ค่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Teacher Camp บ้านไร่ จ. อุทัยธานี
ค่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Teacher Camp บ้านไร่ จ. อุทัยธานี 30 พฤษภาคม 2547 โดย วีระ กิจรัตน์ ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอบางซ้าย จัดกิจกรรมเข้าค่าย ปลูกจิตสำนึกเพื่ออนุรักสิ่งแวดล้อม ที่ ศูนย์ฝึกอบรม Teacher Camp ต.แก่นมะกรูด อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2547 เป้าหมายของการเข้าค่ายคือเพื่อปลูกจิตสำนึกให้นักศึกษา กศน. ได้ตระหนักถึง คุณค่าและความสำคัญของการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี สามารถนำมาปรับใช้กับท้องถิ่นของตนเองได้
เราเริ่มออกเดินทาง ด้วยรถบัส 2 คัน นำทีมโดย ผอ. สมคิด เพ็งอุดม ออกจาก อ.บางซ้าย ผ่านจังหวัดสุพรรณบรี ชื่นชมกับบรรยากาศ ไร่นาเต็มทั้งสองข้างทาง ซึ่งถ้าผ่านอำเภอด่านช้างไปแล้วก็จะเริ่มเข้าสู่บรรยากาศของป่าเขา เริ่มมองเห็นทิวเขาเรียงราย สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยนไปจากนาเป็นไร่อ้อยบ้าง ไร่ข้าวโพดบ้าง ตามแต่พื้นที่ นักศึกษา กศน. ผู้ใคร่รู้ ต่างพูดคุยซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องของความแตกต่างกันของพื้นที่และการประกอบอาชีพ บ้างก็แฮฮาตามประสา(ติ๊ดชึ่งทัวร์) ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงอำเภอบ้านไร่ประมาณ 8.00น. เราพักทานอาหารเช้ากันที่ ศบอ.บ้านไร่ โดยการต้อนรับของ หัวหน้าเสรี วงษ์แก้ว หัวเรือใหญ่ของ ศบอ.บ้านไร่ พร้อมด้วย พี่ๆ ครูอาสา อีก สองสามคนเป็นผู้เตรียมอาหารให้
รถบัสทำได้ดีที่สุดก็เพียงการมาส่งที่ตีนเขา แล้วปล่อยพวกเราเดิน แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่คิดมากก็คือการชื่นชมธรรมชาติสองข้างทางพร้อมออกกำลังกายไปในตัว คนแก่บางคนถึงกับ หมดแรง ต้องรอรถกระบะมารับ (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) และจนแล้วจนรอดเราก็มาพร้อมกันอยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรม Teacher Camp กันอย่างทุลักทุเล บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของกะเหรี่ยง บ้านอีมาด-อีทราย มีประชากรประมาณ 50 หลังคาเรือน มีร้านค้าอยู่ 1 ร้าน มีศูนย์จำหน่ายผ้าทอของชาวเขาไม่ไกลจากบ้านอีมาด-อีทราย เดินชมหมู่บ้านกะเหรียงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอศูนย์สงเคราะห์ชาวเขา และถ้าเดินขึ้นเขาไปอีก 20 กิโลเมตร ก็จะไปถึง บ้านใหม่คลองอังวะ สอบถามจากกะเหรี่ยงแถวนั้น ที่นั่นเป็นประตูสู่ป่าห้วยขาแข้ง
หลังจากเปิดค่ายและรับประทานอาหารเที่ยงแล้ว ก็เปิดโปรแกรมโดยการเดินชมหมู่บ้านกะเหรี่ยง ที่อยู่แถวๆนั้น จากการสอบถามชาวบ้านเขาบอกว่าส่วนใหญ่แล้วจะออกไปทำไร่กัน ถ้าอยากจะมาชมกะเหรี่ยงจริงๆก็ต้องมาตอนเช้าหรือตอนเย็นที่ว่างจากการทำไร่ เราแยกกันออกเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่มไม่ประสงค์จะไปกับใคร ก็นั่งพักรอให้ทุกคนกลับมาเล่าให้ฟัง ขากลับได้มะไฟจากบ้านกะเหรี่ยงหลายพวง พวกเขาเป็นกันเองมาก สังเกตว่าหลายบ้านจะมีจานรับสัญญาณซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของอะไรแน่ มีคนบอกว่าเป็นจานรับสัญญาณโทรทัศน์ แสดงให้เห็นว่าชาวกะเหรี่ยงนั้นพัฒนาแล้วจริงๆหลายบ้านมีรถกระบะ พูดภาษาไทยชัดเป๊ะ แต่เวลาเขาคุยกันเองก็จะพูดภาษาของเขา น่ารักดี ธรรมชาติที่นี่เป็นธรรมชาติแท้ๆไม่มีอะไรมาปลอมปน
