จากเชียงใหม่สู่แม่สะเรียง ตอนที่ 2 : ผจญภัยไปกับปายแอดเวนเจอร์
หน้าแรกไทยเที่ยวไทย > ท่องเที่ยววันหยุด > จากเชียงใหม่สู่แม่สะเรียง : ผจญภัย ไปกับปายแอดเวนเจอร์
จากเชียงใหม่สู่แม่สะเรียง ตอน ผจญภัย ไปกับปายแอดเวนเจอร์ วีระ กิจรัตน์ : เรื่อง / ภาพ 17 ธันวาคม 2547
ก่อนขึ้นรถ สัมภาระทั้งหมดนั้นถูกเอาขึ้นไปเก็บไว้บนหลังคา เนื่องจากรถนั้นคันเล็กแต่สัมภาระของนักท่องเที่ยวแต่ละคนนั้นมาก ลำพังการนั่งบนเบาะที่ค่อนข้างชิดกันก็ลำบากอยู่แล้ว ตอนนี้ผมรู้เลยว่าความรู้สึกของปลาซาร์ดีนที่อยู่ในกระป๋องเป็นยังไง ยิ่งตอนที่รถแล่นออกจากจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านแยกแม่มาลัยไปแล้วยิ่งกระอักกระอ่วนเพราะตลอดเส้นทางนั้นต้องผ่านโค้งมากมาย แต่ดีที่วิวสองข้างทางนั้นช่วยดึงความรู้สึกอยากอาเจียนลงได้บ้าง
มีคนเปรียบเปรยไว้ว่าปายนั้นก็เหมือนหลวงพระบางนั่นแหละ หรือถ้าเอาง่ายๆก็คือเหมือนๆกับเชียงใหม่เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว จึงทำให้นักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศแห่กันเข้ามาเยือน แต่ผมว่าเสน่ห์ของปายนั้น มันเป็นความลงตัวของหลายๆอย่าง ที่เอื้อให้การท่องเที่ยวนั้นทำได้ง่ายๆ เป็นเหมือนโลกส่วนตัว เมืองที่เงียบสงบ หลากหลายด้วยวัฒนธรรม ทั้งพม่า ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง ล้านนา และจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คงไม่พ้น กะเหรี่ยงคอยาว เพราะเมื่อพูดถึงแม่ฮ่องสอนทุกคนก็จะนึกถึงกะเหรี่ยงคอยาว หรือไม่ก็ทุ่งดอกบัวตองที่ดอยแม่อูคอ อ.ขุนยวม ซึ่งจริงๆแล้วแม่ฮ่องสอนนั้นยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากครับที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก อย่างเรื่องของการล่องแก่งแม่น้ำปายที่ผมกำลังจะนำเสนออยู่นี่ไง..... เราออกจากที่พักกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า พี่เล็ก แห่งปายแอดเว็นเจอร์ เป็นคนจัดการเรื่องของการล่องแก่งและปีนเขาให้กับพวกเรา โดยผม จะได้ไปรวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น 2 คน และ ฝรั่งอีก 2 คน เรือยางนั้นถูกนำไปสู่ต้นน้ำก่อนหน้าเราแล้วรวมถึงสัมภาระอีกส่วน เนื่องจากคืนนี้เราจะพักกันที่แค้มป์กลางป่า ระหว่างการล่องแก่ง รถสองแถวพาพวกเราไต่ความสูงเลาะเชิงเขาคดโค้งสู่ อ.ปางมะผ้า จุดที่เราจะได้ปีนเขากันอยู่ที่ บ้านลูกข้าวหลาม เป็นหมู่บ้านมูเซอดำ เรานั่งรออุปกรณ์ปีนเขาซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน คนที่พาเรามาบอกเพียงว่าให้คอยไกด์อยู่ที่นี่ แล้วก็ขับรถสองแถวออกไปจากหมู่บ้าน
