|
รถกระบะคันเล็กรุ่นเก่าแสนเก่าจนไม่น่าเชื่อว่ามันจะสามารถแล่นได้อีกครั้ง หลังจากถูกปลดระวางมานาน แต่ผู้เป็นเจ้าของก็ได้พยามปลุกชีวิตมันขึ้นมาใหม่สังเกตได้จากสีเหลืองที่พึ่งได้ถูกทาทับลงไป ถึงแม้การฟื้นคืนชีพของมันเป็นไปด้วยความลำบากยากเย็นแสนเข็ญ เพราะว่าการเกิดใหม่คราวนี้ดันมาเกิดอยู่บนเกาะก็ตาม |
|
เกาะ ที่รถคันเก่านี้วิ่งอยู่ นั่นคือ เกาะสีชัง เกาะที่ตั้งอยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาเพียง 40 นาทีของการเดินทางทางเรือ และเดี๋ยวนี้หากจะมาเที่ยวเกาะสีชัง นักท่องเที่ยวต้องเดินทางมาลงเรือที่ ท่าเรือเกาะลอย ส่วนท่าเดิมที่อยู่ถัดไปทางทิศใต้นั้นเขายกเลิกกันไปแล้ว ผู้ที่จะนำรถยนต์มาจอดไว้ที่ท่าเรือเกาะลอยก็สามารถจอดได้ โดยเมื่อถึงเวลาประมาณ 18.00 น. ทางผู้แลเกาะลอยเขาปิดประตูรั้ว ห้ามไม่ให้รถยนต์เข้าออก จะเปิดอีกครั้งก็เช้าวันใหม่ |
|
หรือจะเลือกเดินทางโดยรถยนต์โดยสารจากกรุงเทพฯ ก็มาลงที่ตึกคอมตลาดศรีราชา แล้วนั่งรถตุ๊กๆ หรือสองแถวเข้ามาที่เกาะลอยก็เป็นวิธีที่สะดวกอีกหนทางหนึ่ง |
ค่าเรือโดยสาร จากท่าเกาะลอย ไปเกาะสีชัง 40 บาท มีเรืออกทุกๆ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ 7.00 - 20.00 น. ของทุกวัน เมื่อเรือแล่นถึงเกาะสีชังแล้ว ก็สามารถเหมารถตุ๊กๆ เพื่อไปยังที่พัก หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้ ส่วนผมโชคดีหน่อยที่มีเพื่อนเก่าใจดีอย่างลุงจุก แห่งมาลีบลู มารับและเอื้อเฟื้อพาหนะรับส่งไปยังที่พักกิ๊บเก๋ ซึ่งสร้างเป็นกระท่อมสไตล์บาหลี ตั้งอยู่ท้ายเกาะโน่น แถมด้วยโปรแกรมท่องเที่ยว พายคยัคไปเกาะค้างคาว ดำน้ำดูปะการังท้ายเกาะ กลางคืนมีตกหมึก ย่างกันสดๆ หน้าที่พักท่ามกลางความเงียบสงบ ซึ่งวันนั้นเราอยู่กันแบบธรรมชาติจริงๆ เดี๋ยวจะเล่าต่อให้ฟัง
วันหยุดสองวันปลายสัปดาห์ต้นฤดูหนาวที่สมควรจะเดินทางมาถึงได้แล้ว ดูเหมือนปีนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาถึงล้าช้าไปเสียทุกอย่างโดยเฉพาะวันสิ้นเดือน ความเบื่อหน่ายในสังคมวุ่นวายบีบบังคับให้ต้องหลีกหนีมาที่นี่ ถ้าหากว่าไม่ต้องกินต้องใช้คงตัดสินใจกับบางเรื่อง...ได้ไม่ยาก
เกาะสีชัง สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในอดีต ผมขอผ่านสถานที่ท่องเที่ยว เช่น พระจุฑาธุชราชฐาน และหมู่ตึกต่างๆ ที่น่าสนใจภายในไปโดยไม่กล่าวถึง เพราะเคยเดินทางเข้าไปเที่ยวชมหลายครั้งแล้ว วันนี้เลยรีบขอให้ลุงจุก แห่งมาลีบลู รีบพาไปทางด้านท้ายเกาะตั้งแต่เดินทางมาถึงเลยดีกว่า เจ้ากระบะสีเหลืองคืนชีพที่กล่าวถึงในต้อนต้นคันนี้นี่เองที่พาเราไปส่ง
|
