป็นตัว นางจึงทุบไข่ใบแรกทำให้บุตรมีร่างเพียงครึ่งท่อนนามว่า พระอรุณ ด้วยโทสะว่ามารดาทำให้ตนเกิดก่อนกำหนดจนพิการ พระอรุณจึงสาปให้มารดาของตัวเองเป็นทาสของนาคเป็นเวลา 500 ปี และบุตรจากไข่ใบที่ 2 จะเป็นผู้ช่วยให้นางพ้นคำสาป

“บุตรจากไข่ใบที่ 2 คือพญาครุฑ และถ้าจะไถ่ตัวแม่จากการเป็นทาสได้ต้องไปนำน้ำอมฤตจากสวรรค์มาให้นาค แต่เมื่อได้มาแล้วพญาครุฑก็ออกอุบายให้เหล่านาคไปอาบน้ำให้สะอาดก่อนดื่มน้ำอมฤต จากนั้นก็แอบเขี่ยไหให้แตก พวกนาคเสียดายจึงเลียน้ำที่หยดบนยอดหญ้าจนกระทั่งลิ้นถูกบาดเป็นสองแฉก กลายเป็นตำนานว่าทำไมงูจึงมีลิ้นสองแฉก” ศุภวรรณกล่าว

เบญจรงค์ 5 สี กับตำนาน “เจ้าแม่หนี่วา” ผู้สร้างมนุษย์จากดิน

พิกัด : ห้องเครื่องถ้วยในราชสำนัก หมู่พระวิมาน

ไฮไลต์ : คอลเลกชันเครื่องถ้วยเบญจรงค์ที่เขียนลวดลายด้วยสี 5 สี คือ แดง เหลือง ดำ ขาว และเขียว สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นสูงในราชสำนักสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 2 แหล่งผลิตเครื่องเบญจรงค์ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์น่าจะมาจากแหล่งเตาทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยทางราชสำนักสยามน่าจะให้ช่างเขียนลายต้นแบบ อาทิ รูปสัตว์หิมพานต์ เทวดา เทพนม ลายกระหนก ลายตัวละครในวรรณคดี เช่นเรื่องพระอภัยมณี และส่งไปให้ช่างจีนทำ ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการเดียวกับการสั่งซื้อ “ผ้าลายอย่าง” จากอินเดียที่บนผืนผ้าปรากฏลวดลายอย่างไทย

ตำนานอสรพิษ : ใน “คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล หรือซานไห่จิง ที่ว่าด้วยการเกิดโลกและสัตว์ประหลาด กล่าวถึงเจ้าแม่หนี่วา ผู้มีร่างกายท่อนบนเป็นผู้หญิงและท่อนล่างเป็นงู ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์บนโลกจากการนำดินโคลนมาปั้นเป็นรูปคนและเป่าลมให้มีชีวิต แต่เมื่อเริ่มขี้เกียจและต้องการสร้างคนจำนวนมากจึงใช้เชือกจุ่มไปในโคลนและสะบัดออกไป กลุ่มคนที่เกิดจากการปั้นมือในตอนแรกมีรูปร่างสวยและดูดีจึงกลายเป็นกลุ่มชนชั้นปกครอง แต่กลุ่มคนที่เกิดจากการสะบัดโคลนกลายเป็นกลุ่มทาส

“ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินแยกจากเสาค้ำยันสวรรค์หัก และท้องฟ้ารั่วจากการต่อสู้ระหว่างเทพบนสวรรค์ เจ้าแม่หนี่วาเป็นผู้ปั้นดิน 5 สี คือ ขาว แดง เหลือง เขียว และดำ เพื่ออุดรอยรั่ว จึงเป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมการใช้สี 5 สีเป็นพื้นฐานของทั้งจีน อินเดีย และเปอร์เซีย แต่เฉดสีอาจจะแตกต่างกันออกไป เช่น การทำเบญจรงค์ของจีน และการทำผ้าพิมพ์ลายอย่างของอินเดีย” ศุภวรรณอธิบาย

ทัวร์ปีมะเส็งกาชาปอง “มะเส็งเฝ้าทรัพย์”

Fact File

  • พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถนนหน้าพระธาตุ กรุงเทพฯ จัดกิจกรรม ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ” (Night at the Museum) โดยเปิดให้เข้าชมได้จนถึงเวลา 20.00 น. ระหว่างวันที่ 20-22 ธันวาคม พ.ศ.  2567
  • การนำชม ทัวร์ปีมะเส็ง “อาศิรวิษนักษัตร” ที่เล่าเรื่องตำนานอสรพิษ จัดวันละ 1 รอบในช่วง Night at the Museum ตั้งแต่เวลา 18.00-19.30 น. โดยไม่ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่เวลา 17.00 น.
  • ภายในงานยังมีกาชาปอง “มะเส็งเฝ้าทรัพย์” รูปตราประทับงูเฝ้าทรัพย์ ใต้ฐานสลักอักษรมงคลห้าประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ โดยเปิดสุ่มที่บูทมู-เซียม สตูดิโอ 064 ในตลาดพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ในราคาสุ่มละ 200 บาท
  • สอบถามเพิ่มเติม : โทรศัพท์ 0-2224-1333 และ 0-2224-1402 หรือ Facebook.com/nationalmuseumbangkok
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook