เขาแหลม แห่งเกาะช้างใต้
คำเตือน : หากต้องการอ่านจนจบควร Print ไปอ่านดีกว่าครับ
ในช่วงบ่ายวันหนึ่งขณะผมกำลังเดินทางกลับจากจังหวัดสมุทรสงคราม โดยรถกระบะที่มีผู้ขับเป็นโปรถ่ายภาพธรรมชาติฝีมือเยี่ยม คุณอำนวยพร บุญจำรัส หรือที่ผมชอบเรียกแกว่า พี่จืด
ระหว่างทาง พี่จืด ได้ส่งภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดให้ผมได้ดูเล่นปึกหนึ่งประมาณ 10 ภาพเห็นจะได้ ภาพเหล่านั้นอยู่ในมือผมเหมือนคนกำลังถือไพ่ใบเด็ดจนไม่อยากวาง ผมสลับภาพเพ่งพินิจดูด้วยความสนใจ เพราะแต่ละใบล้วนเป็นภาพถ่ายที่สวยงาม มีทั้งภาพดวงอาทิตย์กำลังเปร่งแสงสุดท้ายสีแดงฉาดฉาน บางภาพมีมวลหมอกขาวโพลนกำลังโลมเลียคลอเคล้าภูเขาเขียวเบื้องล่างเห็นท้องทะเลเป็นเวิ้งอ่าวรูปตัวยู อีกภาพหนึ่งมียอดเขาสีเขียวดำสูงชันแหลมทะยานสู่ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มสดใส มีหมอกขาวล้อมรอบเหมือนเป็นเกาะเล็กๆ กลางทะเลหมอก
ยิ่งดูก็ยิ่งสนใจ จนอดที่จะถามเจ้าของภาพผู้ซึ่งกำลังขับรถอยู่ในขนะนั้นไม่ได้ว่า ถ่ายมาจากที่ไหนครับพี่...สวยจัง |
ยอดเขาแหลม...เกาะช้าง ไป..เปล่า...พี่จะไปอีก พี่จืดตอบ และถามชักชวน ก่อนที่จะบรรยายถึงการเดินทางคร่าวๆ แต่ทรหด กว่าที่จะได้ภาพสวยๆ เหล่านี้มา |
ในที่สุดวันนั้นก่อนลงจากรถแล้วแยกทางกัน ผมได้ให้คำตอบตกลงร่วมเดินทาง อย่างคนใจง่าย ซึ่งมานั่งๆ นอนๆ คิดดูในวันต่อมาว่า ร่างกายกระปวกกระเปียกกระย่องกระแย่ง กินยาก นอนยาก อันเป็นคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวของผม จะไปถึงยอดเขาแหลม แห่งเกาะช้างนั่นไหมหนอ...?
กลางดึกของคืนวันศุกร์ผม และพี่จืด ร่วมเดินทางไปกับเพื่อนๆ ที่เป็นสมาชิกอยู่ในเว็บไซต์เทรคกิ้งไทยดอทคอม ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เน้นการท่องเที่ยวในรูปแบบการเดินป่า และผจญภัยต่างๆ รวมแล้วก็เต็มที่นั่ง 1 คันรถตู้พอดี เป้าหมายของการเดินทางในช่วงนี้คือการไปให้ถึงเกาะช้างในเช้าที่กำลังจะมาถึง
ปัจจุบันการข้ามเรือเฟอร์รีไปสู่เกาะช้างนั้นสะดวกสบาย นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการได้ตามสะดวก ท่าแรกนั้นคือ ท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์เฟอร์รี่ ออกจากท่าเรือแหลมงอบไปขึ้นที่ท่าเรือด่านเก่า อีกท่าหนึ่งคือ ท่าเรือเฟอร์รี่อ่าวธรรมชาติ ออกจากท่าเรือบ้านอ่าวธรรมชาติ ไปขึ้นเกาะช้างที่อ่าวสับปะรด วันนี้พวกเราเลือกใช้บริการของท่าเรือเฟอร์รี่อ่าวธรรมชาติ |