ไม่นานนักเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าผา สูงประมาณ 12 เมตร มีรอกที่ใช้ร้อยเชือกปีนเขาผูกโยงอยู่กับโซ่ขนาดใหญ่อยู่ด้านบนสุด ไกด์บอกว่ามันถูกคล้องไว้กับก้อนหินใหญ่ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากมันอยู่สูงเกินไป ในรอกนั้นมีเชือกเส้นเล็กๆห้อยอยู่ จากนั้นไกด์ก็เชือกปีนเขาใส่เข้าไปแทนที่ ฝรั่งร่างใหญ่จะเป็นคนที่เริ่มปีนเป็นคนแรก พวกเราที่เหลือนั่งคอยเป็นกำลังใจอยู่ด้านล่าง พร้อมกับจัดการใส่ฮาร์เน็ส (อุปกรณ์ที่ใช้คล้องระหว่างขาและสะโพก) ให้เป็นที่เรียบร้อย หน้าผาที่นี่เป็นหน้าผาที่ใช้ปีนระดับเบื้องต้นครับ เหมาะสำหรับมือใหม่ถึงผู้ที่ไม่เคยปีนเลยก็ปีนได้ ไกด์จะเป็นคนคอยบอกวิธีการปีนให้เรา ทำยังไงจะปีนได้โดยไม่หมดแรงซะก่อน? แนะนำว่าให้ทำตัวแนบกับหน้าผามากที่สุด เพื่อคุณจะไม่เสียพลังงานในการพยุงตัวคุณไว้มากเกินไป และอีกอย่างคือทิ้งน้ำหนักลงที่เท้าให้มากกว่าแขน สำหรับผู้เริ่มปีน การปีนผาจะประสบความสำเร็จไปไม่ได้เลยถ้าคุณไม่ได้คิดก่อนว่าคุณจะปีนไปทางไหนต่อจากที่ผ่านมา เรียกว่าต้องคิดก่อนปีนครับไม่ใช่ว่านึกจะปีนก็ปีน ..... สำหรับหน้าผานี้ มีร่องน้ำที่ไหลลงมาตามรอยเชือก น้ำนั้นจะเซาะหินจนเป็นร่องเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่ปีนไปตามร่องนั้นแล้วล่ะก็ พอไปถึงจุดหนึ่งคุณก็จะหมดที่ยึดเกาะ แล้วก็จะหมดแรงไปโดยปริยาย แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ไกด์จะเป็นคนดึงเชือกที่ยึดกับตัวคุณให้ตึงตลอดเวลา แม้ว่าคุณจะหมดแรงเมื่อใดก็สามารถทิ้งตัวลงได้เลย แล้วก็หันมองรอบๆตัว ชมวิวมุมสูงไปพลางให้หายเหนื่อย แล้วก็สามารถโยนตัวเข้าไปเกาะหิน และปีนต่อได้ .... ถ้ามีแรง
เสียงไกด์แนะนำการปีนให้กับฝรั่งตัวโตคนนั้น "พุด ยัวร์ ไรท์ ฟุต ซอน เดอะไรท์" .... บ้าง "พุด ยัวร์ เล็ฟท์ ฟุต ซอน เดอะไรท์" บ้าง ผมฟังแล้วมันก็อย่างนั้นล่ะนะ พอขึ้นไปบนหน้าผาแล้วทุกอย่างดูจะเป็นสถานการณ์คับขันซะหมด จะให้บอกอย่างไรก็ตามเถอะ ชั่วโมงนั้นคงต้องบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อนล่ะครับ เพราะตัวเราเองจะรู้ดีที่สุดว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างตอนนั้น หลังจากปีนขึ้นหินก้อนใหญ่ด้านล่างไปสักพักผมเห็นเจ้าฝรั่งตัวโตนั้นออกอาการขาสั่น! ครับ อาจจะเนื่องจากน้ำหนักตัวของเขามากก็เป็นได้ และหลังจากปีนไปได้ครึ่งทางก็ขอพักก่อน สุดท้ายหลังจากพยายามจะปีนต่อแต่ปีนไม่ไหวก็เลยขอลง ไกด์ก็ค่อยๆผ่อนเชือกลงมาให้นั่งพักข้างล่าง ได้ยินแต่เสียงหอบ...