เด็กๆชาวกะเหรี่ยงเล่นวอลเลย์บอลกันสนุกสนานในตอนเย็น พวกเราพูดคุยซักถามชาวบ้านกันพอได้ข้อมูลแล้วก็กลับแค้มป์กัน เพื่อร่วมทำกิจกรรมในตอนเย็น และที่สำคัญตอนนี้กำลังหิวมากๆด้วย
เราทานอาหารกันประมาณ 1 ทุ่ม เสร็จแล้วทำกิจกรรมกันตอนประมาณ 2 ทุ่ม คืนนี้เราให้นักศึกษาแสดงบทบาทสมมุติกันว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมในอำเภอของเรานั้นเราจะสามารถจัดการกับมันได้อย่างไร ซึ่งทุกๆคนก็แสดงบทบาทกันได้อย่างสมบทบาทที่เดียว หลังจากนั้นเรามีกิจกรรมนันทนาการตามอัธยาศัย แล้วแต่ใครจะถนัดอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นแนวร้องเพลงลูกทุ่งซะมาก เราแยกย้ายกันเข้านอนไม่ดึกมากนัก อากาศที่นี่เย็นสบาย นอนหลับสนิทตลอดคืน
ชาวกะเหรี่ยงยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เหมือนชาวกรุง ยุ่งเหยิง หยุงหยิง ไม่ยิ้มให้กัน เดินไปสักพัก พบกับแหล่งน้ำอีกแห่งของชาวบ้านแถวนี้ สระนี้ใหญ่กว่าเก่า มีต้นตะแบกใหญ่ ตายอยู่กลางสระ อนุมานว่ามันคงจะอยู่มาก่อนที่มีใครสักคนมาขุดสระเอาไว้ รายทางพบเห็นไก่ป่าได้กลาดเกลื่อน เราเดินกันขึ้นลงพักใหญ่ก็มาถึงศูนย์สงเคราะห์ชาวเขา มีอาคารสองสามหลัง ที่เห็นเป็นโรงเรือนที่ใช้เพาะเห็ด ไม่เห็นมี่เจ้าหน้าที่ คิดว่าเรามากันเช้าไป จึงไม่ได้ข้อมูลอะไรจากที่นี่มากนัก เราบ่ายหน้ากลับแค้มป์อีกทางหนึ่ง ซึ่งทางนี้จะไม่ค่อยมีบ้านกะเหรียงมากนัก สังเกตว่าต้นตะแบกใหญ่หลายๆต้นจะมีผ้าเหลืองผูกไว้รอยๆ ต้น คงจะเกิดจากความเชื่อต่างๆ ของชาวบ้าน ที่แค้มป์มีข้าวต้มรออยู่ บรรยากาศในตอนเช้ายังไม่จางไปเท่าไร สุขใจทุกครั้งที่ได้นั่งมองเหม่อซดข้าวต้มร้อนๆตอนเช้า
ตอนสายเราเข้ากิจกรรมฐานกัน แบ่งเป็นสามฐาน ซึ่งก็โยงไปถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมของเรานั่นแหละ เราต้องการให้นักศึกษาเปรียบเทียบ สิ่งแวดล้อมต่างที่นี่ กับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีในท้องถิ่นของเรา นักศึกษาทุกคนทำกันได้ดี หลังจากทุกกิจกรรมเสร็จแล้วก็ถึงพิธีปิดค่าย(อย่างยาวนาน) โดย ผอ. สมคิด เพ็งอุดม เป็นอันว่าทุกอย่างสำเร็จลงด้วยดี ทานอาหารเรียบร้อย เก็บสัมภาระขึ้นรถกระบะ ที่ใช้ทอยสิ่งของตอนขึ้นนั้น ลงไปก่อน แล้วพวกเราก็เดินลงตาม
ก่อนกลับแวะไหว้พระ วัดถ้ำเขาวง ไม่ไกลจากห้วยป่าปก รีสอร์ทเท่าไรนัก ที่นี่เขาจัดสถานที่ไว้สวยงามเหมาะกับการโพสท์ท่าถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ผู้พิศมัยในการชมความงามของถ้ำต้องเดินขึ้นความชันประมาณ 500 เมตร มีหลายถ้ำด้วยกัน ภายในสามารถเดินทะลุถึงกันได้ แต่มืดมาก ควรจะมีไฟฉายไปด้วย เพราะอาจจะหกล้มได้ ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย สวยงาม ตามพื้นถ้ำเต็มไปด้วยมูลค้างคาวที่มีดาษดื่นในนี้ แต่พื้นถ้ำนั้นไม่เฉอะแฉะเท่าใดนัก ออกจากถ้ำเดินต่อไป ยังภูเขาด้านหลังจะเจอเจดีย์แก้ว สอบถามจากชาวบ้านที่ทำไร่แถวนั้นบอกว่ายังมี ถ้ำอีกหลายถ้ำ แต่เขาชี้ไปที่ภูเขาลิบๆ โน่น เราก็ประมาณกันว่า คงจะต้องใช้เวลาประมาณสัก 1 ชั่วโมง แต่เรามีเวลาแค่เดินกลับลงไป 30 นาที่ สรุปว่าต้องกลับ ขากลับเดินกันเอื่อยๆ ข้างทางมีน้ำไหลตลอด ทางวัดเขาทำเป็นทางน้ำไหลเอาไว้ เราได้อาศัย วักล้างหน้า ตอนเหนื่อย
ความประทับใจ ลุงเซียม นักศึกษา กศน.ของเรา อายุ 64 เป็นผู้พิสูจน์ว่าอายุนั้นเป็นเพียงตัวเลข ลุงแกเดินขึ้นจนถึงแค้มป์ ทำเอาหลายๆคน ที่อาศัยรถขึ้นอายเลยที่เดียว (รวมทั้งตัวผมเอง) คำเตือน บนศูนย์ฝึกอบรม Teacher Camp นั้นหาร้านค้าค่อนข้างยาก ควรจะเตรียมซื้อไปตั้งแต่ข้างล่างนะจ้ะ |