ถึงแม้การข้ามเรือเฟอร์รี่ไปสู่เกาะช้างจะใช้เวลาไม่มากนัก แต่พวกเราก็หลับคอตกกันอย่างสนิทบนที่พักผู้โดยสารชั้นบน โดยปล่อยให้วิวทิวทัศน์ท้องทะเลที่สวยงามผ่านซึมเข้าร่างกายโดยเส้นทางอื่นที่มิใช่ดวงตา เพราะเราต่างรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ร่างกายของพวกเราจะต้องรับศึกหนัก นั่นคือ การเดินขึ้นสู่ยอดเขาแหลม
เดินเท้าสู่ยอดเขาแหลม รถตู้พาหนะที่นำพาเรามาจากเมืองหลวง พาเรามาส่งที่หมู่บ้านสลักเพชร แถวนี้นอกจากเรียกว่าบ้านสลักเพชรแล้ว ชาวบ้านบนเกาะช้างยังเรียกบริเวณนี้ว่า เกาะช้างใต้ ส่วนเกาะช้างเหนือนั้นอยู่บริเวณหาดทรายขาว ซึ่งอยู่ค่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ |
จากหมู่บ้านสลักเพชร ผมเงยหน้ามองยอดเขาที่สูงแหลมซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน...เราจะต้องเดินขึ้นไปบนนั้นจริงๆ เหรอ...ผมรำพึงกับตัวเองในใจ... เขาแหลมตรงหน้าขณะนี้ทั้งสูง และชัน รกครึ้มไปด้วยต้นไม้สีเขียวราวกับป่าดิบ ผมไม่รู้ว่าต่อจากนี้ผมจะต้องพบเจออุปสรรคอะไรบ้าง แต่ที่เห็นตอนนี้คือ ยอดเขาที่แหลมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นยอดเขาเด่นยอดเดียวในละแวกนี้ที่ดึงดูดสายตา และท้าทายสภาพจิตใจ
ถึงแม้ยอดเขาแหลมจะมีความสูงประมาณ 667 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะช้าง ยอดเขาที่สูงกว่าคือยอดเขาใหญ่ ว่ากันว่ามีความสูงประมาณ 700 เมตร ซึ่งสูงกว่ายอดเขาแหลมไปอีกหน่อย แต่ทางเส้นทางเดินขึ้น และการพักแรมบนยอดเขาค่อนข้างลำบากกว่าที่ยอดเขาแหลม ยอดเขาใหญ่จึงไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว |
อาหารและน้ำ ถูกจัดแบ่งปันลงในเป้ของแต่ละคน พี่จืดแจ้งว่าเส้นทางสู่ยอดเขาแหลมในวันนี้ไม่มีแหล่งน้ำ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมไปให้เพียงพอ การเดินป่า น้ำ คือสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับผมแล้วทริปนี้ถือว่าเป็นทริปเดินทางที่โหดมากทริปหนึ่ง กอปรกับสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยพร้อมนัก เนื่องจากการอดนอนจากการเดินทางเมื่อคืน และถ้าหากย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนขึ้นรถด้วยแล้ว ร่างกายของผมทรุดโทรมไปเพราะกิจกรรมสันทนาการ (เขียนให้ดูดี) ในร้านอาหารเล็กๆ หน้าออฟฟิต พร้อมๆ กับเพื่อนๆ ผู้เดินทางมาส่ง..
ผมจัดแจงกับสัมภาระของตัวเองภายใต้แนวคิดที่ว่าต้องทำให้เบาที่สุด โดยปกติแล้วการเดินทางเกือบทุกครั้งผมจะเป็นคนที่หอบหิ้วสัมภาระไปแบบครบเครื่องเต็มพิกัด เพราะเกรงว่าเดี๋ยวจะไม่มีใช้ เดี๋ยวจะอด เดี๋ยวจะเสียโอกาส แล้วทุกครั้งที่แบกไปก็มีโอกาสได้ใช้บ้าง ไม่ได้ใช้บ้าง บางครั้งก็เหนื่อยเปล่า บางครั้งก็เหมือนแบกไปให้เพื่อนใช้..จนเพื่อนๆ หลายคนที่สนิทกันแบบร่วมเดินทางไปบ่อยๆ เปรยว่า หากไปกับ นุ บางบ่อ แล้วแทบไม่ต้องเตรียมอะไรไป..(สบายมันไป..อ้าย...เพื่อน..เ....ว)
แต่ขอโทษทีครับ มาทริปนี้ เห็นทีจะไม่ไหว เขาสูงชันขนาดนี้ แถมต้องแบกรับสัมภาระเอง ผมต้องขอทิ้งอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่จำเป็นไว้ในรถตู้ดีกว่า เลือกเอาเฉพาะที่จำเป็นๆ ไป ส่วนเครื่องประทินผิว เครื่องอาบน้ำ ไม่ต้องแบกไปให้หนัก เพราะไม่มีที่จะอาบ แม้น้ำจะแปรงฟันเรายังต้องเก็บไว้กินดีกว่า...ว่าแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำ แปรงฟันเลยนี่หว่า... ประกอบกับเพื่อนๆ ชาวเทรคกิ้งไทยกลุ่มนี้เขามีมากันครบ ต้องขอบอกว่า เป็นนักเที่ยวป่ามืออาชีพจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทำครัว อาหารแห้ง และอื่นๆ อีกมากมายรวมถึงอุปกรณ์ถ่ายภาพอีกหนักอึ้ง ทั้งหนุ่ม ทั้งสาว แบกเป้กันไม่มีบ่น ผมเลยได้อนิสงฝากท้องไปกะเขาด้วย ไม่งั้นคงอดตายบนยอดเขาแหลมนั่นแหละ...อิอิ...ขอบคุณคร๊าบบบบ...
จากนี้พวกเราจะต้องเดินขึ้นเขากันเป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร หากเป็นพื้นราบคงจะสบายมากแค่เพียง 2 กิโลเมตรคงใช้เวลาไม่มากนัก แต่เส้นทางสู่ยอดเขาแหลมนี้ แม้เพียงมองไปข้างหน้าก็ยังต้องแหงนหน้ามอง เวลานี้คงไม่มีอะไรดีกว่าการทำใจยอมรับความเหนื่อย เพื่อแลกกับการได้มาซึ่งภาพทิวทัศน์สวยๆ บนยอดเขาแหลม ที่ผมได้ดูเป็นกำลังใจเมื่อวันก่อนตัดสินใจมา |
10.30 น. พวกเราทุกคนเริ่มออกเดิน เริ่มจากคนแรกนำเป้ขึ้นไว้บนหลังอย่างทะมัดทะแมง แล้วเดินล่วงหน้ารุดไปในราวป่ายาง คนที่สอง สาม สี่ ได้ทะยอยตามๆ กันไป จนสิ้นเสียงสืบเท้า ผม และพี่จืด จึงได้ค่อยๆ เดินตามไป (ความจริงแล้วผมไม่อยากให้เพื่อนร่วมทางเห็นความอ่อนแอของผม เลยเลือกที่จะเดินตาม...อิอิ) |
ปฐมบทของเส้นทางนี้ จากหมู่บ้านสลักเพชรช่วงที่รถเข้ามาส่งได้นั้น สองข้างทางเป็นสวนมะพร้าว และสวนทุเรียน ช่วงปลายเดือนเมษายนอย่างนี้ ทุเรียนกำลังใกล้จะสุกเต็มที่ แต่ละลูกที่ห้อยโตงเตงนั้นช่างยั่วยวนน้ำลายเหนียวตอนนี้เหลือเกิน และเมื่อออกเดินก็เป็นเส้นทางเริ่มขึ้นเขาทันที ตรงนี้ดารดาษไปด้วยต้นยางพาราวัยรุ่นที่กำลังให้น้ำยางสีขาวจั๊วะ ข้นหวานมันด้วยหรือเปล่าไม่รู้พอดีไม่ได้ชิมมา... |
กะลาแต่ละใบที่รองรับน้ำยางอยู่ใกล้เต็มแล้ว อีกไม่นานเจ้าของสวนคงออกมาเก็บไปกลับไป เพียงแค่ 100 เมตรแรกจากจุดปล่อยตัว ผมก็ยืนหอบแฮกๆ ซะแล้ว ใบหน้าอันซีดเผือดชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อจนหยดลงเสื้อเหมือนทางน้ำไหล ระหว่างนั้นผมควานหาสิ่งของสำคัญชิ้นหนึ่งในกระเป๋ากางเกงข้างต้นขาขวา นั่นก็คือ...ยาดม...
