ภูสอยดาว (ตอนแรก)
หยาดฝน ลานสน บนภูสูง (ตอนแรก) 18 กรกฏาคม 2546 นุ บางบ่อ , นายบี ... เรื่อง นุ บางบ่อ , นายบี ... ภาพ คำเตือน หากต้องการอ่านเนื้อหาเรื่องนี้ ควร Print ออกมาอ่านจะดีกว่าการนั่งเพ่ง Monitor เพราะเป็นเรื่องยาว อาจะทำให้สายตาเมื่อล้าก่อนอ่านจบได้ สายฝนกระหน่ำโปรยปรายลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เสื้อกันฝนของทุกคนถูกนำมาใช้ เส้นทางเดินตอนนี้ได้กลายเป็นธารน้ำเล็กๆ ไหลให้พวกเราได้เดินทวนกระแสไป
การเที่ยวแบกเป้แบบลุยๆ ค่ำไหนนอนนั่น หรือที่ฝรั่งเขาเรียก Back Pack นั้น เริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นในหมู่เยาวชนไปถึงคนทำงาน ซึ่งส่อให้เห็นถึงว่า เดี๋ยวนี้คนไทยหลายคนไม่ยึดติดกับความสะดวกสบายกันแล้ว ซ้ำยังชอบที่จะเดินทางไปแสวงหาความลำบาก ใช้ชีวิตแบบเป็นอันเดียวกับธรรมชาติ ผมสนับสนุนกับการกระทำเช่นนี้ ลองคิดดูนะครับว่า .... ขณะนี้คุณยังมีเรี่ยวแรงพอที่จะเดินไหว แบกเป้ได้ มีเพื่อนสนิทที่ไปได้ถึงไหนถึงกัน ธรรมชาติในเมืองไทยยังคงอุดมสมบูรณ์รอคอยคุณอยู่ และถ้าต่อไปอีกสักสิบปีข้างหน้า เรี่ยวแรง เพื่อนสนิท ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้จะยังคงอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ก็ยากที่จะเดา ในทริปนี้ผมถูกติงจากคนรอบข้างหลายคนว่า คิดยังไงเดินทางในหน้าฝน ? ทำไมขึ้นภู เข้าป่าในหน้าฝน ? ไปคนเดียวเหอะ...ไม่ไปด้วยหรอกลำบากจะตายชัก.... !!! และอีกๆ หลายๆ คำถามโดยมี ฝน เข้ามาเกี่ยวข้อง ....
หาเพื่อนเดินทาง ทริปนี้ลุงจิ๊บ และบอยสบาย ต่างติดธุระไม่สามารถเดินทางไปได้ ผมจำเป็นต้องหรอก ... จุ๊ๆๆ ต้องชวนเพื่อนสักคนสองคนให้ไปกับผม ก่อนวันเดินทางผมพยายามติดต่อหาเพื่อนที่โชคร้ายหลงคารมเดินทางไปกับผม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครตกเป็นเหยื่อ เดินทางไปให้เสียเหงื่อกับผมเลยสักคน ... เศร้า ... คำโบราณว่า สี่เท้ายังตกบ่อ รูปหล่อยังอกหัก และแล้วก่อนวันเดินทาง 3 วัน ผมก็ได้เพื่อนเดินทาง 2 คน ... มันเกี่ยวกับ สำนวนข้างหน้ามั๊ยเนี่ย ?!? คนแรกชื่อ บี เป็นเพื่อนที่ Mweb ด้วยกันนี่แหละ ว่าแล้วก็ขายเพื่อนสักหน่อย...อิอิ... โดยรวมๆ แล้ว นายบี ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว เสาะแสวงหาธรรมชาติ ชอบชีวิตกลางแจ้ง กลางพงไพร การได้เดินทางร่วมกันในครั้งนี้ถือเป็นบุญของผมอย่างหนึ่ง เพราะนายบีเป็นคนที่ทำอาหารได้ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง จะเป็นยำ ต้มยำ ผัดๆ ทอดๆ นายบีถนัดนัก ก่อนเข้าสู่ Mweb นายบีเคยได้รับการติดต่อให้เป็นพ่อครัวอยู่ประจำร้านดังๆ หลายแห่ง แต่นายบีก็ปฏิเสธมาตลอด