แฮกๆ คราวนี้ถึงคราวที่ผมต้องแสดงฝีมือบ้างแล้ว มันจะซักแค่ไหนกันเชียว ก็เห็นๆกันอยู่ ตอนเด็กๆก็ปีนต้นไม้บ่อยๆน่าจะไม่ยาก ... ฮืมม์!!! ไกด์นำเชือกที่ปลดจากเจ้าฝรั่งตัวโตนั้นมาคล้องที่ผมเป็นรายต่อไป และก่อนปีนทุกครั้งไกด์จะเป็นคนคอยเซ็ทเรื่องของอุปกรณ์และความปลอดภัยให้เรา ผมตรงไปยังก้อนหินใหญ่ที่เราจะใช้ไต่ขึ้นได้ง่ายๆเป็นอันดับแรก แล้วก็เริ่มหาแง่หินเกาะไปเรื่อยๆ ช่วงแรกไม่ยากครับ มาถึงช่วงกลางหน้าผาที่เมื่อกี้เจ้าฝรั่งตัวโตยอมแพ้ไปนั้น เป็นจุดที่ต้องเบี่ยงตัวไปทางซ้ายทั้งตัว โดยต้องทิ้งน้ำหนักตัวไปก่อน เสียงกับการเสียหลักมากๆ ผมอาศัยที่แขนขายาว เอาตัวรอดมาได้ แต่พอปีนต่อไปสักพักผมรู้ตัวแล้วว่าปีนมาผิดทาง เพราะฉีกออกมาทางซ้ายและห่างจากร่องน้ำนั้นมากไป มองไปข้างบนนั้นหมดจุดที่มือจะเอื้อมไปยึดเกาะได้แล้ว มองไปร่องน้ำทางขวาเห็นมีแง่หินที่ถูกน้ำเซาะอยู่พอให้จับยึดได้บ้างแต่ก็ไกลเกินกว่าที่จะเอื้อมไปถึงซะแล้ว ผมไม่ได้ฟังคำแนะนำของไกด์หรอกครับ ..ปีนอย่างเดียว ถึงตรงนี้ไปต่อก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ เกาะอยู่อย่างนั้นแล้วก็หันมองซ้ายมองขวา แรงที่มีก็ร่อยหรอลงไปทุกที จนในที่สุดผมจึงต้องปล่อยหน้าผา ห้อยตัวชมวิวสักพัก ตอนนี้รุ้สึกเลยว่าแขนทั้งสองข้างมันล้ามากๆ แทบจะไม่มีแรงเหลือเลย ในใจไม่อยากจะปีนต่อแล้วหละ แต่ไหนๆก็ปีนมามากกว่าครึ่งทางแล้ว จึงกัดฟันโยนตัวเข้าไปที่หน้าผาอีกครั้ง คราวนี้ผมจับแง่หินตรงร่องน้ำนั้นได้แล้ว เห็นทางปีนใส่ๆแล้วครับ แต่แขนทั้งสองข้างมันหมดแรงไปแล้วครับ ยิ่งดึงตัวไปได้อีกระดับหนึ่งแล้วไปถึงชะง่อนหินที่ยื่นออกมา ยิ่งทำให้ปีนยากขึ้นไปอีก สามารถดึงตัวขึ้นไปได้แต่เท้าจะเหยียบยากมากๆ แรงพยุงตัวอยู่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แรงตัวเองหรอก รู้สึกว่าไกด์จะเอาใจช่วยมากไปจนเชือกที่โยงตัวผมอยู่นั้นตึงเป้ะเลยทีเดียว จนแล้วจนรอดผมก็ดึงตัวขึ้นไปสัมผัสกับโซ่เส้นใหญ่นั้นได้ แล้วก็ทิ้งตัวลงอย่างหมดเรียวแรง ลงมาถึงพื้นแขนสั่นครับ.... ต้องหาที่นั่งพักอย่างเดียวเลย ไม่นึกเลยว่ามันจะเหนื่อยขนาดนี้ ......... ระหว่างที่คนที่เหลือทยอยกันปีนหน้าผาอยู่นั้น ผมได้คุยกับไกด์ที่ยืนคุมเชือกอยู่นั้น บอกว่ามีกรุ๊ปชาวต่างชาติที่ชอบกีฬาปีนเขาจริงๆ เขาจะมาจ้างให้พาไปปีนที่หน้าผาอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับชี้มือให้ดู เป็นหน้าผาสูงชันของภูเขาอีกลูกหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาเดินเข้าไปครึ่งวัน ความสูงของหน้าผาที่ใช้ปีนกันคือ 200 เมตร ใช้เวลาปีนประมาณ 8 ชั่วโมง ไม่อยากจะคิดว่าอย่างพวกเราจะปีนกันได้ยังไง แค่ 10 เมตรแรกก็คงถอดใจแล้วหละครับ แต่ในใจลึกๆผมยังติดใจการปีนหน้าผานี้อยู่ครับ มันท้าทายดี แต่ร่างกายต้องพร้อมกว่านี้ครับ แล้วคงจะได้เจอกัน....พี่บอย แห่งเว็บไซ้ท์ไทยอินโดไชน่า ซึ่งปฏิเสธการลองปีนหน้าผาตั้งแต่แรก ก็ยังนึกสนุกลองปีนดูบ้าง ด้วยพี่บอยเป็นคนที่รูปร่างสันทัดหรือดูออกจะอ้วนไปหน่อยจึงทำให้การปีนค่อนข้างจะลำบาก แต่ที่สุดแล้วก็ปีนขึ้นไปจนได้
เสร็จภารกิจการปีนเขาในช่วงเช้าแล้ว เราเดินทางมายังบ้านห้วยสันนอก เพื่อเตรียมตัวล่องแก่ง พี่เล็กเป็นคนอธิบายรายละเอียดของการล่องแก่งทั้งหมด ตั้งแต่หลักการพาย การใส่เสื้อชูชีพและหมวกกันน๊อก รวมถึงการพักค้างแรมของพวกเราในคืนนี้ที่แค้มป์พักกลางป่า รวมระยะทางทั้งหมด 45 กิโลเมตร สัมภาระที่จำเป็นกัปตัน หรือนายท้ายเรือจะนำเก็บไว้ในถังพลาสติกกันน้ำ เก็บไว้กลางเรือ ช่วงเช้านี้เราล่องแก่งกันแบบไม่ได้หวือหวาอะไรนัก เป็นการล่องเพื่อชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางเราพบเห็นนกนานาชนิด นกกระเต็นหลากสี และที่น่าประทับใจที่สุดคือฝูงนกขุนทอง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของป่าได้ดี ช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาวแล้ว ผมเองไม่ไคร่อยากให้ตัวเปียกเท่าใดนัก เพราะอาจจะเป็นหวัดได้ง่าย ฉะนั้นตลอดเส้นทางจึงพยายามไม่เล่นสาดน้ำกับเรือยางลำอื่นๆมากนัก วันนี้เรือยางที่ลงมาด้วยกันทั้งหมด 4 ลำ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่มารวมกันตอนเช้า 2 ลำ และอีก 2 ลำเป็นคนไทย ตอนเที่ยงนั้นแวะพักทานอาหารกันที่ริมตลิ่ง อาหารที่แพ๊กมาเป็นถุงถูกแจกจ่ายให้กับแต่ละคน หาที่นั่งทานกันตามสบาย ไม่นานนักก็ออกเดินทางกันต่อ
พ้นคุ้งน้ำข้างหน้าไปแล้วเหลียวมามองด้านหลัง ลำอื่นๆที่เหลือส่งเสียงกันเซ็งแซ่ สาดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน กับทิวเขาที่สูงตระหง่านอยู่ข้างหลัง ใต้ร่มเงาของกิ่งไผ่ที่ยื่นออกมาเป็นร่มบังแดดให้ ยามนี้เสียงหัวเราะนั้นออกมาจากหัวใจที่ร่าเริงมีเสรีอย่างนกที่โบยบินอบู่เบื้องบน กับตันชี้ให้พวกเราดูฝูงควายที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้ หลายตัวนั้นมีกระดิ่งผูกเอาไว้ด้วย ชาวบ้านแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงซึ่งนับถือเจ้าป่าเจ้าเขา และนับถือผี กัปตันบอกว่า "วัว ควาย ที่นี่เขาจะเลี้ยงกันแบบนี้" คือ เลี้ยงโดยการปล่อยเอาไว้ในป่า "แล้วเขาจะจำได้ยังไงล่ะครับว่า ของใครเป็นของใคร?" ผมถาม แต่พี่กัปตันก็ยืนยันว่า จำได้แน่นอน เพราะเขาได้ฝากเจ้าป่าเอาไว้ แล้ววัวควายมันจะจำเจ้าของมันได้ด้วย "แต่ถ้าไม่ใช่เจ้าของมัน มันก็จะไล่นะ" พวกเขาจะปล่อยวัวควายไว้อย่างนี้ เป็นเดือน สองเดือน หรือสามเดือน และหลังจากที่นำควายกลับไปจากป่าแล้ว ก็จะมีการทำพิธีเซ่นไหว้เจ้าป่าด้วย เหล้าขาว และไก่ต้ม "แล้ววัวควายนี่ มันไม่โดนเสือกัดบ้างหรือครับ?" ผมสงสัยหนักขึ้นเพราะเห็นว่าเขาปล่อยอย่างนี้ วัวควายมันน่าจะเดินไปทั่วป่า ยังไงถ้ามีเสือมันก็น่าจะเจอกันบ้างหละ "ไม่นะ เจ้าป่าจะคอยดูแลให้ นอกเสียจากว่าเจ้าของ วัวควาย นั้น ทำอะไรไม่ดี เสือก็จะกัด" พี่กัปตันตอบ ส่วนผมก็ได้แต่ งงๆ เพราะเป็นเรื่องแปลกๆ ดี