นี่ขนาดเอาของที่ไม่จำเป็นออกไปตั้งเยอะแล้ว...ทำไมเป้มันยังหนักอยู่ก็ไม่รู้ ระหว่างนี้ผมนึกถึงตอนที่เดินขึ้นภูกระดึง ที่นั่นสะดวกกว่าเพราะมีลูกหาบช่วยแบก เราแค่เดินแบกกล้อง กับ กระเป๋าตังค์ แค่นั้นก็สบายแล้ว ถึงแม้ระยะทางจะยาวกว่านี้ก็ตาม แต่ทันใดนั้นอีกความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวแบบฉับพลัน |
บางครั้งการมาเที่ยว หรือ มาสำรวจเส้นทางแบบลำบากๆ อย่างนี้ก็มีเรื่องดีอยู่เหมือนกันนะ ถึงแม้จะดูเหมือนยากลำบาก แต่มันก็คือการทดสอบพละกำลังของเรา แล้วยังเป็นการทดสอบสภาพจิตใจได้อกด้วย การเดินป่านั้นไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง ค่อยๆ เดิน แต่อย่าพักนานนัก หลายต่อหลายอาจารย์เดินป่าได้สอนผมมาอย่างนี้ |
นอกจากผมจะใช้เป็นคติเตือนใจเวลาเดินป่าแล้ว ผมก็ยังปรับมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ว่า ควรดำเนินชีวิตไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท และอย่าไปรอคอยโอกาส หรือ จมปรักอยู่กับอดีตอันแสนหวานที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมา วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า ณ วันนี้มีแรงมีพลังมีหนทางข้างหน้าให้ก้าวเดิน ก็จงก้าวเดิน ถึงแม้จะต้องพบอุปสรรค แต่เส้นทางแบบนี้ นั้นมักจะนำพาเราไปพบสิ่งที่สวยงามเสมอ...คงเพราะฤทธิ์ยาดมแน่ๆ ที่ทำให้ผมคิดได้อย่างนี้... |
ว่าแล้วก็เดินต่อทั้งที่มือขวายังคงถือยาดมอยู่...ตอนนี้ผมเริ่มคิดถึงเพื่อนๆ ที่มาส่งผมเมื่อคืนว่ามันจะรู้มั๊ย ว่าเพื่อนคนหนึ่งที่ถูกส่งเมื่อคืนกำลังเหนื่อยแทบขาดใจ... |
เส้นทางเดินป่าในช่วงแรกนี้มียุงบ้าง หากใครจะมา ขอแนะนำให้เตรียมพวกโลชั่น หรือ ตะไคร้หอมกันยุงมาด้วยจะดีและสะดวกมากๆ หากต้องเผชิญหน้ากับยุง แต่เมื่อพ้นช่วงแรกแล้วก็ไม่ค่อยเจอกันเท่าไร สงสัยยุงที่นี่คงจะบินขึ้นยอดเขาไม่ไหว หรือไม่ก็คงบินหลงป่ากลับบ้านไม่ถูกอะไรไปเทือกนั้น |
ระหว่างเดินผมคิดถึงภาพหาดทรายขาวละเอียด ท้องทะเลสีฟ้าครามในวันฟ้าใสๆ ที่ชายหาดมีฝรั่งสาวๆ ในชุดทูพีชนอนราบไปกับผืนทรายให้แสงอาทิตย์สาดส่องราวกับหมึกแดดเดียว มาทะเลทั้งทีทำไมเราไม่ได้ไปทะเลนะ ดันมาเดินเหงื่อท่วมอยู่ในป่า แต่ก็ยังแอบหวังในใจว่า ยังไงขากลับก็ขอหน่อยนะ ขอไปดูหมึกแดดเดียวที่หาดทรายขาวหน่อย เขาว่าที่นั่นหมึกจากรัสเซียซ๊วยสวย..อิอิ
สองชั่วโมงผ่านไป ช่างเป็นสองชั่วโมงที่ยาวนานและเป็นสองชั่วโมงที่ผมต้องเดินก้มหน้าดูเท้าตัวเองตลอด เส้นทางสู่ยอดเขาแหลมถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมาชมทัศนียภาพที่สวยงามแบบ 360 องศา บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีไม่มากนัก หนึ่งในนั้นก็รวมถึงพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ แห่งรายการ เนวิเกเตอร์ รวมอยู่ด้วย คิดถึงพี่ติ๊กของน้องๆ แล้วเลยทำให้มีกำลังใจเดินต่อ เผื่อว่านุ บางบ่อ จะไปยืนโพสท์ท่าเท่ๆ บนยอดเขาเหมือนกับพี่ติ๊กบ้าง คงได้เกิดกันละคราวนี้ (ไปเกิดใหม่) |