ไม่นานกับความเพลิดเพลินที่เผลอใจชื่นชอบชีวิตชาวเกาะ ชีวิตที่อยู่กับแบบสงบเงียบ ลุงจุก ขับรถไปนิดนึงก็หยุดนิดนึง ขับไปอีกหน่อยนึงก็กดแตรทีนึง บางทีก็ยกมือออกมานอกหน้าต่างรถที่กระจกไม่มีแล้ว เพียงเพื่อทักทายผู้คนที่สวนทางมา ผมนึกเล่นๆ ว่า นี่ถ้าหากต้นไม้ และเสาไฟฟ้าพูดได้ ผมคงถึงท้ายเกาะเอาตอนเย็นย่ำเป็นแน่ นี่แหละครับวิถีชีวิตที่ผมใฝ่หา ชีวิตที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ชีวิตที่มีแต่รอยยิ้มจริงใจ ชีวิตที่ไม่ต้องอยู่ในห้องแอร์แต่ก็เย็นชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำใจไมตรี ผมดีใจเหลือเกินที่ได้เดินทางมา |
|
จากประสบการณ์การเดินทาง ผมมีความเชื่อว่า "เส้นทางที่ขรุขระ มักจะพาเราไปพบกับความสวยงามเสมอ" เส้นทางช่วงท้ายเกาะสีชังก็เช่นเดียวกัน แม้หนทางจะไม่ยาวไกลนัก แต่ก็ทำให้เราสนุกเฮฮากับเจ้ารถกระบะสีเหลืองคันนี้ได้อย่างแนบแน่น |
|
|
อากาศบริสุทธิ์ไร้กลิ่นคาวทะเล ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นสีฟ้าเข้มเกือบจะเป็นสีน้ำเงิน พวกเราเก็บสัมภาระเข้าที่พัก แล้วเปลี่ยนใส่ชุดพร้อมเปียก เตรียมตัวไปชมธรรมชาติใต้ทะเล เบื้องต้นลุงจุก พาพวกเราพายเรือคยัคท่องเที่ยวเลียบเลาะโตรกผา ชมความมหัศจรรย์ทางธรณีที่บรรจงสร้าง |
|
|
พร้อมการแนะนำการพายเรือคยัคในทะเลอย่างถูกวิธี และแนะนำจุดลงดำดูปะการัง ฝูงปลาที่รวมอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ น้ำทะเลด้านท้ายเกาะใสสะอาด พวกเราลงดำน้ำด้วยชุดแว่นสน๊อกเกิล แหวกว่ายตัวไปกับผิวน้ำ |
|
|
บางครั้งก็ดำดิ่งลึกลงไปอยู่ท่ามกลางฝูงปลาอย่างใกล้ชิด ถึงแม้สีสันของปะการังและตัวปลาจะไม่จัดจ้านเหมือนทางฝั่งอันดามัน แต่ที่นี่ก็ทำให้เราได้เห็นระบบนิเวศน์ การดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระ |
|
|
ถึงเวลากลางคืน พวกเรามีกิจกรรมตกหมึก ผมเป็นคนไม่ค่อยมีโชคด้านนี้ เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายมะยม พรานเบ็ดที่ร่วมเดินทางมาด้วย ส่วนผมคอยปิ้งๆ ย่างๆ และชิมๆ อย่างเดียว คืนนี้เราได้หมึกตัวใหญ่กันหลายตัว ทุกตัวได้มาไม่ยาก |
|
|
ผมส่องไฟจากหน้าผาลงไป ลุงจุก หย่อนเบ็ดพร้อมเหยื่อล่อพรางด้วยเบ็ดเป็นหนามรอบตัวที่เรียกกันว่า "โยทะกา" แป๊บเดียวเจ้าหมึกก็มาเล่นกับเหยื่อ หนวดของมันพันกับโยทะกา เท่านั้นเป็นอันเสร็จเรา อร่อยซะ...โดยไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้ม |
|
วันเวลาอิสระและดวงจันทร์คล้อยผ่านไปอย่างแช่มช้าๆ แสงไฟจากเรือประมงเห็นเป็นจุดอยู่สุดตา ชายขอบผืนทะเลอ่าวไทยสงบเงียบปราศจากคลื่นใหญ่ วันและค่ำคืนนี้พวกเราใช้ชีวิตดุจชาวเล |
|
ลุงจุกนอนอยู่ที่เตียงผ้าใบบนขอบผา ราวกับจะนับดาวล้านดวงให้จบสิ้น แสงสีแดงส้มจากถ่านในเตาไฟค่อยจางมอดลง นี่คือส่วนหนึ่งของเสี้ยวชีวิตชาวเลที่พวกเราประทับใจ ณ ปลายเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี |