นึกอยากไปก็ไป..อัมพวา
คำเตือน : หากต้องการอ่านจนจบควร Print ไปอ่านดีกว่าครับ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 5 มกราคม 2551 ซึ่งพึ่งผ่านปีใหม่มาหมาดๆ เสียงเพลงบรรเลงจากคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กๆ ที่อยู่ในห้องนอนซกมกๆ ของผม บรรเลงออกมาเป็นเสียงไวโอลิน ขับกล่อมบทเพลงในยุคคลาสสิค ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้แก่ เพลงหยาดเพชร เพลงฝากรัก เพลงเสน่หา ผมจำไม่ได้หลอกว่าผู้เล่นหรือผู้แต่ง และผู้ร้องเพลงเหล่านี้ คือใคร เพราะเพลงเหล่านี้ได้ถูกนำมาทำใหม่ ร้องใหม่กันหลายหนเหลือเกิน
แต่ก็จำได้แต่เพียงว่า เสียงที่บรรเลงให้ผมเคลิ้มอยู่ตอนนี้ เกิดจากการเล่นไวโอลินของคุณธนกฤต ชุณห์วิจิตรา กอปรกับเครื่องดนตรีอื่นๆ อีกนิดหน่อยเพียงแผ่วเบา มีเพียงเสียงไวโอลินเท่านั้นที่โดดเด่นกว่าเครื่องดนตรีอื่นๆ จึงก่อเกิดเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะจับใจ ในชื่อชุดว่า คน วาด เสียง ในชุดนี้มีอยู่ด้วยกัน 12 เพลง ล้วนแต่ไพเราะทั้งนั้น ฟังทั้งวันก็ไม่เบื่อ
ผมไม่ได้ซื้อเพลงชุดนี้มาด้วยตนเองหลอกครับ มีเพื่อนซื้อมาให้เป็นของฝากจาก ตลาดน้ำอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อครั้งที่เพื่อนๆ สาวเจ้าได้เดินเล่นทอดน่องหน่องแน๊ง หาของอร่อยๆ กินกัน ท่ามกลางบรรยากาศตลาดเก่าๆ ผมจินตนาการออกเพราะ ผมเคยไปมาหลายครั้งแล้ว
ผมชอบบรรยากาศเก่าๆ โบราณๆ ในอดีต แต่ผมก็ยังไม่แก่นะ (อันนี้ยอมไม่ได้) เพราะผมยังชอบการผจญภัยอยู่ การเดินทางแบบผจญภัย ไม่ผจญโชค ทำให้ผมดูแข็งแกร่งขึ้น ทั้งที่ภายในหัวใจนั้นอ่อนแอ เอ...ผมกำลังหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่า?
ทั้ง 12 เพลง ในชุด คน วาด เสียง ของคุณธนกฤต บรรเลงครบแล้วสองรอบรวมเป็น 24 เพลง ข้างบ้านโผล่หน้าออกมาทำหน้าเบื่อๆ งงๆ (คงนึกขอบคุณผมอยู่ในใจ) นี่ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงแล้ว ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย ได้แต่นั่งทอดอารมณ์ คิดโน่น คิดนี่ ทบทวนเรื่องต่างๆ มากมายอย่างสับสนปนเป ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งผมเรียกในใจว่า ปีแห่งการสูญเสีย
เดินกลับเข้ามาในห้องนอน ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอื้อมหยิบเป้ใส่เสื้อผ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เสื้อยืดสองตัว กางเกงเลสำหรับนอนหนึ่งตัว ผ้าขาวม้า ผ้าเช็ดตัว อุปกรณ์อาบน้ำประทินผิวอีกนิดหน่อย และตามด้วยอันเดอร์แวร์ ถูกจับใส่เป้อย่างว่องไว นึกในใจว่า ไม่น่าเปิดเพลงคลาสสิคๆ แบบนี้ตั้งแต่เช้าวันหยุดอย่างนี้ เลยทำให้อยู่ไม่ติด ต้องจรรีเดินทางไปตามหาเสียงเพลงอันเป็นที่มา ซึ่งนั่นก็คือ ตลาดอัมพวา นั่นเอง
มีคนเคยบอกว่า ในหนึ่งปี ควรเดินทางไปยังสถานที่ที่เราไม่เคยไป อย่างน้อยสักหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อ ชีวิตเราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากจำเจ คิดๆ ดูแล้วก็จริงนะ.... แต่จะทำไงดีล่ะ อัมพวา ผมเองก็เคยไปหลายครั้งแล้ว แล้วจะทำไงไม่ให้จำเจดีหว่า....
ในที่สุดก็ คิ..ออก...แว้ว... ทุกครั้งที่ไปอัมพวา ผมก็เดินทางไปโดยรถยนต์ส่วนตัว ของตัวเองบ้าง ของเพื่อนๆ บ้าง ไปแล้วสะดวกสบาย เดินทางประเดี๋ยวเดียวก็ถึง นึกจะไปก็ง่าย ผิดกับสมัยก่อนโน้น (นึกถึงอดีตอีกแล้ว) ที่ต้องใช้เรือเดินทางกัน ยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประมาณปี พ.ศ. 2303 รัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายทองด้วง (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบอำเภออัมพวา ซึ่งในตอนนั้นเรียกกันว่า ย่านตลาดบ้างช้าง กว่าจะเดินทางจากกรุงศรีอยุธยา ไปถึงย่านบางช้างได้คงใช้เวลาเป็นวันๆ ทีเดียว
วันนี้ผมลองเดินทางไปอัมพวาในรูปแบบที่ผมไม่เคยได้ลองดูดีกว่า ยิ่งไปคนเดียวด้วยยิ่งน่าสนุกตื่นเต้นดี นั่นคือการนั่งรถประจำทางไป อีกอย่างจะได้เป็นการทดลองใช้บริการของสถานีขนส่งแห่งใหม่สายใต้ด้วย ได้ยินมาว่าหรูหรา สะดวกสบายกว่าเดิม ต่อไปเวลาลงใต้โดยรถทัวร์จะได้ไม่เปิ่น..ฮิฮิ
13.50 น. ผมออกจากบ้านที่อยุธยา ไปนั่งหน้าแป้นอยู่ตอนกลางของรถตู้สาย อยุธยา ขนส่งสายใต้ (ปิ่นเกล้า) ในรถมีผู้โดยสารคนอื่นๆ อีก 4 คน ท่าทางแต่ละคนคงจะเดินทางไปทำธุระปะปังอะไรของตนเองในแถบนั้น คงมีผมคนเดียวนี่แหละว่างจัด ขึ้นรถโดยสารไปเที่ยวอัมพวา เพื่อตามหาเสียงไวโอลิน
ก่อนรถออกคนขับเดินมาเก็บค่าโดยสาร ค่ารถเท่าไหร่ครับ... ผมถาม 70 บาท คนขับตอบ ผมยื่นใบละร้อยให้ไปหนึ่งใบ แล้วก็รับตังค์ทอนมา 30 บาท สบายใจได้ไป สถานีขนส่งสายใต้แล้ว ถึงแม้รถตู้จะเก่าคร่ำ แต่แอร์ก็เย็นสบาย เมื่อรถออกจากท่าพอสังเกตุเห็นว่าคนขับคนนี้ขับรถไม่ประมาท และคิดว่ายังไงเสียรถคันนี้คงทำความเร็วได้ไม่เกิน 110 กม. / ชม. แน่ๆ (ปลอดภัยละคราวนี้) ผมปิดม่านแล้วหลับตา นั่งหลับคอตกราวกับอดหลับอดนอนมาจากไหน ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นบิ๊กคิง บางใหญ่ อยู่ทางขวาพร้อมรถราขวักไขว่มากมาย...