สรุปผมมีนายบีเป็นเพื่อนร่วมเดินทางจากกรุงเทพฯ และนายก๊อต รอร่วมเดินทางอยู่ที่อุทยานฯ ภูสอยดาว ... แฮ่ะๆๆ .. ค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อย นึกว่าต้องผจญภัยบนภูคนเดียวซะแล้ว เดี๋ยวเดินเล่นบนภูเพลินเตลิดไปในเขตลาวจะยุ่งกันใหญ่ อาจได้ไปนอนในคุกขี้ไก่โดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้ บขส. โฮเต็ล หลังจากผสานทุกอย่างกับทุกฝ่ายเรียบร้อยลง (เหมือนยิ่งใหญ่เลย ความจริงก็มีแค่โทรไปที่ อุทยานฯ ภูสอยดาว กับนายก๊อตเท่านั้นแหละ) ผมออกเดินทางในวันที่ 3 ก.ค. 46 ได้รถเที่ยว 4 ทุ่มจากหมอชิต ตามเวลาแล้วจะถึง พิษณุโลก ประมาณตี 3 แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่รู้ว่าวันนั้นรถบนถนนหายไปไหนกันหมด คนขับรถทัวร์คันที่ผมนั่งก็ทำเวลาได้ดีมาก มาถึงพิษณุโลกไวกว่ากำหนด คือ ประมาณตี 2 ก็ถึงแล้ว อ้อ...ลืมบอก ผมใช้บริการของบริษัทพิษณุโลกยานยนต์ครับ มาถึงพิษณุโลกรถจะเข้าไปจอดที่บริษัทในตัวจังหวัดก่อน แต่ถ้าหากใครต้องการเดินทางต่อไปยังต่างอำเภอ หรือขึ้นเหนือ ไปอีสาน ก็นั่งรถคันเดียวกันนี้แหละต่ออีกหน่อยไปลงที่ชาวพิษณุโลกเขาเรียกกันว่า ศูนย์รถ บขส. รถทัวร์จะหมดระยะที่นั่นครับ สำหรับผมและนายบี ต้องไปลงที่ศูนย์รถ บขส. ตี 2 หรือ 2.00 น. ของวันศุกร์ที่ 4 ก.ค. 46 ชะตาชีวิตของคนที่ชอบชีวิตกลางแจ้งสองคน ได้มายืนเก้ๆ กังๆ แบกเป้พะรุงพะรังอยู่ที่ศูนย์รถ บขส. พิษณุโลก คนขับมอเตอร์ไซต์รับจ้างใส่เสื้อกั๊กสีแดงหลายคนผลัดเปลี่ยนเข้ามาคุยกับผม โดยมีคำถามเดียวกันว่า ไปไหนครับ....ไปส่งไหมครับ ชาติตระการ ผมตอบ โดยในใจผมรู้คำตอบอยู่แล้วว่า ไม่มีใครไปส่งผมหรอก เพราะระยะทางเกือบ 200 กม. จะให้นั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างแบกเป้ไปก็ดูจะเป็นการหยามรถบัสรถสองแถวอยู่ และแล้วพวกมอเตอร์ไซต์รับจ้างก็จากผมไปเพื่อไปหาลูกค้ารายอื่น ที่มีเป้าหมายระยะทางใกล้กว่า ผมต้องรอรถไป อ.ชาติตระการ เที่ยวแรกตอนตี 5 สามชั่วโมงที่เหลือผมต้องนั่งตบยุงอยู่ที่ศูนย์รถ บขส. ไม่นานนักผมกับบี ผลัดกันหลับๆ ตื่นๆ เวลานี้กระเป๋ากล้องต้องพลางอย่างดี ต้องตบตาพวกมิจฉาชีพ ผมขอแนะนำอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการแพ็คกระเป๋าหรือเป้ เพื่อนๆ ควรทำให้เหลือจำนวนกระเป๋าน้อยที่สุดจะดีกว่า เพราะเป็นการป้องกันหลายอย่าง เช่นป้องกันการลืม ไม่พะลุงพะลัง ไม่เป็นที่สะดุดตา ลองดูนะครับทริปหน้าลองแพ็คกันดู ในขณะที่กำลังหลับๆ ตื่นๆ อยู่นั้นผมรู้สึกเหมือนมีมือมาสะกิดจากด้านหลัง ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะผมเองไม่รู้จักใครที่พิษณุโลกมาก่อน ทันทีที่หันไป ใบหน้าของชายที่ขับรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างวัย 30 กว่าๆ ก็ยิงคำถามแผ่วเบามาที่ผมอีกครั้งแต่ต่างจากคำถามเดิม เที่ยว....สาวๆ มั๊ยน้อง....แต่ละคน....ฮืม..