หากสองชั่วโมงนี้เรามากันได้เพียงครึ่งทาง นั่นก็ประมาณว่าคงต้องใช้เวลาอีกสองชั่วโมงจึงจะถึงจุดหมาย พี่จืดเริ่มชวนน้องๆ ต้มกาแฟด้วยเตาแก๊สจิ๋วแบบพกพา สะดวกดีครับไม่ทำลายธรรมชาติด้วย ไม่ว่าฝนจะตกเปียกแฉะยังไงเราก็มีไฟจากแก๊สกระป๋อง ไม่ต้องหาฟืนมาก่อไฟ ถ้าดับไม่ดีอาจเป็นการเผาป่าถูกเจ้าหน้าป่าไม้จับอีกต่างหาก ไม่ถึง 5 นาที ก็ได้กินแล้วกาแฟหอมๆ ทางเดินเริ่มชันมากขึ้น บางช่วงเป็นทางชันมากกว่า 45 องศา ผมพยามมองลอดยอดไม้ เพื่อดูว่ายอดเขาแหลมอยู่ตรงไหน และใกล้ถึงหรือยัง ในใจตอนนี้ผมสับสน บางครั้งก็อยากเห็นจุดหมายปลายทาง บางครั้งก็กลัวเห็นคำตอบแล้วจะเกิดอาการท้อ เลยไม่อยากจะไปเห็นมันว่าปลายทางจะอยู่ตรงไหน จะถึงหรือยัง คงเหมือนๆ กับชีวิตอีกนั่นแหละ ไม่มีใครรู้ชะตากรรม และวันสิ้นสุดของตนเอง หากทุกคนล่วงรู้ได้ โลกนี้คงปั่นป่วน หรือไม่ก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ผมเลยหยุดการมองหายอดเขาแหลมไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วก้มหน้าเดินต่อไป พรางคิดถึงเพื่อนร่วมทางคนหนึ่ง หากเขาไม่ด่วนจากไปเสียก่อน วันนี้เราคงได้ร่วมเดินทางมาด้วยกัน... |
พวกเราเดินและหยุดพักกันเป็นระยะ ในช่วงเกือบสุดท้ายเส้นทางรกมาก คงห่างการต้อนรับคนเดินทางมานาน เพื่อนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน ต้องคอยส่งเสียงให้ผมเดินตามเป็นระยะ บางจุดแยกผมเกือบหลงทางหากผมตัดสินใจเดินไปเองโดยไม่ทันฟังเสียงของคนนำหน้า |
บางจุดก่อนถึงยอดเขาแหลมมีจุดเปิดจากการถูกบดบังของกิ่งไม้ใบไม้ให้เราได้ชื่นชมทิวทัศน์เบื้องล่าง ซึ่งหากมองไปทางทิศตะวันตกสุดสายตา ก็จะเห็นหาดทรายขาว ที่นั่นคงครึกครื้นไปด้วยผู้คนและร้านค้าต่างๆ โดยต่างจากจุดที่ผมยืนอยู่อย่างสิ้นเชิง |
พลังขาและกำลังใจเฮือกสุดท้าย ได้ส่งผมและสัมภาระติดหลังให้มาถึงยอดเขาแหลม ผมรู้สึกดีใจที่ได้มานั่งอยู่บนยอดเขาที่ได้ตั้งใจเดินขึ้นมาพิสูจน์จิตใจ มันเป็น 667 เมตรจากระดับน้ำทะเลที่สาหัสพอสมควรสำหรับคนเดินเท้าก้าวภูเขา |
ผมนึกถึงอายุของตัวเองที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ตรงกันข้ามกับกำลังของแรงกายที่ถดถอยลงไป เมื่อหลายปีก่อนผมรู้สึกว่าร่างกายจะพร้อมมากนี้ มาวันนี้เวลาในการเดินเริ่มเปลี่ยนไป ต้องใช้เวลามากขึ้น มีความคิดสารตะมากขึ้น หรือการเดินทางครั้งนี้จะเป็นสัญญาณบอกผมว่า ผมอายุมากไปแล้วแล้ว... |