ถึงตลิ่งชัน คนขับเลี้ยวซ้ายไปทางปิ่นเกล้า ผมรีบบอกคนขับ จอดๆ ด้วยครับพี่..ผมลงตรงนี้แหละ ผมลงรถอย่างงัวเงีย และพะรุงพะรัง เป้เสื้อผ้าหนึ่งใบ เป้ใส่กล้องอีกใบ น้ำดื่มที่ถือมาอีกขวด ขอบคุณครับ ผมบอกคนขับแล้วลากประตูปิด พร้อมหันหลังไปเจอร้านขายกล้วยชุบแป้งทอด...หันซ้าย หันขวา แล้วจะไปทางไหนต่อกันล่ะนี่ ข่าวที่ได้มาว่า สถานีขนส่งสายใต้ใหม่อยู่แถวนี้นี่นา... แล้วทำไมไม่เห็นมี...หลงเปล่าวะ... ผมถามตัวเอง
ขอโทษครับ ขนส่งสายใต้ใหม่ ไปทางไหนครับ ? ไปอีกสองป้าย ตรงสะพานลอยโน้นนั่นแหละ.. แม่ค้าขายกล้วยชุบแป้งตอบเด็กบ้านนอกให้เดินทางต่อ ขอบคุณครับ ผมเดินต่อไปอีกเกือบสองป้ายรถเมล์ ความจริงจะรอรถเมล์ผ่านมาก็ได้ ขึ้นแค่ป้ายสองป้ายก็สะดวก แต่ตอนนี้ผมอยากเดิน เดิน เดิน เดิน แบกของด้วย ไม่ได้ประชดใคร แต่เพื่อให้ตัวเองจดจำว่า คราวหน้าอย่าทำเก่ง ทำฟอร์มเยอะ.. ควรถามคนขับรถตู้เสียก่อนจะลง เป็นไงล่ะ ไอ้นุ เดินซะ ฮ่าๆๆๆ บ้าไปแล้วเรา
โอ้โฮ้ แม่เจ้า... ทำไมมันใหญ่โตโอ่อ่าอย่างนี้นะ ขนส่งสายใต้ใหม่ สะอาดสะอ้าน ด้านในมีป้ายบอกชัดเจน ซื้อตั๋วให้ขึ้นบันไดเลื่อน ไปทางเดียวกับห้องน้ำห้องสุขา สะดวกดีจริงๆ เหมือนที่สนามบินเลย ช่องขายตั๋วไปอัมพวา อยู่ช่องที่ 85 แอร์เย็นเฉียบ มีจอทีวีบอกเวลาเดินรถหลายจอซะด้วย แถมมีร้านค้าต่างๆ เหมือนพลาซ่าเลย มีมินิมาร์ท ร้านกาแฟ ร้านทองและธนาคารในนี้ด้วย ยิ่งถ้าเป็นธนาคารกสิกรไทย โอ๊ยสะดวกแฮะ |
ไปอัมพวา ที่นึงครับ 72 บาท คนขายตั๋วเก็บตังค์ผมไปแล้วควานๆ หาเงินมาทอนผม 28 บาท ได้แล้วรถ ปอ.1 ไปอัมพวาเที่ยว 15.40 น. ขึ้นที่ชายชรา..อุ๊ยๆ ชานชาลาไหนไหนครับ สอง ค่ะ คนขายตั๋วตอบ ผมไปไม่ถูกหลอกชานชาลาที่สอง ต้องอาศัยสะกดรอยตามสาวๆ ที่มาซื้อตั๋วก่อนหน้าผมคนนึง แล้วผมก็เดินตามเธอไปแบบไม่ให้เธอรู้ตัว อย่าพึ่งคิดเป็นอื่นครับ เพียงแต่ผมไม่อยากเสียฟอร์มเท่านั้นเอง |
เธอแวะซื้อขนมปัง และก็น้ำดื่ม ผมชะลอฝีเท้า แล้วแอบนึกอิจฉา ผมไม่อยากเสียเงินกับค่าขนม เพราะช่วงนี้อยากประหยัดเก็บเงินไปปลูกบ้านสักหลัง... ชานชาลาที่สองอยู่ไม่ไกล การสะกดรอยตามน้องสาวคนนั้นเลยจบสิ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว
รถทัวร์ กรุงเทพฯ อัมพวา สีขาวน้ำเงินแต่เบาะนุ่มสีแดง เคลื่อนตัวออกจากชานชาลา จิตใจผมพะวงว่าหลังจากเดินเที่ยวตลาดน้ำยามเย็นแล้ว ค่ำคืนนี้การเดินทางของผมจะไปจบสิ้นที่ที่พักไหนดี เคยแต่มาเที่ยวแล้วไปพักที่บ้านไม้ชายคลองรีสอร์ท ที่นั่นก็บรรยากาศดี แต่วันนี้คงราคาสูงไปสำหรับผม แต่ช่างเหอะเดี๋ยวก็คงถึง แล้วค่อยว่ากัน
การขึ้นรถโดยสารมาเที่ยวคนเดียวโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าอย่างนี้ สำหรับผมแล้วก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นดี ได้มีเวลาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ได้พบเห็นวิถีชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่ในที่ที่เราเดินทางไป อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ รถประจำทางที่ผมนั่งนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (รวมเวลาที่จอดเติมก๊าซอีกประมาณ 15 นาที) เส้นทางก็สะดวกสบายกว่าแต่ก่อน ถนนเริ่มขยายให้กว้างขึ้นรองรับการจราจร ผมผ่านมหาชัย แล้วก็ผ่านย่านนาเกลือ แถวนี้ผมชอบมาก ชอบดูกังหันที่หมุนไปตามแรงลม บางตัวที่ใบขาดวิ่นก็ไม่หมุนซะแล้ว เพราะลมพัดผ่านผ้าใบพัดได้ นาเกลือนี่ผมดูกี่ครั้งๆ ก็รู้สึกชื่นชมคนที่คิดทำคนแรก น้ำทะเลตากแดดก็กลายเป็นเกลือมีค่ามีราคาได้ นี่แหละหนาวิถีชีวิตไทย
รถทัวร์โดยสารเลี้ยวขึ้นทางยกระดับข้ามไปทางขวาเข้าตัวจังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเล็กๆ อีกจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย และเป็นจังหวัดที่มีจำนวนอำเภอน้อยที่สุด คือ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภออัมพวา อำเภอบางคนที มีแค่ 3 อำเภอ น่ารักดีไหมล่ะ ว่ากันว่าจังหวัดนี้มีฝนตกบ่อย ดินดำน้ำชุ่ม มีลำคลองมากมายหลายสาขา มีแม่น้ำแม่กลองเป็นเส้นเลือดใหญ่ และมีภูมิอากาศเหมาะสม ทำให้ปลูกผักผลไม้ได้เจริญงอกงาม
มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย และในอดีตยังเป็นที่อยู่ของขุนนางฝ่ายนอกมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีคำกล่าวว่า บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน คำว่า สวนนอก ก็หมายถึง สวนบ้านนอก ที่เป็นของวงศ์ราชนิกุลบางช้าง ซึ่งเป็นชื่อเดิมของย่านอำเภออัมพวา ส่วนบางกอก ก็เป็นส่วนของเจ้านายในราชวงศ์ก็เรียกว่า สวนใน จึงมีคำกล่าวว่า บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ยกเลิกไป อัมเภออัมพวาจึงเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน
17.30 น. ผมมาถึงอำเภออัมพวา รถมาจอดที่บริเวณตลาดน้ำยามเย็นพอดี สิ่งแรกที่ผมอยากจะทำตอนนี้ก็คือ เดินหาของกิน ตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา นี่มีแม่ค้าแม่ขายพายเรือมาขายของกันมากในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 14.00 21.00 น. แต่นักท่องเที่ยว และแม่ค้าจะมากสุดก็ช่วงเวลาที่ผมมาตอนนี้แหละ กำลังเบียดๆ เลยละ เดินๆ ก็ระมัดระวังด้วยนะครับ
ผมผ่านร้านปลาหมึกสดย่าง กลิ่นคาวหอมเค็มคลุ้ง หนวดของมันไม้ละ 10 บาท แม่ค้าสาวร้องเรียกอย่างสุภาพ ถึงไม่เรียกผมก็ซื้อครับตอนนี้... ไม่อิ่ม เดินต่อตามถนนเลียบนที ไปที่ริมคลองดีกว่าที่นั่นมีเรือขายก๋วยเตี๋ยว แต่คนกินค่อนข้างเยอะ ผมเดินข้ามคลองไปทางฝั่งวัดอัมพวันเจติยาราม หรือชื่อเดิมเรียกกันกันว่า วัดอัมพวา วัดนี้มีพระอุโบสถ เหมือนที่วัดสุวรรณดาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ ฐานเป็นรูปโค้ง เหมือนท้องเรือสำเภาโบราณ อันแสดงถึงศิลปะที่ต่อเนื่องกันในสมัยนั้น ตลาดทางฝั่งคลองนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยเก่าแก่อยู่เจ้าหนึ่ง ชื่อร้านลุงเป้า ที่ร้านลุงเป้า ผมชอบสั่งบะหมี่หมูต้มยำ กินกับชาดำเย็น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 บาท ผมกินสองชามอิ่ม ไม่ได้มานานรสชาติอร่อยเด็ดขาดเหมือนเดิม ลุงเป้าแกชอบใส่เสื้อยืดสีขาว แต่ไม่ชอบนุ่งกางเกงยีนส์เหมือนพี่ป้อมอัสนีย์ แกใส่กางเกงขาก๊วย ผมคิดว่าแกคงชอบ มาทีไรก็เห็นใส่อย่างนี้ทุกที |
ลุงเป้าเก็บตังค์ไปแล้ว เริ่มภารกิจต่อได้ ผมเดินไปทางริมน้ำแม่กลอง ลัดเลาะร้านรวงไปเรื่อยๆ เสียงดังระงมของผู้คนจับจ่าย ต่อรองราคา ในสารพันสินค้าให้ความรู้สึกคึกคัก ที่ตลาดอัมพวานี้มีทั้งร้านเก่าแก่ และร้านเก่าที่ซ่อมแซมปรับปรุงแต่ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับบรรยากาศโบราณ
ลองมาคิดๆ ดูแล้ว คนเรานี่ก็เอาใจยาก คนบางกลุ่มก็ต้องการแสวงหาความศิวิไลย์ ความเจริญทางเทคโนโลยี แสวงหาเงินตราให้มากเข้าไว้ แสวงหาอำนาจให้บาทใหญ่ แต่จะมีสักกี่คนที่จะแสวงหาอดีต หรือเก็บความทรงจำดีๆ ของอดีตไว้ เพื่อวันหนึ่งในวันทุกข์ระทมจะยิ้มได้ แม้ไม่มีใครอยู่เคียงข้างอีกต่อไป |
ผมสนใจ และสะสมของเล่นโบราณพวกที่ทำจากสังกะสี วิทยุเก่าๆ ที่เดี๋ยวนี้ผู้ผลิตเขาเปลี่ยนรูปแบบการดีไซน์กันไปหมดแล้ว กลายเป็นของหายาก นอกนี้ก็ยังมีร้านโปสการ์ดที่ผมชอบแวะดู ภาพถ่ายจากมุมแปลกๆ แถวตลาดอัมพวานี่แหละ ปรับเปลี่ยนโหมดสีเป็นขาวดำก็ดูคลาสสิคไปทันที สวยดีเหมือนกัน ผมมักจะยืนดูอยู่ได้นานๆ |