อย่างนี้เล้ย... พี่แกพูดพร้อมยกหัวโป้งมือซ้ายเป็นการยืนยัน ฮ่าๆๆ...ม่ายละครับ...ผมไม่นิยมครับพี่...ผมชอบเที่ยวป่า..(ไม่ใช่ป่าเดียวกัน)...มากกว่าครับ ผมตอบพลางหัวเราะเป็นเรื่องสนุกสนานไป และแล้วที่ศูนย์รถ บขส. นี้ผมก็หลับไม่ลงจนถึงเวลาตี 5 รถ พิษณุโลก นครไทย ชาติตระการ เที่ยวแรก เข้ามาเทียบชานชลา ผมจึงได้ขึ้นไปหลับอยู่ตรงเบาะหลังสุด และนายบี ก็เช่นกัน เตรียมเสบียง อุปกรณ์ และสิ่งที่ต้องนำลงมา ที่ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ในเช้าตรู่เราใช้เวลากันไม่มากนัก การเดินหาซื้อเสบียงในขณะที่กำลังง่วงนอนอยู่เช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่พึงกระทำ เพราะความง่วงอาจทำให้ลืมโน่นลืมนี่ไปได้หลายอย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และหมูทอดดูจะเป็นอาหารหลักในทริปนี้ ข้าวสาร 2 กก. สำหรับ 3 คน 5 มื้อ กำลังพอดีไม่เหลือไม่ขาด อุปกรณ์หม้อสนาม กระทะ จาน ช้อน ต้องเตรียมขึ้นไปเอง ส่วนเตา และถ่านนั้นข้างบนภู เจ้าหน้าที่เขามีให้เช่า ที่อำเภอนี้จะเป็นจุดสุดท้ายที่นักท่องเที่ยวควรเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเสบียง อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้าว่าแถวน้ำตกจะมีข้าวเหนียว หรือไก่ย่าง ขาย เพราะสิ่งที่หวังอาจผิดหวังได้เสมอ
ผมเห็นด้วยกับวิธีนี้มาก อยากให้ทุกอุทยานฯ ได้นำวิธีนี้ไปใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันคงจะดีไม่น้อย ขวดพลาสติกเปล่าๆ ไม่หนักหรอกครับแบ่งๆ กันถือลงมา ข้างบนภูก็ไม่ต้องมีการทำลายให้เกิดมลภาวะ โลกนี้มนุษย์เป็นผู้สร้างและทำลาย และสามารถเป็นผู้ทนุถนอมได้เช่นกัน ลูกหาบ ลูกหาบถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเดินทางขึ้นภู การที่จะแบกสัมภาระและเสบียงขึ้นไปเองนั้นถือเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเอาการ เผลอๆ อาจทำให้ความฝันการเดินทางที่หวังจะไปให้ถึงปลายทางยอดภูจะล้มครืนลงกลางทางเสียก่อน เสื้อผ้าเครื่องนอน อาหาร น้ำดื่ม อุปกรณ์ต่างๆ เมื่อแบกอยู่พื้นราบนั้นยังไม่ก่อปัญหาสักเท่าไร แต่เมื่อต้องแบก และเดินขึ้นที่สูงชัน ประกอบกับพื้นที่เปียกลื่น ย่อมก่อปัญหาได้มากทีเดียว
ตามระเบียบของอุทยานฯ แล้ว เราจะต้องจ่ายเงินค่าลูกหาบตั้งแต่ก่อนการขึ้นภู เมื่อไปถึงปลายทางข้างบนแล้ว เราต้องติดต่อกับลูกหาบเอง ก็คนเดียวกับที่แบกให้เรามานั่นแหละครับ ว่าจะให้มาแบกในขาลงด้วยหรือเปล่า ถ้าให้แบกลงก็ติดต่อนัดวันเวลากันได้เลย เมื่อขาลงลูกหาบแบกมาถึงข้างล่างแล้ว ก็ชั่งน้ำหนักสัมภาระ และก็จ่ายเงินกันที่ด้านล่างเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ฤกษ์งามยามดี วันนี้ขึ้นภูเป็นกลุ่มแรกของปี 4 ก.