ร่างกายอันบอบช้ำตอนนี้คงไม่นานน่าจะหายเป็นปกติได้ พวกเรานั่งคุยกันถึงจุดพักแรมคืนนี้ ว่าอยู่ถัดลงไปไม่ไกลนัก ที่นั่นมีจุดเปิด มีหน้าผาหินเป็นจุดชมวิว และมีต้นไม้ให้ผูกแปลนอนและยังเป็นจุดที่มีมวลหมอกมารวมตัวกันในตอนเช้า สรุปว่าเราต้องเดินทางต่อลงไปอีกหน่อยจึงจะถึงแคมป์ที่พัก |
เมื่อมาถึงแคมป์ที่พักในเวลา 15.30 น. พวกเราทำแคมป์ที่พัก โดยการผูกแปล และขึงฟรายชีตกันฝนที่ทำทีท่าว่ากำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า เพื่อนๆ น้องๆ ช่วยกันทำกับข้าวแบบง่ายที่แคมป์กลาง ดูทุกคนคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานข้าวสวยร้อน และกับข้าวหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูก มันเป็นอาหารมื้ออร่อยมากที่สุดมื้อหนึ่งเท่าที่ผมได้เคยกินมา และจะเป็นมื้อที่น่าจดจำไปอีกนานเท่านาน |
หลังมื้อเย็นระหว่างที่เรามารอคอยถ่ายภาพแสงสุดท้าย ผมนั่งมองทิวทัศน์เบื้องล่างทางทิศตะวันออกจะเห็นเป็นอ่าวบ้านสลักเพชรโค้งสวยงามมากๆ เห็นเรือกสวนของชาวบ้าน หลังคาบ้านหลายหลัง เรือที่กำลังวิ่งออกสู่ทะเลเป็นริ้วคลื่นยาววิ่งตามเรือ ด้านทิศใต้เป็นอ่าวบางเบ้า อ่าวนี้ค่อนข้างเงียบสงบสวยงามและอยู่ไม่ไกลจากสายตามากนัก |
ในช่วงโพล้เพล้ใกล้ค่ำผมนั่งอยู่ตรงหน้าผาจุดชมวิว ผมถอดเสื้อที่เหนียวเหนอะหนะเพราะหยาดเหงื่อเมื่อกลางวัน ปล่อยให้สายลมเย็นพัดให้ร่างกายสดชื่น วันนี้เป็นวันที่สองแล้วซินะที่ผมไม่ได้อาบน้ำ แต่ก็คงไม่เป็นไร การได้ทำอะไรในรูปแบบที่แตกต่างจากชีวิตประจำเสียบ้างก็เป็นเรื่องที่แก้ความน่าเบื่อได้ไม่น้อย
บนหน้าผานี้อากาศเย็นสบาย และน่าจะหนาวได้ในช่วงดึกของคืนนี้ และถ้าหากคืนนี้มีฝนตกลงมาผมก็จะถือเป็นความโชคดีที่ทำให้ผมได้อาบน้ำจากฟากฟ้า และถ้าอาบจนเรียบร้อยแล้วจะได้รองใส่ขวดไว้กินในวันพรุ่งนี้ช่วงเดินกลับ ผมคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ |
แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลาจากไปที่หลังภูเขาตรงหน้า จากสีแดงสดกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงดำคล้ำ ผมดีใจที่ได้เอ่ยคำว่า ลาก่อน ถึงแม้จะเป็นการเอื้อนเอ่ยในใจก็ตาม ดวงอาทิตย์และธรรมชาติซื่อสัตย์กับเราเสมอหากไม่ถูกรังแกก่อน ในวันพรุ่งนี้ก็จะมาให้เราได้เห็นใหม่ตามสัญญาที่ไม่ต้องพึ่งการสาบาน |
ในช่วงค่ำอากาศเริ่มหนาว สายลมเริ่มโบกสบัดพัดแรง จากที่ผมนั่งอยู่บนลานหินก็เริ่มเอนนอนทั้งที่มันเป็นพื้นแข็ง การนอนทำให้ผมมองเห็นหมู่ดาวถนัดชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องแหงนหน้า พี่จืด และผมคุยกันถึงเรื่องราวการเดินทางในอดีต และการทำงานในอนาคต วิถีชีวิตของคนเขียนหนังสือ และถ่ายภาพ มีทางให้เลือกเดินไม่มากมายนัก แต่ก็ยังมีหลายๆ คนอยากจะก้าวเดิน |
เศรษฐกิจในปัจจุบันไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น การประหยัดอยู่ในวิสัยของทุกคนโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกเตือน น้ำมันที่แพงขึ้น ต่อจากนี้เราจะเดินทางกันอย่างไร โลกที่ร้อนขึ้น แล้วเราจะปลูกต้นไม้แก้ปัญหากันทันไหม...โลกนี้ยังน่าอยู่อีกไหม... |
ผมเปิดๆ ปิดๆ ไฟฉายด้วยใจที่ทบทวนกับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา บางครั้งก็คิดว่าลำแสงจากไฟฉายกระบอกนี้จะเดินทางไปไกลถึงไหนกัน บางครั้งก็เปลี่ยนไปฉายที่ยอดไม้บนเขาลูกโน้นลูกนี้ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เผื่อว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ มันเป็นการเปิดๆ ปิดๆ ไฟฉายอย่างมีความสุขอย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ผมเปิดไฟฉายเล่นจนแสงค่อยๆ หลี่ลงๆ จนในที่สุดมันก็ดับไปเอง ผมยิ้มให้กับความมืดเพราะอย่างน้อยผมก็ได้เห็นแสงสุดท้ายของมัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการใช้ไฟฉายกระบอกนี้เป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม
นุ บางบ่อ...เรื่อง / ภาพ ออนไลน์เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2551
เรื่องน่าอ่าน น้ำตกโขะทะ เชียงคาน สงบงดงามริมฝั่งโขง นึกอยากไปก็ไป..อัมพวา ผจญภัยในหุบเขา และสายน้ำ
ขอขอบคุณ - ข้อมูลเพิ่มเติม |
ขอขอบคุณ คุณอำนวยพร บุญจำรัส : สำหรับการจุดประกายความฝันใหม่ เพื่อนๆ ชาว www.trekkingthai.com : สำหรับอาหารอร่อยๆ บนยอดเขาแหลม ชาวสลักเพชร : ที่อนุเคราะห์น้ำเย็นๆ สดชื่น ให้อาบน้ำหลังการเดินทาง นายยอดทอง , ลุงหนวด , เทนมาดะ , คนชอบเที่ยว , legolasbee : ที่ร่วมเดินทางมาส่ง ข้อมูลเพิ่มเติม ข้อมูลนี้ จากการเดินทางไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2551 ค่าใช้จ่าย ทริปนี้เป็นทริปหารเฉลี่ย เดินทางโดยรถตู้ ทานอาหารกันแบบง่ายๆ สบายๆ (1300 บาท / ท่าน ไปกัน 10 ท่าน) เส้นทาง เส้นทางเดินลงจากยอดเขาแหลมสู่บ้านสลักเพชร มีลักษณะเป็นทางลาดชัน ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง บนยอดเขาแหลมไม่มีแหล่งน้ำ นักท่องเที่ยวควรเตรียมไปให้เพียงพอ การพักค้างคืนบนยอดเขา ขอแนะนำว่าให้ใช้เปลจะสะดวกกว่า เนื่องจากบนยอดเขาเป็นลานหินที่ไม่กว้างมากนัก และไม่ราบเรียบ จึงไม่สะดวกกับการเต็นท์พักแรม แพ็คเก็จ นักท่องเที่ยวที่สนใจในเส้นทางเดินป่าสู่ยอดเขาแหลม สามารถติดต่อขอใช้บริการนำทาง จากผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในหมู่บ้านสลักเพชรได้ ราคาแพ็คเก็จประมาณ 1000 บาท / ท่าน |