ขณะเพลิดเพลินอยู่กับภาพอดีต เสียงไวโอลินที่เกิดจากการสีสายหางม้า แว่วมาแผ่วเบาจนเริ่มถนัดชัดเจนขึ้น ตอนนี้สมองของผมเริ่มจินตนาการถึงภาพอดีตมากขึ้น เพราะมีเสียงเพลงมาช่วยเติมแต่งให้กลิ่นอายความเป็นไทยชนบทถนัดชัดเจนขึ้น |
ถึงแม้ไม่มีผู้ขับขานเนื้อร้อง ผมก็แอบร้องเพลงเดียวกันนี้อยู่ในใจโดยไม่เก้อเขิน ในเนื้อร้องประมาณว่า เราเคยสด เราเคยชื่นเคลียคลอ ใจเธอหนอกระไรไม่แน่ ใจเจ้าเปลี่ยนเจ้าปรวนเจ้าแปร ฉันสุดจะแก้กลับคืน คิดจะปลูกต้นรักอีกกอ เกรงว่าหน่อ รักนั้นไม่ยืน ใจเราต้องกล้ำต้องกลืน ทนฝืนใจอยู่แต่ผู้เดียว... ผมไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงชอบบรรยากาศตอนนี้ ทั้งที่มีผู้คนอยู่มากมายดารดาษ แต่ผมกลับรู้สึกเหงา เศร้า เหมือนอยู่คนเดียว.... |
คุณธนกฤต ยังคงสีหางม้าต่อไปในบรรยากาศสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกเพ่งมอง บางครั้งก็จะใช้นิ้วดีดที่สายเพื่อให้ได้เสียงตามต้องการ ผมชื่นชมเขาอยู่ในใจโดยไม่กล้าที่จะถ่ายภาพ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้สูญเสียสมาธิในการเล่นดนตรีของศิลปินที่ได้คิดได้ทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนา และอีกอย่างผมอยากให้มาชมมาฟังกันเองมากกว่า คงเพลิดเพลินดีกว่ามาอ่านงานเขียนของผมเยอะเลย |
แสงตะวันหายวับไปกับลำน้ำแม่กลองตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่รู้ตัว ความมืดสลัวคืบคลานมาพร้อมกับความเยือกเย็น อากาศริมน้ำอย่างนี้หนาวเย็นได้ง่ายกว่าจุดอื่นๆ ตอนนี้ต้องรีบหาที่พักสำหรับค่ำคืน ผมเดินจากด้านตลาดริมน้ำแม่กลองย้อนลำคลองขึ้นไป ผ่านที่พักแบบโฮมสเตย์หลายหลัง แต่ก็ได้รับคำตอบเดียวกันว่า วันนี้เต็มแล้วครับ แล้วผมจะไปนอนไหน... |
เดินไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันเหนื่อย ผ่านบ้านแม่อารมณ์ วันนี้ดูคึกคักเพราะมีนักศึกษาแพทย์มาพักหลายสิบคน สองเท้าต้องก้าวเดินต่อไปอีก |
ถึงโรงเจ มีป้ายบอก บ้านใบเฟิร์น และที่นี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง บ้านใบเฟิร์น มีลักษณะเป็นโฮมสเตย์สองชั้น ชั้นบนเป็นไม้แบ่งเป็นห้องๆ พื้นและที่นอนสะอาด ห้องน้ำอยู่ด้านล่าง หากอยากจะไปท่าน้ำก็เดินออกไปหน้าบานแล้วเลี้ยวซ้ายสัก 10 เมตรก็ถึง คลองหน้าบ้านนี้เชื่อมต่อกับคลองที่แม่ค้าไปขายของยามเย็น ที่นี่มีเรือสำปั้นให้พายเล่นอยู่ลำนึง ผมใช้พายมาตลาดในตอนเช้า เป็นอันว่าคืนนี้ผมได้ที่นอนสบายๆ ที่บ้านหลังนี้ด้วยราคาเพียง 200 บาท เก็บข้าวของเรียบร้อย ผมรีบไปลงเรือที่บ้านแม่อารมณ์ เพื่อไปดูหิ่งห้อยแห่งค่ำคืนกลางฤดูหนาว |