ค. 46 11.29 น. จากที่หลายคนรอบข้างติงกันมาว่า ช่วงนี้ฤดูฝนการเดินขึ้นภูเป็นเรื่องลำบาก... วันนี้ผมรู้สึกว่าธรรมชาติคงจะเข้าข้าง หรือเห็นใจผมแล้วหละ ท้องฟ้าแจ่มใส ในที่โล่งมีแดดเปรี้ยง ลมสงบ เสียงน้ำตกภูสอยดาวดังกระเซ็นซ่า เวลานี้แหละหนา นุ บางบ่อ นายบี นายก๊อต จะเดินขึ้นภูสอยดาวเฉียดเมืองลาวแดนสวรรค์ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินเสือโคร่ง เนินมรณะ และลานสน ผมจำได้ขึ้นใจเพราะก่อนเดินทางได้หาข้อมูลมาล่วงหน้าแล้ว เราเริ่มต้นเดินจากที่ทำการอุทยานฯ ภูสอยดาว (หน่วยย่อย บริเวณน้ำตกภูสอยดาว) ซึ่งอยู่ติดทางหลวงสาย 1268 ถนนสายยุทธศาสตร์ไทยลาว ครึ่งช่วงโมงก่อนลูกหาบได้ล่วงหน้าไปแล้ว การเดินขึ้นภูในคราวนี้เท่ากับเป็นการเปิดทางที่รกร้างมาหลายเดือน
ไม่ว่าจะเป็นเนินส่งใครก็เหอะ ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน ปากเริ่มมาช่วยจมูกในการหายใจที่เร็วขึ้น ครั้นจะพักนานๆ ก็ดูจะไม่เหมาะ ต้องฝืนก้าวเดินต่อไป แต่พอเดินต่อสักพัก ก็เหมือนเครื่องเริ่มร้อนเราทั้งสามคนเป็นเหมือนกันนะ การเดินในช่วงแรกอาจจะเหนื่อยก็จริง แต่เมื่อผ่านมาได้ก็จะรู้สึกดีขึ้น ต่อไปก็เป็นเนินปราบเซียน เราต้องเดินแบบคอยกัน ผลัดกันแซงบ้างเป็นบางโอกาส เพื่อให้คนที่อยู่หลังมีกำลังใจเดินตาม ไม่ควรทิ้งห่างจนเกินไป เพราะการเข้าป่าที่ทางเดินรกร้างมานาน อาจเกิดการพลัดหลงได้ ยิ่งหน้าฝนอย่างนี้ด้วยแล้ว สายฝนอาจชะรอยทางเดินจนเรามองไม่ออกก็เป็นได้ ป้ายบอกทางก็มีจำนวนน้อย จะมีติดอยู่บริเวณที่เป็นจุดพักในบริเวณเนินนั้นๆ จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกัน คือ ไม่ต้องมาคอยพะวงว่าเดินมาได้เท่าไรแล้ว เดี๋ยวถึงเนินถัดไปก็มีป้ายบอกเอง ตอนนี้หน้าที่ของทุกคนคือก้าวขาแล้วก็เดินๆ เพียงอย่างเดียว จากเนินปราบเซียนต่อไปอีก 2 กม. เป็นทางเดินสูงชันอีกครั้ง ก้าวสู่เนินเสือโคร่ง พวกเราลำบากกันตั้งแต่เนินนี้แหละ ฝนกระหน่ำ ท้องฟ้าที่สดใส กลับกลายมืดครึ้มอย่างฉับพลัน อากาศเริ่มเย็นสายลมโบกสะบัดพัดยอดไม้ เป็นสัญญาณที่มาก่อนสายฝน เกือบครึ่งทางแล้วที่ได้เดินมา หากฝนเทกระหน่ำลงตอนนี้ความยากลำบากจะเพิ่มเป็นทวีคูณ เราต้องเดินต่อไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่แหละหนาที่เขาว่าอย่าไว้ใจป่า
สายฝนกระหน่ำโปรยปรายลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เส้นทางเดินตอนนี้ได้กลายเป็นธารน้ำเล็กๆ ไหลให้พวกเราได้เดินทวนกระแสไป มีบางจุดที่พวกเราต้องลงไปสนิทสนมกับพื้นดินโดยไม่ตั้งใจ กล้องถ่ายภาพถูกเก็บลงกระเป๋าอย่างมิดชิด หลายจุดที่ทิวทัศน์งดงามเราต้องเก็บไว้ถ่ายในตอนขากลับ ในเวลานี้เราคิดกันเพียงพาร่างกายให้ขึ้นสู่ยอดภูให้ได้อย่างปลอดภัย
|