วันนี้ล่องแก่งชมธรรมชาติกันจนเย็น มาถึงแค้มป์พักกันประมาณ 5 โมงเย็น บริเวณใกล้เคียงนี้ก็มีแค้มป์พักหลายที่ด้วยกัน แต่ละที่จะปลูกเป็นลักษณะ กระท่อมไม้ไผ่ แบบชั่วครามไม่ถาวรอะไรมากนัก มีชุดเครื่องนอนให้ โต๊ะทานอาหารทำด้วยไม้ไผ่ อยู่กลางกระท่อมอีกหลังหนึ่ง ซึ่งดูแล้วเป็นเหมือนโรงครัวมากกว่า ที่นี่พี่เล็กจ้างชาวบ้าน 2 คนไว้คอยเฝ้าดูแลของซึ่งก็เป็นชาวบ้านในแถบนั้นนั่นเอง เมื่อนำสัมภาระทั้งหมดลงจากเรือแล้ว สต๊าฟจัดแจงก่อไฟเตรียมหุงหาอาหารให้พวกเราทานกันเย็นนี้ และมีอีกส่วนเป็นไกด์น้ำพวกเราไปมุดถ้ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแค้มป์พักมากนัก ภายในถ้ำเต็มไปด้วยโคลน ทางเข้านั้แคบชนิดที่เรียกว่าต้องสมมุติตัวเองเป็นปลาไหล ค่อยๆ มุดตามกันเข้าไป ฝรั่งหลายคนถอดใจตั้งแต่แรกเห็น ตัวพวกเขาใหญ่เกินจะเข้าไปได้ หรือนี่จะเป็นอุบายให้พวกเรามาพอกโคลนกันแน่ เพราะแค่เข้าไปก็โคลนติดเต็มตัวแล้วครับ สนุกดีเหมือนกัน ระยะทางที่เข้าไปในถ้ำนั้นประมาณ 200 เมตร เห็นจะได้ แต่สต๊าฟบอกว่าไม่มีทางออกทางอืน ต้องกลับทางเดิม ออกมาแล้วก็ได้แต่หัวเราะกันครับ แต่ละคนนั้นหน้าตามอมแมม ดูไม่ได้เลย ระหว่างทางเดินกลับแค้มป์พวกเรายังได้ไปนั่งแช่น้ำร้อนกันอีกจุดหนึ่งของลำธาร เพื่อล้างโคลนนั้นออก แปลกแต่จริงครับ เมื่อโคลนรวมกับน้ำร้อนมันทำให้ผิวเรานั้นรู้สึกกระชับ รู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆครับ หลายคนที่เข้าไปด้วยกันบอกอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อกลับมาถึงที่แค้มป์พักแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำอีกแล้ว เพราะผมได้ผ่านการล้างตัวมาแล้ว(จริงๆแล้วหนาวครับ) อาหารเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่โต๊ะอาหารกับบรรยากาศกลางป่า ใต้แสงเทียนอันใหญ่ ล้อมรอบด้วยตะเกียงน้ำมันจุดเป็นระยะ จากแค้มป์ไปถึงห้องน้ำที่อยู่ด้านหลัง อาหารนั้นจัดเป็น 2 โต๊ะด้วยกัน ชาวต่างชาติจะไม่ทานรสเผ็ด สตีาฟก็จัดอาหารไว้สองส่วนเพื่อความสะดวก มื้อนี้ที่ถูกใจหลายๆคนก็นเห็นจะเป็นผักกูดผัดน้ำมัน ชาวญี่ปุ่น 2 คนที่มาด้วยถึงกับถามว่ามันคือผักอะไร สงสัยจะแอบเอาไปปลูกขายที่ญี่ปุ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ซิ .....
|