20.00 น. เรือลำขนาดกลาง บรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 14 คน ผินหัวออกจากท่า แหวกน้ำไปกับความมืด บรรยากาศสองฟากฝั่งคลองมีไฟในบ้านเปิด แต่ละหลังคงกำลังดูโทรทัศน์ หรือไม่ก็ล้อมวงนั่งกินข้าวกันอย่างอบอุ่น ผมเริ่มคิดถึงครอบครัวทางบ้าน หากพ่อกับแม่ได้มาด้วยกันก็คงจะดีไม่น้อย สายลมในค่ำคืนระหว่างเรือทะยานไปในลำน้ำเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น เสื้อแจ๊คเก็ตที่เพื่อนคนหนึ่งให้มาเมื่อหลายเดือนก่อนช่วยให้ผมอบอุ่น และหวนนึกถึงบรรยากาศเก่า เพื่อนร่วมเรือตื่นเต้นเมื่อเห็นหิ่งห้อยเต็มต้นจาก ซึ่งดูแล้วคล้ายต้นคริสต์มาส หิ่งห้อยบางตัวโลดแล่นบินฉวัดเฉวียนอย่างมีความสุข |
คนขับเรือบอกว่ารอบที่มานี้เป็นรอบใหญ่ (หมายถึง เส้นทางไกลขึ้นกว่ารอบปกติทั่วไป) อีกไม่เกิน 5 นาที หากเรายังตรงไปตามลำน้ำแม่กลองเราจะออกสู่ทะเล ผมตื่นเต้นทั้งๆ ที่นั่งหาวมาตลอดทาง เรือเลี้ยวขวาเข้าคลองที่มืดสนิท คลองนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนมากนัก |
เพราะระยะทางไกล แต่สิ่งที่คุ้มค่ากับการมาก็คือ หิ่งห้อยมากมายเต็มต้นลำพู และต้นจาก หลายต้นที่ได้พบเห็น หากใครพอมีเวลาลองตกลงกับคนขับเรือให้พามารอบใหญ่บ้างก็ได้นะครับเผื่อจะได้เห็นอย่างผม แต่ต้องขอบอกก่อนนะครับว่า หิ่งห้อยที่อัมพวานี้จะมีมากในช่วงเดือนพฤษภาคม ตุลาคม เดี๋ยวมาแล้วเห็นน้อย หรือว่าไม่เจอจะมาต่อว่าผม... |
22.30 น. ผมกลับถึงที่พัก ด้วยความง่วงแต่ยังไม่อยากนอน จึงไปนั่งเล่นที่ศาลาท่าน้ำ ให้สายลมยามค่ำคืนช่วยพัดพาเรื่องราววุ่นวายใจออกไป น้ำในคลองสาขาตอนนี้แห้งสนิทจากที่เมื่อกลางวันสูงเกือบ 3 เมตร พี่ตึ๊ง เจ้าของบ้านใบเฟิร์น บอกว่าเดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้น้ำก็จะขึ้นมาเหมือนเดิม |
ทริปนี้ผมใช้เวลาอยู่ที่ศาลาท่าน้ำมากกว่าบริเวณอื่นๆ แม้บรรยากาศจะแตกต่างจากศาลาท่าน้ำบ้านอื่นๆ ที่อยู่ในคลองหน้าตลาดอัมพวา แต่ศาลาหลังนี้ก็สงบเงียบจากผู้คน ทำให้ผมรู้สึกชอบ และหลงใหลวิถีชีวิตของชาวอัมพวา ประทับใจกับบรรยากาศริมคลองเข้าอย่างไม่รู้ตัว |
นุ บางบ่อ...เรื่อง (1/2551) / ภาพ ออนไลน์เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2551
เรื่องที่เกี่ยวข้อง อัมพวา ตลาดน้ำยามเย็น สมุทรสงคราม - ตลาดน้ำอัมพวา (ตลาดเย็น) อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม
ข้อมูลเพิ่มเติม |
ค่าใช้จ่าย ขอขอบคุณ
|