อีกหนึ่งความประทับใจ จากคุณสุรชัย ไปมาแล้ว เมื่อ 1-2 ม.ค. 2547 นี้เอง พอดีรู้จักกับเจ้าหน้าที่อุทยานโดยการแนะนำจากเพื่อนที่เคยอยู่ที่นั่น คือคุณนะเรศ ที่อยู่ข้างล่าง และคุณพิม ที่อยู่บนลานสน ใช้เวลานิดหน่อยในการเตรียมขึ้นเพราะ Trip นี้ไปคนเดียว ทางขึ้นลำบากนิดหน่อย และร้อนพอสมควรเพราะขึ้นตอนบ่าย 2 ข้างทางแห้งแล้งนิดหน่อย ส่วนบนลานสน แห้งแล้งพอสมควร รอเต้นท์จากลูกหาบจนมืดเลยไม่ได้กางเต้นท์นอน และอีกอย่างหนึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ฉุกละหุก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ อยู่ ก็เลยอาศัยกินอยู่หลับนอนกับทางเจ้าหน้าที่เขา ดื่มเหล้าขาวกับเจ้าหน้าที่จนเมาไม่รู้เรื่อง เลยไม่รู้ว่าหนาวขนาดไหน ตื่นมาอีกทีก็ 8 โมงเช้า โดยเจ้าหน้าที่เขาไปปลุกเพื่อเตรียมขึ้นยอดภูสอยดาว นำโดยคุณบุญชม และคุณฉลอง เจ้าหน้าที่อุทยานเป็นผู้นำทางพาคณะท่องเที่ยวผู้เก่งกล้าหาญชาญชัย ประมาณ 20 ท่าน 3 กลุ่มทัวร์ ขึ้นไปพิชิตยอดภู เริ่มออกเดินทางประมาณเกือบ 9 โมงเช้า เส้นทางหฤโหด เพราะต้องปืนหน้าผา ใช้เชือก เถาวัลย์ หรือกิ่งไม้ สำหรับโหนตัวขึ้นและลงตลอดเวลา เหมือนกับคำบรรยายความคิดเห็นที่ 150 ไม่ทราบว่าไป Trip เดียวกันหรือเปล่า แต่ยอมรับว่าเส้นทางโหดเอาการ บางท่านก็สละกลางคัน เหลือประมาณ 10 กว่าท่านเท่านั้นที่สู้ต่อ ก็พบรอยเลียงผา ที่ปีนขึ้นไปก่อนหน้านั้น และแหล่งที่นอนของเลียงผา นกต่างๆ ใบ เมเปิลที่ร่วงหล่นบนเนินเขาและหุบเขาที่นับจำนวนไม่ได้แดงไปทั่วบริเวณ กว่าจะถึงยอดดอยก็เกือบบ่ายโมง ซึ่งมีเสาหลักแบ่งเขตแดนไทย-ลาว อยู่บนนั้นอีกด้วย บรรยากาศก็ค่อนข้างเย็นเห็นทิวเขาเป็นแนวยาวล้อมรอบมองได้ทุกทิศทาง ฟ้าสลัวและมีหมอกนิดหน่อยก็เลยเห็นตัวจังหวัดพิษณุโลกกับอุตรดิตถ์ ได้ไม่ชัดเจน เพียงแต่เจ้าหน้าที่ชี้ให้ดูเท่านั้น และได้บันทึก Video ไว้นิดหน่อยเสียดาย Batt หมด เลยไม่มีโอกาสได้บันทึกภาพตอนขาลง ก็ลงมาประมาณบ่าย 2 โมง ขาลงก็โหดเอาการ กว่าจะถึงลานสนจนเกือบมืดค่ำ ส่วนผมลงมาก่อน ถึงประมาณ 4 โมงเย็น จากนั้นก็รีบเก็บสัมภาระลงจากดอยเลยเพราะจะมืดค่ำก่อนถึงตีนดอย และไม่สะดวกในการเดินกลางคืน ถึงตีนดอยเกือบ 6 โมงเย็น และรีบกลับเลย เพราะมีนัดกับเพื่อนร่วมรุ่นที่บ้าน ทำให้การเดินทางครั้งนี้ ไม่ค่อยได้มีโอกาสในการพูดคุยกับคณะเดินทางมากนัก ด้วยเหตุนี้ผมใคร่ขอเรียนเชิญกลุ่มผู้พิชิตยอดภูสอยดาวทุกๆท่าน ร่วมพบปะสังสรรค์ สนทนา บรรยายถึงการเดินทางในครั้งนี้ และแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน ท่านใดสนใจกรุณาติดต่อกลับ สุรชัย 01-9254687 ยินดีที่ได้รู้จักผู้ร่วมเดินทางทุกๆท่าน ใน Trip นี้ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ อุทยานทุกๆ ท่านที่อำนวยความสะดวก และช่วยเหลือการเดินทางในครั้งนี้เป็นอย่างดี ขอสวัสดีปีใหม่ และขอให้โชคดีทุกๆคน สวัสดีครับ โอกาสหน้าพบกันใหม่ |